คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1148 เทพเจ้าก็ถูกสังหารได้
ตอนที่ 1148 เทพเจ้าก็ถูกสังหารได้
………………..
เขาเชวี่ยเอ๋อร์ ครั้งหนึ่งในอดีตเคยถูกขนานนามว่า ‘ภูเขาจูเชวี่ย’ เพราะรูปร่างคล้ายกับวิหคเพลิง[1]เหินฟ้า ครั้นเมื่อเวลาผันผ่าน ส่วนหนึ่งของภูเขาจูเชวี่ยถูกกัดกร่อน กลายเป็นที่รู้จักในแผนที่ต้าเฟิงเรียกอีกอย่างว่าภูเขาเชวี่ยเอ๋อร์
เชื่อกันว่าภูเขาเชวี่ยเอ๋อร์นั้นมีเทพเจ้าประจำภูเขามาช้านาน ชาวเมืองศรัทธาจนได้สร้างศาลเล็กๆ ด้วยหิน ตั้งแท่นบูชาหิน พร้อมด้วยกระถางธูป
เมื่อผู้คนแก่ตายจากไป ผู้คนที่ศรัทธาในเขาเชวี่ยร์เอ๋อร์นับวันยิ่งน้อยลงไปเรื่อยๆ ศาลเทพภูเขาแห่งนี้นอกจากตระกูลเฟิ่งที่มาเซ่นไหว้ทุกปี ก็น้อยนักที่จะมีชาวเมืองมากราบไหว้
ศาลเทพภูเขาเองก็ทรุดโทรม รูปสลักเทพเจ้าแตกหัก ล้มคว่ำอยู่ข้างๆ ใบหน้าหยาบกร้านเหลือเพียงร่องรอยที่พอเห็นเป็นสตรี กระถางธูปแตกหัก โต๊ะหินปกคลุมด้วยตะไคร่น้ำ จนยากที่ใครจะจำได้ว่าเคยเป็นศาลเทพภูเขา
ฉินหลิวซีเก็บรูปสลักขึ้นมา ใช้คาถาชำระคราบทำความสะอาด จากนั้นตั้งศาลหินสูงเท่าตัวเด็กน้อยขึ้นใหม่ วางแท่นหินเล็กๆ ไว้ในศาลเพื่อวางรูปสลัก ฝังยันต์ไว้รอบศาลเพื่อกันมิให้ล้มลง
นางแกะสลักรูปเทพเจ้าขึ้นใหม่ วางลงบนแท่นบูชาหิน จับกระถางธูปโทรมๆ ตั้งขึ้น หยิบธูปสามดอกออกมา พนมมือเหนืออกด้วยท่าทีนอบน้อม ปักลงตรงแท่นบูชาตรงหน้า
ครั้นเมื่อก้าวเข้าภูเขาเชวี่ยเอ๋อร์ ฉินหลิวซีพลันรับรู้ได้ทันทีว่าภูเขานี้ไร้เทพเจ้า เพราะไร้ซึ่งพลังวิญญาณ ต้นไม้เหี่ยวเฉาแม้ยังไม่ถึงฤดูใบไม้ร่วง ขาดซึ่งชีวิตชีวา มีแต่ความแห้งแล้ง
แต่นางเชื่อว่าเมื่อภูเขายังคงอยู่ สักวันหนึ่งอาจจะมีเทพเจ้าองค์ใหม่ปรากฏเพื่อปกปักษ์รักษาผืนดินแห่งนี้
สิ่งที่ฉินหลิวซีทำเผื่อว่าอาจจะได้ขอพรอัญเชิญเทพ แม้ไม่อาจทำให้เกิดเทพองค์ใหม่ได้ ก็ยังถือเป็นการเซ่นไหว้บูชาสักครั้ง
จุดธูปวางผลไม้ไม่กี่ลูก ฉินหลิวซีก็วาดยันต์เผายันต์ จากนั้นหยิบกระดิ่งสามบริสุทธิ์ออกมา เท้าก้าวย่างร่ายคาถา “กลิ่นหอมลอยล่องทั่วสารทิศ ดั่งควันธูปลอยผ่านประตูสวรรค์…ตำหนักจื่อเวย[2]เปิดวิหารศักดิ์สิทธิ์ เชิญเซียนเทพธิดาดอกท้อ ข้าน้อมบูชาตามบัญชาไท่ซ่างเหล่าจวิน ขออัญเชิญเทพผู้พิทักษ์แห่งขุนเขามาสถิต”
เสียงกระดิ่งแว่วไปทั่วพร้อมสายลมพัดผ่านยอดไม้เสียงซู่ซ่า
ฉินหลิวซีนิ่งรอคอย แต่ก็ไม่มีเทพเจ้ามา เพียงเห็นควันธูปไหลเคลื่อนเข้าไปคลุมรูปสลักในศาล
พรึบ
ฉินหลิวซีชะงัก คิดอยากหลบหลีก ทว่าเสียงอ่อนโยนเสียงหนึ่งกลับดังขึ้นข้างหู “อย่าหลบ”
นางหยุดนิ่งปล่อยให้จิตที่แหว่งวิ่นนั้นเข้าสู่จิตของนาง ภาพสตรีนางหนึ่งปรากฏตรงหน้า เป็นสตรีในชุดสีเขียว สวมมงกุฎเถาวัลย์บนศีรษะ อ่อนโยนเป็นที่สุด
นี่คือเทพเจ้าผู้ปกปักษ์ภูเขาเชวี่ยเอ๋อร์
นางคือจิตของเทพภูเขาเชวี่ยเอ๋อร์ ในอดีตนางเป็นเพียงเถาวัลย์ที่งอกข้างบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ของภูเขาจูเชวี่ย อีกทั้งเขาจูเชวี่ยเดิมมีเส้นพลังวิญญาณอยู่หนึ่งเส้น เมื่อได้รับการปกป้องคุ้มครองจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์พลังวิญญาณคอยหล่อเลี้ยง เกิดมีสติปัญญาทั้งยังมีบุญวาสนา บำเพ็ญเพียรจนกลายเป็นเทพแห่งภูเขา
เมื่อก่อนที่นี่เรียกว่าเขาจูเชวี่ย คนคนแรกที่ศรัทธานางคือหญิงตั้งครรภ์ เพราะหนีภัยมาอยู่ในภูเขาจูเชวี่ย พลันจะคลอด อีกฝ่ายจึงขอพรจากเทพเจ้า นางช่วยเหลือทั้งสองแม่ลูก จากนั้นเริ่มมีผู้คนศรัทธา ต่อมาก็ได้ช่วยเหลือผู้คนที่พลัดหลงในภูเขา
ค่อยๆ เกิดความศรัทธาของชาวเมือง ปกปักรักษาชาวบ้าน พวกเขาสร้างศาลให้นาง กราบไหว้บูชา เกิดพลังศรัทธาขึ้นมา นางมีพลังมากขึ้น สามารถปกปักรักษาผืนแผ่นดินแม่น้ำลำธาร พร้อมทั้งชาวเมืองได้
เมื่อเวลาผันผ่าน ภูเขาจูเชวี่ยประสบสายฟ้าฟาดและแผ่นดินไหว นางใช้พลังปกป้องป้องกันภัย ภูเขาจึงมิได้พังทลาย หากแต่นางก็สูญสิ้นพลังลงไปมาก ภูเขาจูเชวี่ยจึงกลายเป็นภูเขาเชวี่ยเอ๋อร์ เพราะเกิดแผ่นดินไหว ชาวเมืองกล่าวโทษที่นางไม่อาจปกป้องได้ นางสูญเสียพลังศรัทธา ผู้คนนับถือน้อยลง
แปดสิบปีก่อน เขาเชวี่ยเอ๋อร์เกิดดวงวิญญาณแข็งแกร่งขึ้นมาหนึ่งดวง มันหมายมั่นจะยึดครอง กลิ่นไอของดวงวิญญาณนั้นทำให้นางต้องสั่นกลัว แต่ในฐานะเทพเจ้าไม่ปกปักรักษาพลังวิญญาณบนเขาไม่ได้ อย่างไรหากสูญเสียพลังวิญญาณไป ภูเขาถล่มป่าทลาย จะมีผู้คนล้มตายมากมาย
สุสานตระกูลเฟิ่งตั้งอยู่บนเส้นพลังวิญญาณ โชคชะตากลับหล่อเลี้ยงแต่พลังวิญญาณ ผู้คนตระกูลเฟิ่งนับวันยิ่งตายมากขึ้นเรื่อยๆ และนางไม่ปรากฏตัวมานาน ผู้คนที่นับถือเชื่อในการมีอยู่ของนางนับวันยิ่งน้อยลง พลังก็อ่อนแอลงเรื่อยๆ
เมื่อไม่มีศรัทธา เทพเจ้าก็จะต้องสิ้นสูญ
พลังจิตอันแกร่งกล้านั้นเพียงแค่เข้ามาแย่งชิงเส้นพลังวิญญาณกับนาง ขัดขวางนางไม่ให้สามารถขับเคลื่อนตนเองได้อย่างเต็มที่ ซึ่งนั่นจะทำให้ศรัทธาของผู้คนที่มีต่อนางค่อยๆ ลดลง แม้แต่ตระกูลเฟิ่งเองก็หยุดการบูชา นำมาสู่การสูญสิ้นของพลังศักดิ์สิทธิ์ในที่สุด
เวลาผ่านไปเรื่อยๆ สภาพของนางอ่อนแอลงจนแทบจะเลือนหายไป นางเห็นว่าดวงวิญญาณนั้นได้ปรากฏตัวขึ้นเป็นร่างกายที่จับต้องได้ ไม่สิ หรือคนผู้นั้นเพียงดึงดวงวิญญาณนั่นกลับคืนไปแล้ว
แย่แล้ว เขาจะเอาเส้นพลังวิญญาณทั้งหมดไป
เทพภูเขาตื่นตระหนก ทันใดนั้นมีนักพรตชราคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น นางเห็นว่าพวกเขาต่อสู้กัน นอกจากกระบี่ปราบมารที่ทำให้ท้องฟ้าเปลี่ยนสีนั่นจะทำให้คนผู้นั้นชะงักไป นักพรตชรานั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อเลย
เห็นนักพรตชราถูกพลังสะท้อนกลับไร้พลังตอบโต้ เทพภูเขาจึงใช้เถาวัลย์พันร่างนักพรตชราออกไปจากการต่อสู้มองเห็นศัตรูกำลังดูพลังวิญญาณ ภูเขาสั่นสะเทือน นางได้ยินเสียงคร่ำครวญของสรรพชีวิตบนภูเขา เหล่าสัตว์ต่างวิ่งหนีไปคนละทิศละทาง
ที่ตีนเขา ที่นั่นมีหมู่บ้านเล็กๆ มีประชากรหมื่นคนตั้งอยู่
ด้วยความสังเวชใจ เทพภูเขาจึงใช้จิตวิญญาณถวายแด่สวรรค์ เสียสละพลังทั้งหมดปกป้องภูเขาเชวี่ยเอ๋อร์ไว้ ทำให้มีเพียงหินก้อนเล็กๆ หล่นลงมาบ้าง ต้นไม้ใหญ่ล้มไปสองสามต้น สายน้ำบนภูเขาไหลย้อนกลับ ตาน้ำศักดิ์สิทธิ์แห้งเหือด เหลือเพียงจิตวิญญาณอันอ่อนแรงตกลงไปในรูปสลักหินเท่านั้น
เทพภูเขาจ้องมองชายที่เพิ่งถอดหมวกคลุมลง แสงจันทร์สุดท้ายส่องกระทบด้านข้างใบหน้าของเขา ก่อนที่ร่างจะเลือนหายไปในความว่างเปล่า
ฉินหลิวซีลืมตาขึ้นทันที หายใจอย่างหนัก มือกำแน่น นางยืนขึ้น
“เทพเจ้าก็ถูกสังหารได้”
เสียงอ่อนโยนก้องกังวานอยู่ในจิตใจนาง ราวกับเป็นเสียงสุดท้ายของเทพภูเขาที่เสียสละเพื่อปกป้องผืนดินนี้
เทพแห่งภูเขาเชวี่ยเอ๋อร์ดำรงอยู่เพราะภูเขาแห่งนี้ และเมื่อภูเขานี้ตกอยู่ในอันตราย เทพเจ้าจึงแปรเปลี่ยนเป็นเพียงพลังวิญญาณคุ้มครองอยู่เสมอ ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างเป็นไปตามชะตากรรม
ในดวงตาของฉินหลิวซีมีความรู้สึกปั่นป่วนรุนแรง นางคำนับรูปสลักหินด้วยความเคารพ เพื่อแสดงความนับถือแด่เทพภูเขาที่สละชีพปกป้องแผ่นดินแห่งนี้
ฉินหลิวซีพันผ้าสีแดงรอบรูปสลักหิน ก่อนจะกระโดดลงจากภูเขามุ่งหน้าไปยังสุสานบรรพชนของตระกูลเฟิ่ง พบว่าเส้นพลังวิญญาณที่นั่นถูกดูดจนหมดสิ้น เหลือเพียงหลุมลึกและเศษซากปรักหักพัง
นางกระโดดลงไป ยื่นมือสัมผัสดินที่ไร้พลังวิญญาณ รู้สึกถึงความว่างเปล่าที่ท่วมท้น
ฉินหลิวซียื่นนิ่งอยู่นาน จากนั้นเดินตามความทรงจำของเทพภูเขาไปถึงตาน้ำศักดิ์สิทธิ์ พบว่าน้ำในตาน้ำแห้งเหือด เถาวัลย์ขนาดใหญ่ที่เคยอิงแอบอยู่บนภูเขากลายเป็นเพียงเศษซากไม้แห้งกรัง
นางฝังยันต์วิญญาณลงที่รากของเถาวัลย์ ลูบเถาวัลย์พลางเอ่ยพึมพำ “ตราบใดที่ภูเขายังคงอยู่ สักวันหนึ่งเทพเจ้าก็จะหวนกลับมา”
เพราะนางเองก็เป็นผู้ศรัทธา
[1] นกจูเชวี่ย เป็นหนึ่งใน “สี่สัตว์เทพพิทักษ์” หรือ “สี่เทพพิทักษ์ทิศ” ที่ประกอบไปด้วย มังกรเขียว เสือขาว เต่าดำ และนกเพลิง ตัวแทนของฤดูร้อน โดยมักมีภาพลักษณ์เป็นนกสีแดงเพลิงหรือฟีนิกซ์ที่สง่างาม
[2] ตำหนักจื่อเวย เป็นวังหรือสำนักศักดิ์สิทธิ์ในตำนานและความเชื่อของจีน โดยเฉพาะในลัทธิเต๋า ในบริบททางโหราศาสตร์และเทพเจ้าของจีน “จื่อเวย” เป็นดาวสำคัญที่เกี่ยวข้องกับจักรพรรดิหรือเทพผู้ปกครองสวรรค์ ทำให้วังจื่อเวยเป็นสัญลักษณ์ของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และเป็นที่สถิตของเทพเจ้าสำคัญ