คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1142 ตั้งใจให้นางต้องแบกรับผลกรรมอันใหญ่หลวง
- Home
- คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า
- ตอนที่ 1142 ตั้งใจให้นางต้องแบกรับผลกรรมอันใหญ่หลวง
ตอนที่ 1142 ตั้งใจให้นางต้องแบกรับผลกรรมอันใหญ่หลวง
………………..
ฉินหลิวซีได้ทำพิธีที่แท่นบูชาของลัทธิสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ทางด้านนี้เป็นเวลาหนึ่งวัน ประเด็นหลักเพื่อช่วยสวดส่งดวงวิญญาณในบริเวณโดยรอบ กระทั่งสวดพระสูตรเทศนาเต๋า และหนึ่งในนั้นก็ไม่ลืมที่จะแสดงทักษะที่แท้จริงอย่างสง่างาม เพื่อดึงดูดผู้ศรัทธาและสร้างชื่อเสียงให้กับอารามชิงผิง อย่างไรเสียความศรัทธา หากไม่แสดงความสามารถมาโอ้อวดแล้วทุกคนจะเชื่อเจ้าอย่าหมดใจได้อย่างไร
แน่นอนว่านางก็ไม่ได้แสดงวิชาที่ดูเวิ่นเว้อเหล่านั้น ยิ่งเป็นนักพรตเต๋าหรือพระภิกษุที่มีชื่อเสียงซึ่งคาดเดาได้ยากมากเท่าไหร่ ก็ต้องมีขอบเขตที่แน่นอน ยิ่งทำให้คนรู้สึกคาดเดาไม่ได้ ก็ยิ่งรู้สึกว่าเจ้านั้นเก่งกาจ
ฉินหลิวซียังได้ใช้พิธีเต๋าสวดภาวนาปัดเป่าภัยพิบัติ ทั้งๆ ที่เป็นวันที่มีเมฆมาก ท้องฟ้ามืดครึ้มดูเหมือนฝนจะตก แต่หลังจากที่นางสวดภาวนา เมฆครึ้มก็ได้สลายไป ท้องฟ้าสดใสหลายหมื่นลี้ มีแสงหลากสีปรากฏขึ้น
การแสดงฝีมือนี้ถูกผู้คน ณ ที่แห่งนี้เรียกกันว่าวิชาเซียน ต่างอุทานอย่างอัศจรรย์ใจ มองดูคนที่ราวกับเซียนด้วยความยำเกรง
นอกจากนี้นางยังได้รักษาการกุศลเป็นเวลาหนึ่งวัน และได้กำหนดเวลาสิ้นสุดการรักษาการกุศลไว้นานแล้ว เมื่อถึงปลายยามเซิน[1] หลังจากที่นางรับผู้ป่วยคนสุดท้าย แจ้งแก่ผู้คนที่กำลังต่อแถวว่าอีกสักครู่จะมีสามีภรรยาคู่หนึ่งมาให้นางตรวจอาการ หากอยากจะสมปรารถนาก็ให้เริ่มเดินทางไปที่อารามชิงผิงตั้งแต่ตอนนี้ ทุกๆ ห้าลี้ ให้สามีภรรยาหยุดแล้วโขกศีรษะคำนับไปทางด้านตะวันออกสามครั้ง จากนั้นก็ผูกผ้าสีแดงไว้ที่ริมถนน โปรยเหรียญทองแดง จนกระทั่งไปถึงเชิงเขาอารามชิงผิงก็จะหายป่วยโดยไม่ต้องรักษา
เมื่อกล่าวจบ นางก็เพิกเฉยต่อการพยายามฉุดรั้งของทุกคน ลุกขึ้นแล้วเดินไปข้างหน้า หายตัวไปในความว่างเปล่าท่ามกลางสายตาของทุกคน
แม้ว่าเมื่อวันก่อนฉินหลิวซีจะได้สวดภาวนาปัดเป่าภัยพิบัติทำให้พวกเขาได้เห็นปรากฏการณ์มหัศจรรย์ไปแล้ว แต่ตอนนี้นางเดินไปไม่กี่ก้าวก็หายตัวไปกลางอากาศ ทำให้ทุกคนตกใจเป็นอย่างมาก กล่าวกันว่าเป็นวิชาเซียน
และหลังจากนั้นไม่นาน คู่รักสามีภรรยาวัยเกือบสี่สิบปีก็ได้ประคองกันมา ถามทุกคนว่าฉินหลิวซีได้รักษาการกุศลอยู่ที่นี่หรือไม่ พวกเขาสามีภรรยามาขอรับการรักษา
ทุกคนต่างพากันเงียบ
สามีภรรยาคู่นั้นมองหน้ากัน พวกเขามาผิดทางหรือ
จนกระทั่งพวกเขาถามขึ้นอีกครั้งจึงได้รับแจ้งข้อความของฉินหลิวซี ทั้งสองคนตกตะลึงเล็กน้อย ทั้งคู่มองหน้ากัน กำชับบ่าวรับใช้ที่ตามมาด้วยให้ไปซื้อผ้าแดงและไปแลกพวงเหรียญทองแดงที่ร้านรับฝากเงิน
มีคนมองดูการกระทำของพวกเขา ก็ถามด้วยความอยากรู้ว่าพวกเขาป่วยเป็นอะไร ต้องการจะขออะไร
ชายผู้นั้นสีหน้าขมขื่น กล่าวว่า “ความจริงแล้วพวกเราสามีภรรยามาเพื่อขอบุตร เมื่อสิบปีก่อน เมืองหลิงเกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ ตอนที่พวกเราไปขอลี้ภัยกับญาติและสหายได้เจอกับโจรป่า ได้พลาดกับบุตรหนึ่งคน พยายามตามหามาโดยตลอดแต่ก็ไม่พบ หลายปีมานี้หาบุตรไม่พบ บุตรในครรภ์ก็ไม่มีความเคลื่อนไหว พวกเราได้ยินมาว่ามีหมอลัทธิเต๋าอยู่ที่นี่ วิชาอาคมแก่กล้า วิชาแพทย์เป็นเลิศ ประการแรกมาเพื่ออยากถามว่าบุตรไปอยู่ที่ไหน ประการที่สองเพื่อขอรับการรักษา”
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้
“เจ้าไม่ใช่คนที่เจ้าอาวาสจ้างมาแสดงละครใช่หรือไม่” มีคนเอ่ยถาม
ชายผู้นั้นมีสีหน้าโกรธเคืองทันที “จะบอกให้ว่าข้าจางจื่ออิ่น เป็นคนเมืองหลิง มณฑลหลินอันในหนิงโจว หลายปีมานี้ข้ากับภรรยาได้เดินทางจากใต้ไปเหนือเพื่อตามหาบุตร เห็นวัดก็เข้าไปกราบไหว้ เห็นอารามเต๋าก็เข้าไปขอพร ทำความดีมากมาย คนทั้งมณฑลหลินอันล้วนรู้เรื่องนี้ หากไม่เชื่อก็ไปตรวจสอบได้เลย ถูกว่าจ้างอะไรกัน ข้าจางจื่ออิ่นไม่ขาดแคลนมีกินมีใช้ ไม่มีทางถูกว่าจ้างด้วยเงิน และยิ่งไม่เอาเรื่องของบุตรมาล้อเล่น”
เมื่อคนผู้นั้นเห็นว่าเขาโมโหก็อดลำบากใจไม่ได้ กล่าวว่า “ลัทธิสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ก็บอกว่าจะคุ้มครองคนทั้งโลก ใครจะไปรู้ว่าคราวนี้จะเป็นคนหลอกลวงอีกหรือไม่”
“อย่ากล่าวเหลวไหล เจ้าอาวาสปู้ฉิวเป็นกึ่งเซียน ไม่ใช่ผู้ที่โจรเจ้าเล่ห์ต่ำช้าจะมาเทียบได้”
“ใช่แล้วๆ เจ้าปากร้ายขนาดนี้ ระวังจะติดกรรมคำพูด”
ทุกคนพากันกล่าวพึมพำ คนผู้นั้นกลัวจะทำให้ฝูงชนไม่พอใจจึงรีบมุดหายเข้าไปในกลุ่มคน
จางจื่ออิ่นผู้นั้นยกมือคำนับทุกคน จากนั้นก็เดินไปตามทาง ท่ามกลางฝูงชน ก็มีพ่อค้าเดินเท้าที่เดินทางจากใต้ไปเหนือเช่นกัน ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความอยากรู้อยากเห็นหรืออะไรจึงได้ตามไปด้วย เขาอยากดูว่าสามีภรรยาคู่นี้จะทำเช่นนั้นจริงๆ หรือไม่ และเจ้าอาวาสปู้ฉิวผู้นั้นจะศักดิ์สิทธิ์ขนาดนั้นจริงหรือ อย่างไรเสียเขาก็จะไปอารามเต๋า หากศักดิ์สิทธิ์จริงๆ จะกราบไหว้บูชาสักหน่อยก็ไม่เป็นไร
ทุกคนพูดเกี่ยวกับเรื่องมหัศจรรย์เมื่อครู่นี้พลางทยอยแยกย้ายกันไป ชื่อเสียงเจ้าอาวาสปู้ฉิวแห่งอารามชิงผิงเป็นกึ่งเซียนที่แท้จริงได้แพร่กระจายออกไปจากที่นี่นับตั้งแต่บัดนี้
ฉินหลิวซีที่ล่องหนอยู่ในอากาศได้เห็นฉากนี้ เลิกคิ้วพลางกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “พ่อค้าผู้นั้นเป็นคนฉลาด จะต้องทำบางสิ่งได้อย่างแน่นอน”
เฟิงซิวกลอกตาใส่นาง กล่าวว่า “ข้าไม่สนว่าจะทำอะไรหรือไม่ ข้าว่าท่านยิ่งรู้จักหลอกผีเก่งขึ้นเรื่อยๆ ไปเรียนกลอุบายของลัทธิสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์มาหรือ ตอนนี้อารามชิงผิงต่อให้ไม่อยากมีชื่อเสียงก็คงยาก”
เฟิงซิว “ท่านเปลี่ยนไปแล้ว ท่านเริ่มไล่ล่าชื่อเสียงและผลประโยชน์แล้ว”
“ผิดแล้ว ข้าทำเพื่อพลังศรัทธาต่างหาก” ฉินหลิวซีส่ายนิ้วชี้ไปมา
เฟิงซิวกล่าวว่า “พลังศรัทธานั้นสำคัญ แต่การฝึกบำเพ็ญนั้นสำคัญกว่า การมีอยู่ของท่านในยุทธภพนั้นเพียงพอแล้ว ด้านการฝึกบำเพ็ญก็จะต้องก้าวหน้าไปอีกขั้น ท่านเองก็เห็นแล้ว ซื่อหลัวกลัวว่าใต้หล้าจะสงบสุข ขัดขวางทางเดินของท่านนั้นเป็นเพียงขั้นตอนหนึ่ง ยังมีสิ่งที่สำคัญกว่านั้น”
“หืม?”
เฟิงซิวเม้มริมฝีปาก เอ่ยว่า “คำพูดนี้ท่านอาจจะไม่ค่อยอยากฟัง แต่ข้าไม่พูดไม่ได้ ภัยพิบัติทางธรรมชาติและมนุษย์ แท้จริงแล้วเป็นสวรรค์ลิขิต ผู้คนเดิมทีต้องตายท่ามกลางภัยพิบัติ แต่เป็นเพราะท่านยื่นมือเข้าไปแทรกแซงเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตกลับคืนมา ความจริงแล้วสิ่งนี้ก็เป็นการเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตที่ขัดต่อเจตจำนงค์ของสวรรค์ ในเมื่อมีวิถีแห่งสวรรค์ ผู้ที่เปลี่ยนแปลงชะตาของชีวิตขัดต่อเจตจำนงค์ของสวรรค์ย่อมถูกผลกรรมสะท้อนกลับ เพราะผลกรรมนี้ย่อมต้องชดใช้ในที่สุด ตอนนี้ยังไม่ตามสนอง หากตามสนองตอนที่ท่านลงสนามรบ เช่นนั้นเกรงว่าจะเป็นหายนะอันใหญ่หลวง”
ฉินหลิวซีหรี่ตาลง “เจ้าหมายความว่าเขาต้องการให้ข้าแบกรับผลกรรมนับหมื่นพันนี้หรือ”
“ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้!” เฟิงซิวกล่าวอย่างเป็นกังวลว่า “ยิ่งท่านแบกรับผลกรรมหนักเท่าไหร่ ผลสะท้อนกลับที่ได้รับก็จะยิ่งรุนแรงมากเท่านั้น เมื่อถึงเวลานั้นยังจะมีแรงอะไรไปต่อสู้อีก”
ฉินหลิวซีเงียบอยู่เป็นเวลานาน กล่าวว่า “วิถีแห่งสวรรค์ห้าสิบ ถูกกำหนดไว้สี่สิบเก้า เช่นนั้นยังมีโอกาสอันริบหรี่ ภัยพิบัติทางธรรมชาติเป็นสิ่งที่ต้องเกิด หากสวรรค์โยนผลกรรมอันใหญ่หลวงนี้มาให้ข้าเพราะเหตุนี้ เช่นนั้นก็เป็นสุนัขต่ำช้าอย่างแท้จริง!”
แค่พูดถึงก็รู้สึกโกรธ ข้าอยากจะกบฏจริงๆ เลย!
สวรรค์ ‘ข้ายุติธรรม!’
เฟิงซิวเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ท่านกำลังเปลี่ยนแนวคิด พยายามโน้มน้าวข้า”
ฉินหลิวซีกล่าวว่า “ข้าพูดตามความเป็นจริง แต่สิ่งที่เจ้าพูดมานั้นก็มีความเป็นไปได้ แต่เขาให้ข้าแบกรับการสะท้อนของผลกรรม เขาเป็นคนสร้างภัยพิบัติทางธรรมชาติและมนุษย์ขึ้นมา ก็ต้องแบกรับผลกรรมด้วยไม่ใช่หรือ ทำลายศัตรูนับพัน แต่ตัวเองสูญเสียไปแปดร้อย เขาเล่นใหญ่ขนาดนี้ ความจริงแล้วก็เป็นพวกนิสัยเสีย!”
“ไม่ว่าอย่างไร ต่อให้เขาจะมีแผนการลับมากมายแค่ไหน เมื่อเผชิญหน้าต่อความแข็งแกร่ง ก็ล้วนไร้ประโยชน์ ดังนั้นการที่ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นจึงจะเป็นประเด็นหลัก ท่านจะเสียการใหญ่เพราะสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ไม่ได้ ภัยคุกคามใหญ่ที่สุดรออยู่ข้างหลัง” เฟิงซิวถอนหายใจพลางเอ่ย “ขอกล่าวทำร้ายจิตใจอีกสักประโยค เมื่อเผชิญกับภัยพิบัติ หากเอาแต่พึ่งพานักพรตในเสวียนเหมินอย่างท่านมาช่วยเหลือ แล้วจะมีราชสำนักไว้ทำเผือกอะไร”
“ข้าเข้าใจความหมายของเจ้า ข้าจะลำดับความสำคัญให้ถูก”
ฉินหลิวซียิ้มเล็กน้อย สายตามองไปข้างหน้า กล่าวว่า “มันเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการต่อสู้ เดิมทีก็เป็นการสำรวจคู่ต่อสู้ก่อนลงสนามรบ หากหาจุดอ่อนของเขาพบ ข้าก็จะสามารถชนะได้”
เฟิงซิวไม่ได้เอ่ยอะไรอีก หากนางสามารถเพิกเฉยต่อสิ่งมีชีวิตได้จริงๆ แล้วจะเดินมาถึงจุดได้อย่างไร การที่เขาเอ่ยเตือนก็แค่บอกถึงผลข้างเคียง กลัวว่านางจะคำนวณพลาด
[1] ยามเซิน 15.00 น.-17.00 น.