คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1140 คนบางคนช่างเสแสร้งเก่งจริงๆ
ตอนที่ 1140 คนบางคนช่างเสแสร้งเก่งจริงๆ
………………..
เมื่อเห็นว่าประมุขเซิ่งหมิงระเบิดตัวเอง ฉินหลิวซีก็พับนกกระเรียนกระดาษแล้วปล่อยให้บินออกไปหนึ่งตัว จากนั้นก็สั่นกระดิ่งสามบริสุทธิ์ สะบัดแส้หางม้า ท่องคาถาพ้นทุกข์ไปเกิดใหม่สองรอบ เปิดประตูวิญญาณแล้วส่งวิญญาณแค้นเข้าไป
ในห้องโถงเงียบสงบลง แม้แต่สาวกชุดขาวเหล่านั้นก็ยังร้องไห้อย่างเจ็บปวดและกลับใจเพราะการชำระของเสียงกระดิ่งสามบริสุทธิ์และบทสวดการไปเกิดใหม่
แต่จะมีไปประโยชน์อะไรเมื่อมากลับใจเอาตอนนี้ พวกเขาควรจะรู้สึกเสียใจต่อทุกคนที่ถูกหลอก
ฉินหลิวซีสะบัดแส้หางม้า หน้าต่างและประตูที่ปิดอยู่ถูกผลักให้เปิดออกพร้อมกัน แสงกระจายไล่ความมืดมิดออกไป
ความสว่างอย่างฉับพลันทำให้ทุกคนหลับตาลงตามสัญชาตญาณ เมื่อค่อยๆ ปรับตัวได้ ในขณะที่ลืมตาขึ้น พวกเขาก็ได้กลิ่นเลือดรุนแรง มองไปรอบๆ ตามสัญชาตญาณ เห็นเศษเลือดเนื้อกระจัดกระจายไปทั่ว
นี่มัน นี่มันอะไรกัน
“จงมีความสุขเถิด ประมุขของพวกเจ้ามีอยู่ทุกที่” ฉินหลิวซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม
มีอยู่ทุกที่?
เช่นนั้นเลือดและเนื้อที่กระเด็นไปทุกหนแห่งก็คือประมุขของพวกเขา แตกกระจายเป็นชิ้นๆ?
มีคนแตะบางอย่างที่ขอบปาก จ้องมองดู เป็นข้อนิ้วเล็กๆ อดร้องตะโกนขึ้นมาไม่ได้ ก่อนจะหันไปอาเจียนออกมาทันที
หลายคนก้มลงมองเห็นว่าชุดสีขาวของตัวเองเปลี่ยนเป็นสีแดง ที่ปากมีความเหนียวเหนอะหนะ ทันใดนั้นก็รู้สึกคลื่นไส้ พากันส่งเสียงอาเจียนออกมา
ฉินหลิวซีเดินออกไปจากวิหาร ข้างนอกมีคนจำนวนมาก เมื่อเห็นนางเดินออกมา เดิมทีที่เสียงดังเอะอะโวยวายก็ได้เงียบสงบลงในทันที จากนั้นพวกเขาก็เห็นบรรดาอดีตสาวกเหล่านั้นวิ่งออกมาอาเจียน ทั้งตัวเต็มไปด้วยรอยเลือด สีหน้าตื่นตระหนก ราวกับเห็นผีตอนกลางวันแสกๆ
ก็เห็นผีแล้วไม่ใช่หรือ
ฉินหลิวซีหันกลับไปมอง บรรดาผู้เฒ่าเหล่านั้นยังมีแรงอยากจะหลบหนี นางแสยะยิ้ม สะบัดโซ่ตรวนวิญญาณออกมา พุ่งไปหาพวกเขาแล้วมัดพวกเขาไว้รวมกัน
โซ่ตรวนวิญญาณไม่ได้เพียงแค่จับวิญญาณ หากจับวิญญาณที่ยังมีชีวิตอยู่ ดวงวิญญาณของพวกเขาก็รับรู้ได้ถึงการปราบปรามเช่นกัน ราวกับถูกเฆี่ยนตี ยิ่งดิ้นรนก็จะยิ่งรัดแน่นขึ้น
พวกเขาก็เป็นนักต้มตุ๋นที่รู้วิธีหลอกคน ทำตามคำสั่งของประมุขทุกอย่าง ไหนเลยจะมีวิชามาต่อต้านอำนาจของโซ่ตรวนวิญญาณนี้ได้ ตอนนี้ถูกมัด เดิมทีก็เป็นเพราะสูญเสียพลังงานจากการเห็นผีเมื่อครู่ ตอนนี้ถูกโซ่ตรวนวิญญาณปราบปราม รู้สึกว่าดวงวิญญาณราวกับถูกคนฉีกกระชากออกอย่างไร้ความปรานี
การถูกเฉือนเนื้อแยกชิ้นส่วนก็คงไม่เจ็บปวดเหมือนตอนนี้หรอกกระมัง
“ข้ามีบาป ข้ามีบาปมหันต์ ขอท่านได้โปรดลงโทษด้วยเถิด” มีท่านผู้เฒ่าคุกเข่าลง โขกศีรษะให้ฉินหลิวซีไม่หยุด
ฉินหลิวซีกล่าวว่า “ไม่ต้องรีบร้อน ย่อมมีช่วงเวลาให้เจ้าได้ยอมรับผิด”
นางหันไปมองในวิหาร ตะโกนเสียงดัง “ไสหัวออกมาให้หมด”
สาวกลัทธิชุดขาวต่างพากันวิ่งออกมาจากในวิหารศักดิ์สิทธิ์ที่มีกลิ่นและภาพทำให้คนรู้สึกอยากจะหยุดหายใจ ยังมีคนที่มีแรงพอที่จะเห็นว่าสถานการณ์ตรงหน้าผิดปกติ อยากจะหลบหนีทันที แต่ฉินหลิวซีใช้ไม้จินกังตีใบหน้าเขาจากระยะไกล ไม่มีใครกล้าหลบหนีอีก
ไม่หนี รอให้คนของทางการมายังจะมีโอกาสรอด แต่หากหนีอาจจะถูกนางตีจนตาย!
“คุกเข่าขอโทษผู้ศรัทธาของพวกเจ้า” ฉินหลิวซีเดินไปข้างหน้าทีละก้าว
ขณะที่นางเดิน ไม่ได้เดินอยู่บนพื้นราบ แต่ในสายตาของทุกคน ทุกก้าวของนางราวกับการเดินอยู่บนบันไดลวงตาที่มองไม่เห็น สูงขึ้นไปทีละก้าว ยืนอยู่กลางอากาศอย่างมั่นคง
ทุกคนต่างพากันตกตะลึง
เฟิงซิวที่พึ่งเสร็จจากการจัดการสิ่งที่เรียกว่าลัทธิบำเพ็ญจิตในทางเหนือกำลังพิงยอดวิหารศักดิ์สิทธิ์ มองดูคนข้างล่างผู้นั้น สยายหางใหญ่พลางอุทานอย่างทอดถอนใจ
คนบางคนช่างเสแสร้งเก่งจริงๆ!
ฉินหลิวซีเหลือบมองเขาอย่างไม่สบอารมณ์ ส่งเสียงพลังจิตไปหา ‘คิดว่าพลังแห่งความศรัทธาได้มาง่ายขนาดนั้นหรือ’
หากนางไม่แสดงความสามารถที่แท้จริงสักหน่อย ไหนเลยจะเปลี่ยนภาพลักษณ์ของคนลัทธิสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ในใจของผู้ศรัทธาเหล่านี้ได้
ตอนนี้ภัยพิบัติทางธรรมชาติและที่เกิดจากมนุษย์เกิดขึ้นติดต่อกัน เมื่อราษฎรตกอยู่ในความสิ้นหวังก็จะแสวงหาความศรัทธามายืนหยัดการมีชีวิตอยู่ต่อไปของพวกเขา ศรัทธาสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์นั้นไร้ประโยชน์ ไม่สู้ศรัทธานางจะดีกว่า!
ลูกไม้นี้ของนางทำให้ทุกคนสั่นสะท้านจริงๆ
ถามหน่อยว่าใครสามารถเดินกลางอากาศได้ ซ้ำยังยืนอย่างมั่นคง ปกติพวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต แต่ตอนนี้พวกเขาได้เห็นแล้ว!
นางใบหน้างดงาม สวมชุดคลุมเต๋าสีเขียวที่สะอาดสะอ้านไร้สิ่งแปดเปื้อน ยันต์ที่ปักด้วยด้ายสีทองบนเสื้อคลุมนั้นถูกการหักเหของแสง ราวกับมีอักขระยันต์แสงสีทองเต้นรำอยู่รอบตัวนาง ทำให้นางราวกับเซียน ไม่อาจดูหมิ่นได้
มีคนคุกเข่าลง ร้องไห้พลางขอร้องให้นางแสดงอภินิหาร ช่วยเหลือโลกแห่งความทุกข์ทรมานนี้
ฉินหลิวซียืนอยู่กลางอากาศ สั่นกระดิ่งสามบริสุทธิ์ในมือ เสียงกระดิ่งชัดเจนดังกังวานออกไป
คนข้างล่างต่างพากันเงียบสงบ
“ข้าไม่ใช่เซียน ข้าเป็นเพียงเจ้าอาวาสอารามชิงผิง ปกติก็กินข้าวเหมือนคนทั่วไป บรรพบุรุษอารามชิงผิงของพวกเราเป็นศิษย์ของเจ้าลัทธิเต๋าซานชิง สืบทอดวิถีอันชอบธรรม นี่ก็เป็นเพียงหนึ่งในศาสตร์นับพันของเสวียนเหมิน”
ฉินหลิวซีมองราษฎรเหล่านั้น กล่าวว่า “เหตุผลที่แสดงวิชานี้ต่อหน้าทุกท่าน ก็เพื่อที่อยากจะบอกพวกท่านว่าลัทธิเต๋าใช่ว่าไม่มีนักพรตที่มีความสามารถจริงๆ อยู่ แต่จะไม่รังแกราษฎรตามใจชอบด้วยวิชาลึกลับนี้ จะไม่ขอทุกสิ่งทุกอย่างจากพวกท่าน แต่ให้ทำตามกำลังศรัทธาตามวาสนา ส่วนผู้เผยแพร่ลัทธิสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์นั้นเผยแพร่อย่างไร พวกท่านย่อมรู้ดี มีคนจำนวนไม่น้อยสูญเสียครอบครัว ทิ้งภรรยาทิ้งบุตรเพราะสิ่งนี้ พวกท่านลองฟังดูว่าพวกเขาเคยทำอะไรไว้บ้าง”
ทันทีที่ฉินหลิวซียกมือขึ้น บรรดาผู้เฒ่าเหล่านั้นก็กรีดร้องอย่างน่าสังเวช “ข้าบอก ข้าบอกเอง การมีอยู่ของลัทธิสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ก็เพียงเพื่อเอาเงินจากราษฎรและผู้ที่มั่งคั่ง เพื่อให้พวกเจ้าเชื่อฟัง พวกเราจึงได้ใช้ยาน้ำ…”
ปากของพวกเขาราวกับไม่สามารถควบคุมได้ เอ่ยถึงบาปทั้งหมดที่เคยทำออกมา
ชาวบ้านต่างพากันตกตะลึง ดังนั้นสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ที่พวกเขาคิดว่าสามารถรักษาโรคและคุ้มครองพวกเขาได้นั้นเป็นเรื่องเท็จทั้งหมด พวกเขาไม่เพียงแต่ไม่ได้รับการคุ้มครอง ซ้ำยังมีพิษในร่างกายเนื่องจากดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย
นี่ยังเป็นเรื่องเล็ก มีบางคนเสียทรัพย์สมบัติของตระกูลทั้งหมดเพราะเหตุนี้ เชื่อฟังคำพูดใส่ร้ายของสาวก พูดจาไม่ดีกับคนในครอบครัว กระทั่งลงมือฆ่า
มีดดาบควรหันเข้าหาศัตรู แต่พวกเขากลับเล็งคนที่ใกล้ชิดกับตัวเองมากที่สุด
บาปกรรมของพวกเขาไม่ได้น้อยไปกว่าลัทธิ์สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์นี้เลย
เมื่อความจริงถูกเปิดเผย ก็เหมือนกับหนังที่พึ่งตกสะเก็ดถูกฉีกออกให้เห็นบาดแผลที่เปื้อนเลือดจนไม่อาจทนมองได้
ผู้ศรัทธาลัทธิสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นจิตใจพังทลายลงในทันที บางคนก็เป็นลม บางคนก็ยังอยากจะนำธูปเทียนมาบูชาเทพสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ บางคนก็พุ่งเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง จับคนเหล่านั้นมาทุบตี
เฟิงซิวกลายเป็นจิ้งจอกน้อยกระโดดไปหมอบอยู่บนไหล่ของฉินหลิวซี หางปัดอยู่ที่คอของนางอย่างเกียจคร้าน กล่าวว่า “ไม่กลัวหรือว่าที่นี่จะเกิดการจราจลขึ้น หากตีกันตายจะทำอย่างไร”
“กฎหมายไม่ได้ลงโทษทุกคน หากตีกันตายก็ปล่อยไปเถิด สาวกลัทธิไม่มีใครเป็นผู้บริสุทธิ์” คอของฉินหลิวซีถูกขนหางจิ้งจอกปัดไปมาจนรู้สึกชา คว้าตัวเขาลงมา สัมผัสความรู้สึกที่นุ่มนวล อดลูบเขาแรงๆ ไม่ได้ กล่าวอย่างเย็นชาว่า “แผลเน่าแล้ว หากไม่คว้านเอาเนื้อเน่าออกแล้วทายาใหม่ก็จะไม่หายดี พวกเขาก็ต้องระบายอารมณ์นี้ และต้องเผชิญกับสิ่งที่พวกเขาทำกับคนในครอบครัว”
เฟิงซิวตัวแข็งทื่อ “ท่านลูบดีๆ”
ฉินหลิวซีก้มลงมองเข้าไปในดวงตาจิ้งจอกที่สวยงาม กล่าวว่า “เจ้าก็แค่จิ้งจอก มีอันเล็กนิดเดียว ข้าลูบไม่โดนหรอก!”
ดูถูกกันเกินไปแล้ว!
เฟิงซิวกางกงเล็บจะสู้ตายกับนาง
“ไปซะเถิด!” ฉินหลิวซีโยนเขาขึ้นฟ้า แล้วเดินไปบนอากาศ
คนที่มาเก็บกวาดสิ่งเน่าเสียของลัทธิสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์มาแล้ว