คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1147 มักจะมีลูกไม่รักดีคิดรื้อรังเก่า
ตอนที่ 1147 มักจะมีลูกไม่รักดีคิดรื้อรังเก่า
………………..
หลังจากรู้เรื่องเกี่ยวกับตระกูลเฟิ่งจากเจ้าอาวาสชิงหลานแล้ว เขาเชวี่ยเอ๋อร์สูญเสียเส้นพลังวิญญาณแล้วยิ่งทำให้ฉินหลิวซีรู้สึกว่าของที่อยู่ในมือซื่อหลัว มั่นใจได้มากกว่าครึ่งว่าเกี่ยวข้องกับทะเลทรายดำไร้ขอบเขตนั่น และสถานที่แห่งนั้น นางต้องบุกเข้าไปให้ได้
จิตวิญญาณและร่างกายของเจ้าอาวาสชิงหลานได้รับผลกระทบรุนแรงจากพลังสะท้อนกลับ ฉินหลิวซีจึงไม่เล่าเรื่องเหล่านี้ให้เขาฟัง เพราะร่างกายเขาเป็นเช่นนี้ ต่อให้รู้แล้วก็ไม่เป็นประโยชน์ต่อการฟื้นตัว มีเรื่องอยู่ในใจ เป็นอุปสรรคต่อการฟื้นฟูสุขภาพ
แต่เมื่อรู้ว่าศาสตราวุธสามารถคุมซื่อหลัวได้ ฉินหลิวซีก็ถามเขาเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้
ศาสตราวุธเปรียบเสมือนอาวุธสวรรค์ เป็นอาวุธที่ได้รับการประทานพรจากเทพเจ้า
ศาสตราวุธทั่วไปมีจิตมีวิญญาณ ดังเช่นกระบี่อาคมพิฆาตข้างกายของอารามชิงหลาน มีจิตวิญญาณกระบี่ และจิตวิญญาณของกระบี่นี้คือเทพสงครามโบราณที่สังหารนับไม่ถ้วน นำมาซึ่งพลังอำมหิตอันแรงกล้า เมื่อวิญญาณเช่นนี้เข้าสู่กระบี่ สามารถควบคุมได้ กลายเป็นศาสตราวุธ
ศาสตราวุธเช่นนี้ ในยุคที่เต็มไปด้วยพลังวิญญาณ ทุกคนสามารถบำเพ็ญเพียรได้อย่างง่ายดาย อาจพบได้ทั่วไป แต่ในยุคนี้มนุษย์เป็นเพียงผู้คนธรรมดา พลังวิญญาณขาดแคลน แม้มีศาสตราวุธก็เป็นสิ่งซ่อนเร้น หรือถูกเก็บรักษาไว้โดยวัดอารามหรือผู้มีพลังสูงส่งที่เก็บตัว
แม้แต่ฉินหลิวซีก็ไม่รู้ว่าศาสตราวุธอยู่ที่ใด หากไม่ใช่เพราะเจ้าอาวาสชิงหลานเปิดเผย นางคงไม่รู้เลยว่ายังมีศาสตราวุธในโลกใบนี้
ตาเฒ่าไปเร็วเกินไปสักหน่อย ไม่ทันได้บอกนางว่าในโลกนี้มีของวิเศษเช่นนี้อยู่
ไม่รู้ว่าอารามชิงผิงมีของล้ำค่าซ่อนอยู่หรือไม่ อย่างน้อยต้นกำเนิดของอารามนี้ก็เคยเป็นสำนักใหญ่มาก่อน โลกเปลี่ยนไป ของในยุคโบราณที่หลงเหลือไว้เช่นนี้ รอเพียงผู้มีวาสนาพบเจอใช่หรือไม่
ดังเช่นตอนนี้ นางซ่อนของบางอย่างไว้ที่ใดที่หนึ่ง บางทีหลายพันปีให้หลังอาจกลายเป็นสมบัติโบราณ รอให้ผู้มีวาสนาค้นพบ
ฉินหลิวซีลูบคาง พลางคิดว่าหากนางพลิกอารามชิงผิงค้นหาดู ไม่แน่อาจจะพบของเก่าแก่บางอย่างก็เป็นได้ อย่างไรเสียอารามแห่งนี้ก็เคยเป็นสำนักเก่า
เทพเจ้าประจำเมืองที่อยู่อำเภอหนานไกลออกไปพลันรู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา มองไปที่เจ้าวัวตัวหนึ่งซึ่งเสียบดอกเสาเย่าสีชมพูที่เขาของมัน มุมกระตุก เอ่ย “เจ้าหัววัว ปีนี้เจ้าอายุเท่าใดแล้ว”
เจ้าหัววัวเว่ย “?”
“ดอกเสาเย่าที่สวยงามเพียงนี้ ต่อให้มันเสียบลงบนกองขี้วัว อย่างน้อยก็ให้คนได้ชื่นชมบ้าง เจ้าดันเอาไปเสียบเขาวัวของตัวเอง แถมยังเป็นสีชมพูอีก เจ้าคิดว่าอายุตัวเองเหมาะกับสีนี้หรือ”
เจ้าหัววัวเว่ย “!!!”
อีกแล้ว อยากสังหารเทพเจ้าอีกแล้ว ไม่สิ อยากฆ่าใครสักคน
เทพเจ้าประจำเมืองเห็นสายตาของเขาที่แทบจะถลนออกมา จึงเอ่ย “ข้าอยากถามเจ้า ความรู้สึกเหมือนรังกำลังจะถูกรื้อ เป็นเพราะอะไร เจ้าเคยเป็นเช่นนี้หรือไม่”
เจ้าหัววัวเว่ยฟังแล้วหัวเราะเยาะดีใจที่เห็นผู้อื่นเป็นทุกข์ “ไยจะไม่มีเล่า เมื่อก่อนข้านอนเป็นผีอยู่ในหลุมศพอย่างสงบอยู่ดีๆ แต่วันหนึ่งจู่ๆ รู้สึกใจเต้นแรงเหมือนกลอง สัมผัสได้ว่าฐานที่มั่นของข้ากำลังจะถูกบุก และไม่ผิดเลย สัญชาตญาณมนุษย์ไม่เคยพลาด แม้แต่เมื่อกลายเป็นผีก็ยังเหมือนเดิม หลุมศพของข้าถูกคนขุด ท่านเทพเจ้าประจำเมืองมีความรู้สึกนี้ ข้ายินดีด้วย ท่านอาจจะถูกศิษย์ทรพีคนไหนสักคนมายึดฐานที่มั่น”
และศิษย์ทรพีคนนั้นก็น่าจะเป็นฉินหลิวซีปีศาจตนนั้น
แต่เขาไม่เอ่ยออกมา อย่างไรก็ทำร้ายซึ่งกันและกัน ชีวิตถึงจะมีสีสันบ้าง
เทพเจ้าประจำเมืองเข้าสู่ภวังค์ครุ่นคิด
ไม่ใช่สิ ที่มาเขามาจากที่ใดกัน
ส่วนฉินหลิวซีที่ถูกเอ่ยถึงอยู่ไกลๆ จู่ๆ ก็จามขึ้นมา เมื่อเห็นเจ้าอาวาสชิงหลานมองมาด้วยสายตาจับจ้อง ดวงตานางกลิ้งไปมา เอ่ย “ท่านอาจารย์ลุง อารามชิงหลานของท่านมีสมบัติไม่น้อย ท่านรู้หรือไม่ว่าอารามชิงผิงของเรามีของล้ำค่าอะไรบ้าง อย่างเช่น ศาสตราวุธ เช่นนี้”
เจ้าอาวาสชิงหลานแสดงสีหน้าเข้าใจทันที เขาคาดเดาความคิดของนางไม่ผิด นางกำลังคิดเรื่องศาสตราวุธจริงๆ
“อาจารย์ของเจ้าเมื่อยังมีชีวิตอยู่ ไม่เคยบอกเจ้าเรื่องนี้เลยหรือ”
ฉินหลิวซีส่ายศีรษะ ส่งเสียงฮึดฮัดเอ่ย “เขาคงกลัวว่าข้าจะทำให้เสียหายกระมัง ข้าจึงไม่เคยรู้เลยว่ามีอาวุธร้ายกาจอะไรบ้าง แต่ข้าเคยได้ของวิเศษกลับมาจากอาจารย์อาทรยศผู้นั้นคือกระบองทองกับกำไลหยินหยางไท่จี๋คู่หนึ่ง ส่วนศาสตราวุธ ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน”
เจ้าอาวาสชิงหลานเอ่ยขึ้นว่า “เรื่องที่ว่าอารามชิงผิงของพวกเจ้าเคยมีศาสตราเทพหรือไม่นั้น ข้าไม่เคยได้ยินจากปากอาจารย์เจ้าเลย ปากเขาเงียบสนิท[1] อย่างไรก็ตาม ข้ากลับเคยได้ยินอาจารย์ข้าเอ่ยถึงตำนานเรื่องหนึ่งว่าชิงผิงเคยมีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ บูชาเทพสามบริสุทธิ์ สืบทอดเคล็ดวิชาลับเต๋าอย่างแท้จริง อารามชิงผิงก็สืบทอดมาจากที่แห่งนั้น ไม่แน่อาจมีของบางอย่างหลงเหลือออยู่ก็เป็นได้”
“อยู่ที่ใดหรือ”
“คุนหลุน” เจ้าอาวาสชิงหลานเอ่ย “แต่ตำนานก็คือตำนาน ความจริงจะมีอยู่หรือไม่ก็ยากจะบอกได้ ข้าเองไม่เคยได้ยินว่ามีใครในชิงผิงพบเจอสถานที่แห่งนี้เลย”
“ศาสตราวุธนั้นเป็นสิ่งหายากยิ่ง เมื่อสวรรค์ดลให้พวกเรารู้ว่ามันสามารถสยบจอมมารนั้นได้ บางทีเมื่อถึงเวลา เจ้าอาจจะได้มันมาเอง อย่าเพิ่งบีบคั้นตัวเองมากเกินไป พลังภายในตัวเจ้าต่างหากที่สำคัญกว่า หากข้าได้ประมือกับมารเอ้อฝู เขาไม่ได้สังหารจนสิ้น นั่นหมายความว่าเขาก็กำลังวางแผนบางอย่างเช่นกัน เพราะโอกาสยังไม่เหมาะสม เช่นเดียวกับในเวลานี้ที่ภัยพิบัติเกิดขึ้นบ่อยครั้ง อีกทั้งมารร้ายกำลังสร้างความวุ่นวายไปทั่ว นี่อาจเป็นส่วนหนึ่งในแผนของเขาเพื่อขัดขวางการฝึกฝนของพุทธและเต๋า ดังนั้นเจ้าต้องระมัดระวัง”
ฉินหลิวซีพยักหน้า พลางลูบถุงเฉียนคุนซึ่งยังมีกระดูกพุทธะจากวัดอวี้ฝอและศิลาศักดิ์สิทธิ์จากเผ่าเหมียวอยู่ภายใน จากนั้นจึงเอ่ย “ข้าคิดที่จะฟื้นฟูค่ายอาคมกักเซียนที่สืบทอดจากชิงผิง มีแนวทางอยู่บ้างแล้ว ไม่รู้สามารถค้นตำราในหอคัมภีร์ท่านได้หรือไม่”
“เพื่อสรรพชีวิตแล้ว ไหนเลยจะไม่ได้ ให้ไท่ชิงพาเจ้าไปก็พอแล้ว” แน่นอนว่าเจ้าอาวาสชิงหลานไม่มีทางไม่ตอบรับ คนเขาช่วยชีวิตของตนไว้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องตอบรับ
ฉินหลิวซีพยักหน้ารับเบาๆ เอ่ย “ข้าจะเดินทางไปเขาเชวี่ยเอ๋อร์สักหน่อย”
เจ้าอาวาสชิงหลาน “ข้าจะไปกับเจ้า…”
“ไม่จำเป็น ท่านยังไม่แข็งแรงดีนัก ข้าใช้เส้นทางหยินไปก็ได้ ฝั่งนั้นสถานการณ์เป็นอย่างไร ข้าต้องเห็นกับตาตนเองจึงจะวางแผนต่อไปได้ อีกทั้งเรื่องของเทพภูเขา ข้ารู้สึกสนใจอยู่”
เจ้าอาวาสชิงหลานถอนหายใจ เอ่ย “ไม่ว่าตอนนี้เทพภูเขาจะยังอยู่หรือไม่ ข้าก็จะไปเคารพสักครั้งแน่นอน เจ้าไปก่อนแล้วขออภัยแทนข้าด้วย”
ฉินหลิวซีพยักหน้ารับคำ จากนั้นลุกขึ้นเตรียมจะเดินออกไป
”ปู้ฉิว เจ้าปล่อยวางแล้วหรือ” เจ้าอาวาสชิงหลานเอ่ยถามขึ้นมากะทันหัน
ฉินหลิวซีชะงัก
เจ้าอาวาสชิงหลานมองนางด้วยสายตาอ่อนโยน เอ่ย “เก้าเข็มฟื้นพลังหยางและเข็มเทพไท่อี่ ล้วนเป็นวิชาที่ใช้พลังมหาศาล เจ้ากลับใช้ทั้งสองเพื่อดึงข้ากลับมาจากปากประตูผี เจ้าทำเช่นนี้เพราะยังรู้สึกผิดที่ไม่สามารถช่วยชีวิตอาจารย์ของเจ้าได้ใช่หรือไม่ ตอนนี้ข้ารอดมาได้แล้ว เจ้าปล่อยวางได้แล้วหรือ”
ฉินหลิวซียิ้มพร้อมพยักหน้า
“อาจารย์ของเจ้า เขา…”
ฉินหลิวซียิ้มอย่างสงบ เอ่ย “เป็นอาจารย์หนึ่งวัน เป็นบิดาไปชั่วชีวิต ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ใด เขาย่อมอยู่ในใจข้าเสมอ”
แม้ว่าเขาจะลืมเรื่องราวในอดีตไปหมดแล้ว
เจ้าอาวาสชิงหลานถอนหายใจโล่งอก “เช่นนั้นก็ดีแล้ว”
ตราบใดที่นางไม่ทรมานตนเองตลอดไปก็ดีแล้ว
ฉินหลิวซียกมือคำนับก่อนเดินออกจากห้องฝึกตน เงยหน้ามองท้องฟ้าสีคราม ยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะก้าวเข้าสู่ความว่างเปล่า
[1] หมายถึงปิดบังความลับเก่ง
[2] เหมือนขายฝัน แต่เป็นฝันที่ไม่ได้สมบูรณ์