คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1146 หอของเจ้าเด็กนี่หากจะเอ่ยว่าเอียงก็เอียง
- Home
- คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า
- ตอนที่ 1146 หอของเจ้าเด็กนี่หากจะเอ่ยว่าเอียงก็เอียง
ตอนที่ 1146 หอของเจ้าเด็กนี่หากจะเอ่ยว่าเอียงก็เอียง
………………..
เป็นเวลาติดต่อกันสามวันแล้วที่ฉินหลิวซีใช้วิธีฝังเข็มสองแบบรักษาเจ้าอาวาสชิงหลาน จนเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าร่างกายของท่านกำลังฟื้นฟูขึ้นเรื่อยๆ เหล่าศิษย์อย่างไท่ชิงและคนอื่นๆ ล้วนปลาบปลื้มยิ่งนัก แต่ความปลาบปลื้มนี้กลับแปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกละอายและสงสารเมื่อมองเห็นใบหน้าซีดเซียวของฉินหลิวซี
การฟื้นตัวของเจ้าอาวาสชิงหลานล้วนแลกมาด้วยการสูญเสียพลังชีวิตของนางครั้งแล้วครั้งเล่า
ฉินหลิวซีกลับไม่ใส่ใจ เจ้าอาวาสชิงหลานอาการดีขึ้น ก็เป็นการปลอบใจนางที่ครั้งนั้นไม่อาจช่วยอาจารย์ของนางเอาไว้ได้ ดังนั้นรอยยิ้มจึงผ่อนคลายมาก
“ต่อจากนี้ไปไม่ต้องฝังเก้าเข็มฟื้นพลังหยางแล้ว อีกสองวันข้าจะฝังเข็มเทพไท่อี่ปรับสภาพให้ ท่านเองก็บำเพ็ญฟื้นฟูในทุกๆ วัน นำพลังแห่งธาตุทั้งห้าแห่งสวรรค์และโลกเข้าสู่ร่าง ค่อยๆ ฟื้นตัวเถิด” ฉินหลิวซีจับชีพจรของเจ้าอาวาสชิงหลาน แล้วหยิบกระดาษพู่กันออกมา ปรับเปลี่ยนตำรับยาเล็กน้อย ก่อนส่งมอบให้ไท่ชิง “ใช้ตำรับนี้แทน”
ไท่ชิงรับมา ทำความเคารพด้วยความนอบน้อม
“ศิษย์พี่จะตัดทอนชีวิตข้าให้สั้นลงหรืออย่างไร” ฉินหลิวซีเบี่ยงตัวหลบ
“เป็นสิ่งที่สมควรแล้ว” เขายิ้มพลางเอ่ย “ยาต้มเพิ่มพลังชีวิตกำลังอุ่นๆ อยู่บนโต๊ะ เจ้าอย่าลืมกิน ข้าจะลงไปเปลี่ยนตำรับยาตามใบสั่งยานี้ เจ้าอยู่คุยกับอาจารย์เถิด”
เจ้าอาวาสชิงหลานเอ่ย “อย่าว่าแต่ไท่ชิงเลย แม้แต่ข้าเองก็สมควรทำความเคารพต่อเจ้าสักครั้งหนึ่ง ขอบคุณที่ช่วยชีวิตชรานี้ของข้าไว้”
“ท่านกล่าวหนักเกินไปแล้ว หากตาเฒ่ารู้เข้า เกรงว่าคงตำหนิว่าข้าทะนงตนแน่” ฉินหลิวซีดื่มยาต้มที่ไท่ชิงเตรียมไว้ให้จนหมดในคราวเดียว เอ่ย “ท่านก็ควรบอกข้าเรื่องตระกูลเฟิ่งนั่น ข้าได้ยินว่าเหอหมิงบอกว่าชะตาของตระกูลเฟิ่งสิ้นสุดลง ไม่มีใครในตระกูลรอดชีวิตเลย”
สีหน้าของเจ้าอาวาสชิงหลานแสดงความเคร่งเครียดออกมาเล็กน้อย เอ่ย “ตระกูลเฟิ่งเป็นตระกูลใหญ่ในสมัยราชวงศ์เซี่ยเมื่อก่อน เคยมีฮองเฮาถึงสองพระองค์ แม้กระทั่งตอนที่บรรพกษัตรย์เปลี่ยนยุคสมัยเปลี่ยนราชวงศ์ ยังคิดจะรับบุตรีตระกูลเฟิ่งเข้าวังเป็นสนม แต่ในเวลานั้นตระกูลเฟิ่งไม่มีบุตรีที่มีอายุเหมาะสม จึงแต่งตั้งบุตรชายที่มีความสามารถโดดเด่นให้ดำรงตำแหน่งขุนนาง แต่ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ตระกูลเฟิ่งค่อยๆ เสื่อมโทรมจนไม่ได้ใส่ใจลึกลงไป กระทั่งปีที่แล้วเกิดเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ ทำให้ตระกูลเฟิ่งที่เสื่อมโทรมอยู่แล้วตายจากไปเหลือเพียงสตรีคนเดียวเท่านั้น”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ สีหน้าของเขาแสดงออกถึงความเจ็บปวด เอ่ย “ตระกูลเฟิ่งมีข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์คนหนึ่ง บังเอิญพบกับนักพรตตาบอดเร่ร่อนคนหนึ่ง บอกว่า ‘นกซูเจวี้ยนหลั่งน้ำตาเลือด ชะตาของตระกูลเฟิ่งถึงคราวสิ้นสุด’ ข้ารับใช้คนนั้นนึกถึงการเสื่อมโทรมของคนในตระกูลตลอดหลายปีที่ผ่านมา รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง จึงพาสตรีผู้นั้นมาหาข้าเพื่อขอให้ปกปักรักษา”
ฉินหลิวซีเอ่ย “นักพรตตาบอดเร่ร่อนงั้นหรือ”
เจ้าอาวาสชิงหลานพยักหน้า “เมื่อข้าเห็นผู้นั้น ใบหน้าของนางปรากฏเงาแห่งความตาย ส่วนที่พักอาศัยเก่าของตระกูลเฟิ่งก็ถูกเผาจนเหลือแต่โครงสร้าง ข้าใช้ศาสตร์การทำนายต้าเหยี่ยนทำนายให้นาง นางมีทางรอดเพียงทางเดียว ซึ่งอยู่ที่เขาเชวี่ยเอ๋อร์ตรงบริเวณชายแดนระหว่างชิงโจวและฉู่ตี้ ซึ่งเป็นสุสานบรรพบุรุษของตระกูลเฟิ่ง แต่เมื่อข้าไปถึงสุสานบรรพบุรุษของตระกูลเฟิ่ง กลับพบว่า…เฮ้อ”
“ชะตาของสุสานบรรพบุรุษตระกูลเฟิ่งกำลังจางหาย”
เจ้าอาวาสชิงหลานสังเกตถึงคำที่นางใช้ เอ่ย “เช่นนั้นหรือ ฟังเจ้าพูดอย่างนี้ เจ้าก็เคยเจอหรือ”
ฉินหลิวซีไม่รอช้า เล่าถึงเรื่องที่พบเจอกับตระกูลอวี้และตระกูลเซี่ยในช่วงหลายปีมานี้
สีหน้าของเจ้าอาวาสชิงหลานเปลี่ยนไปทันที “หนึ่งครั้งคือความบังเอิญ สองครั้งขึ้นไปมิใช่ความบังเอิญอีกต่อไปแล้ว เจ้าบอกว่าชะตาของสองตระกูลนั้นถูกขโมย แต่พวกเขายังไม่สิ้นชะตา รอได้ถึงตอนที่เจ้าเข้าไปช่วย แต่ตระกูลเฟิ่งกลับไม่เป็นเช่นนั้น นักพรตตาบอดเร่ร่อนเอ่ยว่าชะตาของตระกูลเฟิ่งสิ้นสุด ข้าไปถึงสุสานบรรพบุรุษก็เพิ่งรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น”
“ท่านโปรดบอกมา”
เจ้าอาวาสชิงหลานสูดลมหายใจลึก สีหน้าของเขาเคร่งขรึม เอ่ย “ที่ใต้แนวเขาที่เป็นสุสานบรรพบุรุษตระกูลเฟิ่ง นั่นก็คือเขาเชวี่ยเอ๋อร์ มีเส้นพลังวิญญาณเล็กๆ เส้นหนึ่ง ตอนที่ข้าไปถึง กลับไม่ทันแล้ว เพื่อชิงเส้นพลังวิญญาณนี้ ข้าจึงต้องต่อสู้กับคนผู้นั้น ผลเป็นเช่นไร…เจ้าเองก้รู้แล้ว”
ฉินหลิวซีตกตะลึง
แม้ว่าโลกปัจจุบันนี้พลังวิญญาณจะขาดแคลน แต่ใช่ว่าจะไม่มีแม้เพียงหยาดเดียว โดยเฉพาะสถานที่อย่างภูเขาศักดิ์สิทธิ์หรือสระเทวะ ล้วนซ่อนพลังวิญญาณอยู่ และที่ซึ่งมีเทพประจำสถานที่ย่อมมีพลัง ดังที่ว่าเมื่อมีเซียนก็ย่อมมีพลัง
นางไม่เคยไปเขาเชวี่ยเอ๋อร์ ไม่รู้ว่ามีเทพเจ้าประทับอยู่หรือไม่ แต่ในเมื่อมีเส้นลมปราน เช่นนั้นย่อมเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์เป็นแน่แท้
“พลังวิญญาณถูกชิงไปแล้ว สุสานบรรพบุรุษตระกูลเฟิ่งพังทลายทั้งหมดแล้ว กลบฝังอยู่ใต้เขาเชวี่ยเอ๋อร์” เจ้าอาวาสชิงหลานเอ่ยด้วยความเศร้าสลด “และโอกาสรอดเดียวของแม่นางตระกูลเฟิ่งผู้นั้น ข้าคว้ามันมาให้นางไม่ได้”
“สุสานบรรพบุรุษตั้งอยู่บนเส้นพลังวิญญาณ เมื่อเส้นพลังวิญญาณสูญสิ้น ชะตาก็ย่อมขาด นี่เป็นเรื่องของฟ้าลิขิต ท่านอย่าได้โทษตัวเองเลย ท่านเองทำดีที่สุดแล้ว” ฉินหลิวซีเอ่ย “แต่หากเส้นพลังวิญญาณถูกทำลายจนถึงขั้นที่สุสานบรรพบุรุษทั้งหมดถูกฝังใต้เขาเชวี่ยเอ๋อร์ต้องมีเหตุใหญ่แน่ อย่างเช่นภูเขาถล่ม ข้าเองกลับมาปีที่แล้ว แต่ไม่เคยได้ยินว่าที่ใดมีภูเขาถล่ม”
เจ้าอาวาสชิงหลานชะงักเล็กน้อย เอ่ย “นั่นสินะ ไม่มีภูเขาถล่มจริงๆ นั่นแหละ เพียงสุสานบรรพบุรุษของตระกูลเฟิ่งที่หายไปทั้งหมด”
“เทพเจ้าประจำภูเขา” ทั้งสองเอ่ยออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
เจ้าอาวาสชิงหลานเอ่ย “ดูเหมือนเป็นเพราะเทพเจ้าประจำภูเขาปกปักรักษาอยู่”
“การปกปักรักษาไม่ให้ภูเขาถล่ม ข้าว่าไม่ใช่เพียงแค่ปกปักรักษาง่ายๆ เท่านั้น” ฉินหลิวซีคิดถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง ทำให้นางรู้สึกอึดอัดอยู่ในใจ
เจ้าอาวาสชิงหลานเองก็คิดถึงสิ่งนั้นเช่นกัน ใจยิ่งหนักอึ้ง เขาเม้มริมฝีปากเอ่ย “เป็นข้าที่ไม่อาจสู้เขาได้”
ฉินหลิวซีส่ายศีรษะ เอ่ย “คนที่ต่อสู้กับท่าน เกรงว่าจะไม่ใช่พระธรรมดา สามารถดูดเส้นพลังวิญญาณได้ทั้งเส้น พลังเวทย์จะต้องเก่งกล้าอย่างยิ่ง คาดว่าคงเป็นซื่อหลัวตัวจริง ท่านไม่ได้เห็นว่าใบหน้าเขาเป็นเช่นไรหรือ”
“เขาสวมผ้าคลุมสีดำทั้งตัว มองไม่เห็นรูปร่างหน้าตา เวทย์ที่เขาใช้ล้วนเป็นพุทธเวทย์ หนึ่งในนั้นคือธรรมจักรที่ชั่วร้ายและทรงพลัง เสียงสวดมนต์ของเขาเป็นดั่งเสียงปีศาจ ทำให้จิตใจของผู้คนหวั่นไหวและเข้าสู่มารได้ง่าย” เจ้าอาวาสชิงหลานนึกถึงตอนที่เขาใช้วิชาทุกอย่างหมดสิ้น แต่กลับไม่สามารถชนะฝ่ายนั้นได้ ใจยิ่งรู้สึกหนักอึ้ง หากนี่คือซื่อหลัวตัวจริง เช่นนั้นก็แข็งแกร่งกว่าที่พวกเขาคาดคิดมากนัก
ฉินหลิวซีเอ่ย “คงเป็นเขาแน่ ข้าเองก็พบเขาเมื่อคราวอยู่ที่ตระกูลเซี่ย เขาได้ทิ้งจิตวิญญาณบางอย่างไว้ในร่างของนักพรตชั่วนั่น ใช้ธรรมจักรเช่นกัน เพียงแต่ ท่านหนีรอดมาได้ นับว่าไม่ตายแล้ว”
เจ้าอาวาสชิงหลานเอ่ย “พูดไปก็แปลก อีกฝ่ายแข็งแกร่งเพียงนี้ ข้ายังแปลกใจที่ข้ามีชีวิตหนีออกมาจากเขาเชวี่ยเอ๋อร์นั่นได้”
“ท่านจำไม่ได้เลยหรือว่าหนีออกมาได้อย่างไร”
เจ้าอาวาสชิงหลานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ย “ข้าใช้วิชาเฉียนคุนแต่กลับถูกตอบโต้จนเสียหายหนัก แม้กระทั่งจิตวิญญาณก็เหมือนจะหลุดออกจากร่าง แต่พอหันกลับไปอีกที ข้าก็ออกมาได้แล้ว”
ฉินหลิวซีคาดการณ์ เอ่ย “บางทีอาจเป็นเพราะเทพเจ้าประจำภูเขาคุ้มครองท่าน หรือไม่ท่านอาจมีเครื่องรางวิเศษคุ้มครองชีวิตอยู่ หรือไม่อาจเพราะเขารีบดูดพลังวิญญาณจึงปล่อยให้ท่านหนีออกมาได้”
“ข้าคิดว่าเป็นข้อแรกหรือข้อสุดท้ายมากกว่า เขาเอาชนะข้าได้แล้ว ย่อมไม่ใส่ใจที่จะลงมือกับข้าอีก เพราะเครื่องรางวิเศษคุ้มครองชีวิต ในตอนที่ข้าใช้คาถา ได้ใช้มันไปแล้ว” เจ้าอาวาสชิงหลานยิ้มขมขื่น พลันนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เอ่ย “ปู้ฉิว หากนั่นเป็นเขาจริงๆ ใช่ว่าจะไม่มีจุดอ่อนที่พอจะรับมือได้”
“คืออะไรหรือ”
“ศาสตราวุธเทพ” เจ้าอาวาสชิงหลานเอ่ย “อารามชิงหลานของเรามีศาสตราวุธเทพชิ้นหนึ่ง เป็นกระบี่อาคมพิฆาตที่ถูกหล่อหลอมขึ้นจากกระบี่สามห้าชายหญิงของเทียนซือ แม้ไม่เทียบเท่ากระบี่พิฆาตของจริง แต่ก็มีดวงจิตกระบี่ ถือเป็นศาสตราวุธเทพ ยามข้าใช้กระบี่นี้กับเขา เขาชะงักด้วยความหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด น่าเสียดายที่ข้ามีพลังไม่เพียงพอจะสังหารเขาได้”
ฉินหลิวซีฟังแล้วจ้องเขานิ่งๆ แววตาแสดงอารมณ์ที่อ่านไม่ออก
“เป็นอะไรไปหรือ”
ฉินหลิวซีอดถามไม่ได้ “นอกจากยาคืนชีพเก้ารอบแล้ว อารามชิงหลานของพวกท่านยังมีศาสตราวุธเทพอีก เช่นนี้ยังมีของดีที่เก็บซ่อนไว้อีกหรือไม่”
เจ้าอาวาสชิงหลาน “…”
เด็กคนนี้ ไยจึงเบนประเด็นสนทนาไปได้ไวเพียงนี้