คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1139 นางเป็นนักพรตปีศาจ? แสดงละครเก่ง
ตอนที่ 1139 นางเป็นนักพรตปีศาจ? แสดงละครเก่ง
ในขณะที่ทุกคนยังคงจมอยู่ในพลังเสียงของกระดิ่ง ฉินหลิวซีได้เก็บกระดิ่งแล้วเดินขึ้นไป เพียงแต่ชายชุดขาวที่มาขัดขวางเหล่านั้นช่างน่ารำคาญจริงๆ
อยากโดนอัดหรือ เช่นนั้นก็จะอัดให้น่วม!
เมื่อมีคนได้สติกลับคืนมาเงยหน้าขึ้นไปอีกครั้ง บนบันไดเก้าสิบเก้าขั้นที่นำขึ้นไปสู่วิหารศักดิ์สิทธิ์ นอกจากสาวกชุดขาวที่นอนระเกะระกะอยู่บนพื้นก็ไม่เห็นเงาของชุดคลุมสีเขียวนั้นแล้ว
ราวกับว่าความมหัศจรรย์เมื่อครู่นี้เป็นเพียงจินตนาการ แต่พลังที่เขารับรู้ได้นั้นไม่ใช่ของปลอม
“พวกเราก็ขึ้นไปดูกันเถิด”
“ไปกันเถิด ลัทธิสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์นี้เป็นผีหรือเทพ พวกเราก็จะได้รู้กัน”
ฉินหลิวซีได้ยืนอยู่หน้าวิหารศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์แล้ว มองดูคานแกะสลัก ทาสีบัวและเชิงชายคา ที่ชายคายังมีกระดิ่งทองห้อยอยู่ นางแสยะยิ้ม มีกลิ่นเงินและทองไปเสียทุกที่จริงๆ
ไม่มีการเปรียบเทียบก็ไม่มีบาดแผล อารามชิงผิงยังตามหลังอยู่อีกไกล
น่าโมโหนัก!
ท่านอาจารย์เคยบอกว่าความหดหู่ในใจเป็นอุปสรรคต่อการฝึกบำเพ็ญ ต้องระบายออกมาจึงจะดี
ฉินหลิวซีถือแส้หางม้า สะบัดสองสามครั้ง
กริ๊งๆๆ
กระดิ่งทองบนชายคากระทบกันอย่างบ้าคลั่ง ทำให้เกิดเสียงที่คมชัด
ต้นเสานั้นถูกแส้หางม้าสะบัดจิตวิญญาณเต๋าขึ้นไป มีรอยแตกลายปรากฏขึ้นหลายรอย
ฉินหลิวซีลูบแส้หางม้า เมื่อเอาไปกักตัวฝึกบำเพ็ญเลื่อนขั้นด้วย นางก็ไม่ลืมที่จะนำไปหล่อหลอม เมื่อตบะก้าวหน้า เสริมกับบุญกุศลที่ได้ช่วยรักษาโรคระบาดและพลังศรัทธาเมื่อครู่นี้ นางจึงสามารถใช้จิตวิญญาณเต๋าได้ดั่งใจมากขึ้น
นี่ก็เป็นหนึ่งในความหมายของการฝึกบำเพ็ญของนาง แข็งแกร่งขึ้น!
ตึกๆๆ
มีเสียงฝีเท้ามากมายกำลังวิ่งมาทางนี้ หลังจากนั้นไม่นานก็มีกลุ่มคนชุดขาวปรากฏตัวขึ้นในสายตาของฉินหลิวซี และมีบางคนที่วิ่งออกมาจากในวิหารศักดิ์สิทธิ์
ชุดคลุมสีขาวที่คนเหล่านี้สวมใส่ล้วนทำจากผ้าฝ้ายเนื้อละเอียด ซ้ำยังปักด้วยลวดลายอันวิจิตรงดงาม สวมเครื่องประดับ ทั้งตัวนี้หากไม่มีเงินสักหนึ่งตำลึงไม่มีทางได้สวมใส่
พวกเขาทั้งหมดล้วนสวมชุดใหม่
ฉินหลิวซีนึกถึงอารามเต๋าของตัวเอง นอกเหนือจากเสื้อผ้าของตัวเอง เสื้อผ้าชั้นในฉีหวงเป็นคนจัดเตรียม ส่วนชั้นนอกก็ตัดเย็บโดยกลุ่มช่างปักที่กงปั๋วเฉิงเลี้ยงดูมาเป็นพิเศษ เนื่องจากชุดลัทธิเต๋าของนางล้วนปักด้วยอักขระที่ละเอียดอ่อน และอักขระก็ห้ามผิดพลาดเป็นอันขาด กระบวนการนี้ต้องใช้สมาธิเป็นอย่างมาก ดังนั้นนางไม่ได้ขาดแคลนเสื้อผ้า แต่นางก็ไม่ได้เหมือนกับบรรดาสตรีจากตระกูลใหญ่ที่สวมใส่เสื้อผ้าไม่ซ้ำกัน แต่ซักซ้ำๆ เอาเนื่องจากทำได้ยาก
ส่วนลูกศิษย์ในอารามก็ไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่นานแล้ว พวกเขาเพิ่งค่อนข้างได้รับความนิยมในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา บรรดาอารามเต๋าที่ไม่ได้เจริญรุ่งเรืองก็ยังคงสวมใส่ผ้าตัดแปะอยู่
ผู้คนตรงหน้าเหล่านี้ต่างก็สวมเสื้อผ้าใหม่ ใบหน้าอวบอิ่ม เมื่อเทียบกับสีหน้าซีดเซียวของราษฎรที่ได้พบเมื่อครู่นี้ แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
นี่เป็นการดูดเลือดเนื้อราษฎรมาเลี้ยงตัวเอง!
สาวกลัทธิในชุดคลุมสีขาวห้อมล้อมชายชราผู้หนึ่งซึ่งมีอายุมากกว่าหกสิบปี เขามีใบหน้าที่ใจดี และกำลังเดินออกมาพร้อมกับสาวกลัทธิร่างสูงสองคนที่ดูท่าทางไม่เป็นมิตร
“ลัทธิสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของผู้ศรัทธาในการแสวงบุญ ท่านมาที่นี่ ไม่เหมือนมาแสวงบุญ แต่ดูเหมือนมาหาเรื่อง” ชายชรายิ้มเล็กน้อย สายตาที่มองฉินหลิวซีแอบแฝงไว้ด้วยความระมัดระวังและป้องกันตัว
เมื่อครู่นี้หอคอยศักดิ์สิทธิ์ถูกฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ ยอดหอคอยหายไป ทำเอาบรรดาผู้อาวุโสในลัทธิทยอยกันไปตรวจสอบสาเหตุ และเขาก็รุดมารับมือกับตัวปัญหาอย่างฉินหลิวซีก่อน
ตั้งแต่ที่ฉินหลิวซีปรากฏตัวก็มีข่าวส่งมาจากเชิงเขาอยู่เรื่อยๆ คนผู้นี้มีวิชาเต๋าแปลกประหลาด ก็ไม่รู้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับยอดหอคอยศักดิ์สิทธิ์นั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับนางหรือไม่
“เจ้ากล่าวผิดแล้ว ข้าก็แค่ผ่านมาเพื่อดูว่าเทพแห่งสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นเทพสายไหน เป็นภูตภูเขาหรือปีศาจเร่ร่อน หรือเป็นสัตว์ประหลาดชั่วร้าย” รอยยิ้มของฉินหลิวซีจางยิ่งกว่าเขาเสียอีก
คำพูดของผู้เฒ่าหมิงถูกนางขัดจังหวะอย่างหยิ่งผยอง เดิมทีสีหน้าเขาก็ดูไม่ได้อยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งมืดครึ้มโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะตอนที่นางเดินเข้ามา ทั้งๆ ที่ฝีเท้าเบามาก แต่เสียงนั้นกลับราวกับเสียงกลองดังไปถึงหัวใจของเขา ทำเอาเขาหัวใจเต้นเร็ว
“เห็นว่าเจ้ามีผู้พิทักษ์อยู่รอบตัว คงจะเป็นหนึ่งในผู้เฒ่าของลัทธิสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ เหตุใดจึงไม่มีความสามารถในการต่อต้านจิตวิญญาณเต๋าของข้าแม้แต่นิด หากจะบอกว่าสิ่งที่เรียกว่าสาวกอย่างพวกเจ้าเหล่านี้เป็นนกกามารวมตัวกันก็ไม่ใช่ว่าข้าใส่ร้ายพวกเจ้าเลยจริงๆ”
เป็นอันตรายไม่มาก ทั้งยังดูถูกกันไม่เบา
ทันทีที่นางกล่าวจบ กลุ่มคนชุดขาวก็มีสีหน้าโกรธจัด!
ผู้เฒ่าหมิงยิ่งโกรธจนเลือดแทบจะไหลออกมาจากมุมปากอยู่แล้ว
ฉินหลิวซีเดินเข้าไปในวิหาร
“หยุดนาง!” ผู้เฒ่าหมิงตะโกนด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
ทุกคนพุ่งเข้าไป แต่เมื่อได้ยินเสียงกระดิ่ง พวกเขารู้สึกราวกับว่าแก้วหูถูกตอกด้วยตะปู เจ็บแปลบขึ้นมาอย่างกะทันหัน พากันอุดหูพลางกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด
ผู้เฒ่าหมิงอยู่ใกล้นางมากที่สุด ได้รับผลกระทบมากที่สุด เสียงกระดิ่งนี้ทำให้แก้วหูของเขาแตก มีเลือดไหลออกมาจากหูและจมูกของเขา เขากรีดร้องอย่างน่าสังเวช จากนั้นก็พบว่าตัวเองไม่ได้ยินแล้ว
เขามองฉินหลิวซีด้วยความหวาดกลัว อีกฝ่ายเดินผ่านเขาไป เหลือบมองด้วยสายตาเย็นชา
ผู้เฒ่าหมิงรูม่านตาหดลง มือทั้งสองข้างสั่นสะท้าน
ฉินหลิวซีเดินเข้าไปในวิหารศักดิ์สิทธิ์โดยไม่มีสิ่งกีดขวาง สีหน้าดูแย่มากขึ้นเรื่อยๆ นี่มันอะไรกัน ผู้ที่ไม่มีวิชาอาคมแม้แต่นิดได้เป็นท่านผู้เฒ่า อีกทั้งสาวกลัทธิเหล่านั้นก็ล้วนเป็นคนธรรมดาทั้งหมด
พวกเขาอาศัยวาทะศิลป์เป็นเลิศกับน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ทำให้คนเกิดประสาทหลอน เผยแพร่คำสั่งสอนไปทั่ว ดึงดูดผู้ศรัทธาจำนวนนับไม่ถ้วนมาเป็นสาวกลัทธิสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์นี้
นี่มันอะไรกัน
การเผยแพร่ลัทธิสามารถดึงดูดผู้ศรัทธาได้มากกว่าการเผยแพร่คำสอนเสียอีก ซึ่งทำให้ฝ่ายคุณธรรมอย่างพวกนางรู้สึกอับอาย หรือว่าสิ่งที่พวกนางขาดไปก็คือฝีปากที่เป็นเลิศ พูดให้คนตายดูเหมือนมีชีวิตได้
ฉินหลิวซีเข้าไปในวิหารศักดิ์สิทธิ์ ในในห้องโถงวิหารสีขาวนวลจันทร์ ตรงกลางมีรูปปั้นที่ทำจากเครื่องเคลือบ รูปปั้นก้มศีรษะลงเล็กน้อย ลดสายตาลง มองไปยังสรรพสิ่งที่อยู่เบื้องล่าง
นางสบตากับดวงตาคู่นั้น ทันใดนั้นก็มีบางอย่างเข้ามาในใจ ยังคงเป็นทะเลไฟที่ไร้ขอบเขต เปลวไฟตวัดไปมา มีเสน่ห์ดูดกลืนผู้คน ใจกลางทะเลไฟดูเหมือนมีอะไรบางอย่างขยับอยู่
ฉินหลิวซีมองไกลออกไป ดวงตาร้อนระอุด้วยความเจ็บปวดจากไฟที่ลุกโชน แต่นางยังคงจ้องมองไปยังสิ่งที่ขยับอยู่
เป็นลูกไฟ
ลูกไฟอันเย็นยะเยือกแฝงไว้ด้วยการทำลายล้างอันทรงพลัง
ลูกไฟกำลังขยับ ราวกับว่ามีบางอย่างกำลังจะโผล่ออกมาจากในนั้น ฉินหลิวซีใจสั่น ต้องการที่จะระงับมันไว้ตามสัญชาตญาณ แต่ทำไม่ได้
กิเลนไฟตัวหนึ่งกระโดดออกมาจากข้างลูกไฟ จ้องมองนางอย่างจดจ่อ แต่กลับไม่ก้าวไปข้างหน้า
มีเสียงดังมาจากฟากฟ้า ฉินหลิวซีสะดุ้ง กัดปลายลิ้นอย่างแรง ทะเลไฟหายไปอย่างรวดเร็ว นางลืมตาขึ้น ดวงตาทั้งสองข้างเป็นสีแดง และรูปปั้นเครื่องเคลือบที่สบตากับนาง สายตาราวกับมีรอยยิ้มแฝงอยู่ ราวกับกำลังบอกว่าเจ้ากับข้าเป็นประเภทเดียวกัน
“นักพรตปีศาจ นางเป็นนักพรตปีศาจ” มีคนตะโกนด้วยความตกใจ “ดวงตาของนางเป็นสีแดง”
ฉินหลิวซีได้สติกลับมา ก่อนจะหันไปมอง เห็นสาวกลัทธิยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มผู้ศรัทธาที่หลั่งไหลเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ตะโกนออกมาเสียงดัง ผู้ศรัทธาเหล่านั้นมองนางด้วยความตกใจกลัว
“ไม่ใช่เผ่าพันธุ์เดียวกันย่อมมีจิตใจที่แตกต่าง ปีศาจสมควรตาย เผานางให้ตาย เผานางให้ตาย!” ไม่รู้ว่าใครตะโกนเสียงดังขึ้นมาก่อน
ฉินหลิวซีหัวเราะด้วยความโกรธ นางเป็นนักพรตปีศาจหรือ
ตราบใดที่มีคนหนึ่งนำขึ้นมา ไม่นานก็จะมีพรรคพวกตามมาด้วย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าสิ่งตรงหน้าไม่ใช่สิ่งที่ไร้หลักฐาน แต่กลับจับได้คาตา ดังนั้นทุกคนจึงเลือกที่จะเชื่อสายตาของตัวเอง
คนตรงหน้าก็คือนักพรตปีศาจ กระทั่งเป็นสัตว์ประหลาด มิเช่นนั้นคนธรรมดาจะมีดวงตาสีแดงได้อย่างไร
ฉินหลิวซีรู้สึกถึงพลังศรัทธาที่ลดลงก็พูดไม่ออก มองไปยังสาวกลัทธิที่ตะโกนว่านางเป็นนักพรตปีศาจ ทำให้นางสูญเสียพลังศรัทธา ก็เท่ากับมาควักเงินในกระเป๋านาง
ยอมไม่ได้!
ฉินหลิวซีจ้องมองเขา สาวกผู้นั้นมึนงง ทันใดนั้นก็ยกมือขึ้น ตบหน้าตัวเองดังเพียะไม่หยุด ตบไปพลางกล่าวว่า “ข้าพูดจาเหลวไหล พวกคนโง่เง่าเต่าตุ่นอย่างพวกเจ้า ถูกหลอกแล้วล่ะสิ พวกเราต่างหากจึงจะเป็นปีศาจที่แท้จริง!
“เวทมนตร์ปีศาจ นางกำลังร่ายเวทย์มนต์ปีศาจ รีบไปเอาน้ำศักดิ์สิทธิ์มา!” ผู้เฒ่าหมิงตะโกนสั่งในทันที
ฉินหลิวซีมองไป ชายวัยกลางคนที่แต่งตัวแบบเดียวกันกับผู้เฒ่าหมิงใบหน้าอวบอิ่ม ถูกคนห้อมล้อมอยู่ตรงกลางเดินมาหานาง
“เป็นประมุขเซิ่งหมิง” มีคนคุกเข่าลง ตะโกนเรียกประมุขอย่างบ้าคลั่ง โดยเฉพาะคนชุดขาวเหล่านั้น
ฉินหลิวซีแสยะยิ้ม ในที่สุดก็มีผู้ที่มีตบะมาแล้ว
แต่จะให้นางไปงั้นหรือ
เป็นทางเลือกที่ฉลาดจริงๆ ได้รับทั้งชื่อเสียงด้านความเมตตา อีกทั้งยังไม่ต้องสูญเสียคนของตัวเอง และดูแววตาระมัดระวังของคนเหล่านั้น เห็นได้ชัดว่าขี้ขลาด
แต่ว่าการอัญเชิญเทพมานั้นง่าย แต่ส่งเทพกลับไปนั้นยาก ไม่รู้หรือ
ลัทธิสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ ‘พวกเราไม่ได้มีงานอดิเรกอัญเชิญเทพหายนะลงมา เจ้ามาเองต่างหาก!’
ใช่แล้ว เป็นความจริงที่นางมาเอง แต่พวกเขาบอกว่านางเป็นนักพรตปีศาจ ปีศาจจะเชื่อฟังง่ายๆ ได้อย่างไร ไม่อาละวาดแล้วจากไป จะสมกับฉายาที่พวกเขาตั้งให้หรือ
ฉินหลิวซีสะบัดแส้หางม้า ชี้คนเหล่านั้น ตะโกนเสียงดัง “เหอะ! ข้าเคยทำนายได้ว่าที่นี่มีพลังปีศาจปะทุขึ้นมา ได้รับคำสั่งจากเจ้าลัทธิซานชิงมาสังหารปีศาจ เป็นไปตามคาด ปีศาจอย่างพวกเจ้าเหล่านี้ ข้าเพียงแค่ก้าวเข้ามาในประตูวิหาร เหลือบมองรูปปั้นประหลาดนี้เพียงพริบตาเดียว ก็จะล่อลวงข้าให้กลายเป็นปีศาจเหมือนกันกับพวกเจ้า ถุย ข้ามีใจมุ่งในทางเต๋า ยอมพลีชีพเพื่อลัทธิเต๋าก็จะไม่ยอมเป็นพวกเดียวกันกับคนสกปรกอย่างพวกเจ้า หลอกลวงคนทั้งโลก!”
ทุกคน “?”
นางบ้าไปแล้วหรือ
“คิดจะล่อลวงให้ข้ากลายเป็นปีศาจ ด้วยตบะอย่างพวกเจ้านั้นยังไม่เพียงพอ สมบัติวิญญาณเครื่องรางชีวิต ปราบสิ่งชั่วร้ายสังหารปีศาจ จงออกคำสั่งโดยพลัน ปรากฏกายแก่ข้า!” มือทั้งสองข้างของฉินหลิวซีร่ายคาถา กระทืบเท้า คาถากลายเป็นยันต์ที่มองไม่เห็นลอยไปทางด้านสาวกชุดขาวเหล่านั้น จากนั้นก็ได้ร่ายคาถาเสกไปอีกอย่างรวดเร็ว
บรรดาสาวกทั้งหลาย ‘ใครก็ได้เอานักแสดงผู้นี้ออกไปที’
ประมุขเซิ่งหมิงผู้นั้นกลับมีสีหน้าเปลี่ยนไป ถอยหลังหนึ่งก้าว คนที่อยู่รอบกายมีไม่กี่คนที่ฝึกบำเพ็ญอย่างจริงจัง บางคนก็เป็นนักต้มตุ๋นที่อาศัยการหลอกลวง บางคนก็เป็นแม่หมอที่เข้าออกประตูหลัง ผู้ที่มีความสามารถจริงๆ สามารถนับได้ด้วยนิ้วมือหนึ่งข้าง แต่ก็มองลูกไม้ของฉินหลิวซีไม่ออก
สาวกลัทธิ “…”
พวกเขารู้สึกถึงความผิดปกติ มองหน้ากัน รูม่านตาสั่นสะท้าน
สีแดง ดวงตาของพวกเขากลายเป็นสีแดงแล้ว!
กลับมาดูที่ฉินหลิวซี แสร้งทำเป็นเอายันต์สีเหลืองมาแปะบนร่างของตัวเอง จากนั้นตาของนางก็กลับมาเป็นปกติ
อย่าว่ากลอุบายนี้ดูค่อนข้างปลอม แต่ในสายตาของราษฎรนั้นสมจริง เจ้าว่าปีศาจตนไหนจะกล้าเอายันต์มาแปะบนร่างของตัวเอง
อะไรนะ ยันต์นั้นเป็นของปลอมหรือ แต่เมื่อนางสะบัดแส้หางม้า ศีรษะของเทพเจ้าแห่งสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าก็ขาดลงมาจะอธิบายอย่างไร
ตุบๆๆ
เศษซากของรูปปั้นสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ตกลงมา ผู้ศรัทธาหวาดกลัวจนไปหลบอยู่ข้างหลังฉินหลิวซี จากนั้นพวกเขาก็ประหลาดใจที่พบว่าเศษซากเหล่านี้กระเด็นไม่โดนร่างกาย อดมองไปยังฉินหลิวซีไม่ได้ เป็นนางที่ปกป้องพวกเขาแน่ๆ
เจ้าอาวาสปู้ฉิวเป็นฝ่ายคุณธรรมจริงๆ ด้วย พวกเขาเกือบจะโดนหลอกแล้ว!
ฉินหลิวซีกล่าวกับผู้ศรัทธาที่อยู่ด้านหลังว่า “ข้าจะสังหารปีศาจกำจัดมาร พวกเจ้ารีบออกจากวิหารไป เพื่อไม่ให้ได้รับบาดเจ็บ ขอสวรรค์จงประทานพรไม่มีที่สิ้นสุด!”
ตึกๆๆ
ผู้คนรีบพากันถอยออกไปจนหมด ในวิหารมีเพียงคนชุดขาวอยู่เต็มห้อง
ทันทีที่คนถอยออกไป ฉินหลิวซีก็เก็บสีหน้าจอมปลอมที่แสดงละคร เก็บกระดิ่งสามบริสุทธิ์อย่างช้าๆ น้ำเสียงเย็นชา “ล้อเล่นกันมามากพอแล้ว ได้เวลาลงมือแล้ว สังหารปีศาจกำจัดมารเป็นสิ่งที่ข้าจริงจังมาตลอด พวกเจ้าสมควรตาย!”
คนในที่นี้ไม่ต้องพูดถึงว่าแต่ละคนล้วนแบกบาปชีวิต แต่ทุกคนล้วนมีบาปกรรมติดตัว และผู้ที่ถูกเรียกว่าท่านผู้เฒ่าเหล่านั้น ไม่มีใครเป็นผู้บริสุทธิ์สักคน ล้วนแปดเปื้อนเลือด ฆ่าคน เล่นชู้กับภรรยาคนอื่น ปล้นทรัพย์สิน ใช้ความที่ฝีปากเป็นเลิศหลอกลวงชาวบ้าน ไม่เห็นชีวิตคนอยู่ในสายตา!
ซ้ำยังมีรูปปั้นเครื่องเคลือบนี้ ฉินหลิวซีสายตาเย็นชา เอาไม้จินกังออกมา ใส่จิตวิญญาณเต๋า เขย่งปลายเท้าแล้วฟาดลงไป
รูปปั้นเครื่องเคลือบพังทะลายลงส่งเสียงดัง
“ตอนหลอกลวงคน พวกเจ้าล้วนบอกว่าอีกฝ่ายมีบาปกรรมติดตัวต้องชำระให้สะอาดใช่หรือไม่” ฉินหลิวซีมือทั้งสองข้างร่ายคาถา กล่าวว่า “ผู้ที่มีบาปกรรมแท้จริงคือพวกเจ้า พวกเจ้าควรได้รับผลสะท้อนกลับจากสิ่งที่ทำ”
ก็ไม่รู้ว่านางทำอะไร ทันใดนั้นในวิหารก็มีลมกระโชกแรง ขอบประตูหน้าต่างส่งเสียงดัง เดิมทีพื้นที่ที่ยังคงสว่างอยู่ในห้องโถงได้กลายเป็นความมืด ผีโหยหวนหมาป่าเห่าหอน
ทันใดนั้นพวกเขาก็ได้เห็นคนที่ตายไปนานแล้วเหล่านั้น ร้องไห้อย่างเกรี้ยวกราดพลางพุ่งมาหาพวกเขา
“ผี!” ในวิหารพลันวุ่นวายไปหมด
ด้านนอกวิหาร มีผู้ศรัทธาไม่น้อยรวมตัวกัน พากันมามากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อได้ยินเสียงร้องอย่างน่าสังเวชและความเคลื่อนไหวดังออกมาจากในวิหาร ก็อดขนลุกไม่ได้
เกิดอะไรขึ้น
หลังจากที่ลัทธิ์สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์สถาปนาตนเองขึ้น ในสายตาของพวกเขานั้นราวกับการมีอยู่ของดินแดนแห่งเทพเจ้า สูงส่งและทำได้ทุกอย่าง แต่ตอนนี้เมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องอย่างรุนแรงที่ดังมาจากข้างใน ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าภาพลักษณ์นี้ได้ถูกทำลายแล้ว
ฉินหลิวซีคว้าประมุขเซิ่งหมิงที่คิดจะหลบหนี อีกฝ่ายจ้องมองนาง ท่องภาษาสันสกฤตแปลกๆ สองประโยค นางมึนงงเล็กน้อย เมื่อประมุขเซิ่งหมิงผู้นั้นดีใจกำลังจะหนีไป นางก็ใช้แส้หางม้าพันคอของเขาไว้อีกครั้ง
“ท่องคาถากระจอกๆ สองประโยคก็คิดว่าจะทำให้ข้าสับสนได้แล้วหรือ เป็นเทพแห่งสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นประทานความกล้าให้แก่เจ้าหรือ” น้ำเสียงอันเบาบางของฉินหลิวซีเจาะเข้าไปในแก้วหูของเขาราวกับงูพิษ
ประมุขเซิ่งหมิงส่งเสียงอึกอักในลำคอ ฉินหลิวซีถามว่า “นิกายสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์นี้ ใครให้เจ้าสร้างขึ้นมา เงินที่พวกเจ้าสะสมไว้ถูกส่งไปที่ไหน”
รูปปั้นเครื่องเคลือบนี้ต้องเป็นของซื่อหลัวอย่างแน่นอน มิเช่นนั้นนางไม่มีทางเข้าสู่ภวังค์ได้ในพริบตาเดียว พลังศรัทธาเป็นสิ่งที่เขาต้องการ แล้วทรัพย์สินที่ได้มาจากราษฎรนั้นไปอยู่ที่ไหน
อึกอัก
ประมุขเซิ่งหมิงเบิกตาโต ฉินหลิวซีคายแส้หางม้าออกเล็กน้อย เขากำลังจะพูด แต่กลับเผยรอยยิ้มแปลกๆ ให้กับฉินหลิวซี
ฉินหลิวซีด้านชา ทันใดนั้นก็ดึงแส้หางม้าออก ขณะที่ก้าวถอยหลังก็ได้สร้างม่านอาคมให้ตัวเอง
เสียงดังสนั่น
ฝนเลือดเต็มท้องฟ้า เศษเนื้อปลิวว่อนไปทั่ว
ฉินหลิวซีมองด้วยสายตาเย็นชา หลังจากผ่านไปนานก็หัวเราะในลำคอ คิดจะระเบิดตัวเองใส่นาง!