คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1149 ราชาเทพ เจ้าตัวแสบกลับมาอีกแล้ว
ตอนที่ 1149 ราชาเทพ เจ้าตัวแสบกลับมาอีกแล้ว
………………..
หลังออกจากเขาเชวี่ยเอ๋อร์ ฉินหลิวซีไม่ได้กลับไปที่อารามชิงหลานทันที แต่เข้าไปในประตูผีแทน
ราชาเทพเฟิงตูรู้สึกปวดหัวอีกครั้ง มีความคิดอยากจะเรียกประชุมเหล่าข้าราชบริพารทันทีเพื่อหาวิธีจำกัดการเข้าออกของคนผู้นี้ คนที่มีชีวิตเข้ามาได้ตามใจชอบเช่นนี้ ทำให้โลกของผีนี้ไร้เกียรติศักดิ์หรือไม่
อย่างไรก็ตาม ความคิดนี้ได้แต่เก็บไว้ในใจ เพราะเมื่อเห็นฉินหลิวซีมาคราวนี้ด้วยใบหน้าที่เย็นชา ไร้ซึ่งรอยยิ้มขี้เล่นตามปกติ ทำให้พวกเขารู้สึกกระวนกระวายใจ เกิดอะไรขึ้นกันแน่
ราชาเทพเฟิงตูกับกษิติครรภโพธิสัตว์สบตากัน ทั้งสองขยับเข้าใกล้เขาเล็กน้อย นั่งตัวตรงอย่างเคร่งขรึม แต่ในใจกลับตึงเครียด
อย่าบอกนะว่าจะมาระเบิดอารมณ์ยิ่งใหญ่
กษิติครรภโพธิสัตว์ไม่แสดงท่าทีใดๆ เลื่อนจานขนมไปตรงหน้าฉินหลิวซี ยิ้มเอ่ย “ดูเหมือนว่าการบำเพ็ญเพียรและบุญกุศลของเจ้าจะพัฒนาขึ้น แสดงว่าเจ้ามิได้เกียจคร้านในการฝึกฝนเลยนะ”
ราชาเทพเฟิงตูถาม “คราวนี้มาทำไมกัน”
ฉินหลิวซีทำเสียงหึในลำคอ เอ่ย “มีสามเรื่อง เรื่องแรก ข้าอยากรู้ว่าตอนที่ซื่อหลัวถูกขังในขุมนรกลึกนั้นเป็นอย่างไร ข้าอยากดูสักหน่อยว่าเขามีสามหัวหกแขนอย่างไร”
ทั้งสองคนชะงักไปชั่วครู่
“เรื่องที่สอง โลกใต้พิภพนี้มีอยู่มาหลายพันปีแล้ว เชื่อได้ว่าคงไม่ใช่ทุกคนที่เข้ามาจะเต็มใจไปเกิดใหม่ ข้าอยากรู้ว่ายังมีผู้อาวุโสของอารามชิงผิงที่ยังไม่ได้ไปเกิดใหม่หรือไม่ ช่วยหามาให้ข้าด้วย”
ราชาเทพเฟิงตูเอ่ยถาม “เจ้าต้องการหาคนเหล่านี้ไปทำอะไร”
ฉินหลิวซีมองด้วยหางตา เอ่ย “ไม่ใช่เพราะท่านละเลยหน้าที่ ปล่อยให้มารเอ้อฝูชั่วหลบหนีไปก่อความวุ่นวายในโลกมนุษย์หรอกหรือ ตอนนี้เมื่อถึงเวลาต่อสู้กับปีศาจ พวกเราต้องพึ่งพาศาสนาพุทธและเต๋า หรือแม้แต่สิ่งมีชีวิตลี้ลับ[1]ที่ยอมเสี่ยงชีวิตเอง ท่านคิดว่าพวกท่านจะข้ามเขตแดนออกมาทำในสิ่งที่ฝืนธรรมชาติได้หรือ”
ฟังเอาสิ น้ำเสียงเสียดสีเช่นนี้ทำให้ราชาเทพเฟิงตูรู้สึกคันไม้คันมืออยากจะตอบโต้อะไรสักอย่าง
ราชาเทพเฟิงตูลุกขึ้นจ้องหน้าฉินหลิวซีเขม็ง
ราชาเทพเฟิงตูบ่นเสียงหงุดหงิด “สะกิดข้าทำไม ยืดแข้งยืดขาบ้างไม่ได้หรือ”
เขาทำท่าถีบขาในอากาศสองสามที
ฉินหลิวซีหัวเราะเบาๆ คนที่รู้จะคิดว่าเขายืดขา แต่คนที่ไม่รู้คงคิดว่าเขากำลังระบายอารมณ์อะไรบางอย่างด้วยการถีบอากาศอย่างแน่นอน
กษิติครรภโพธิสัตว์จึงเอ่ย “เรื่องนี้ ให้ราชาผู้ถือกงล้อตรวจสอบก็ได้ แต่เจ้าหาผู้คนจากอารามชิงผิงเพราะมีแผนอะไรหรือ”
“ได้ยินมาว่าอารามชิงผิงบูชาสามมหาเทพและมีคาถาลับของลัทธิเต๋า ถ้ามีอยู่จริง ข้าต้องได้รับการสืบทอดนั้น” ฉินหลิวซีจ้องราชาเทพเฟิงตูด้วยสายตาที่แน่วแน่ “ไม่เช่นนั้น ผู้บำเพ็ญเพียรในโลกมนุษย์อาจไม่สามารถต่อกรกับซื่อหลัว เจ้ามารเฒ่านั่นได้”
ราชาเทพเฟิงตู “…”
ไม่ใช่สิ เจ้าพูดก็พูดไปสิ ไยต้องมามองข้าด้วยท่าทีเหน็บแนมเช่นนั้นด้วย
“เขาทำอะไรข้างบบนนั่น เจ้าถึงได้หวาดกลัวเพียงนี้” กษิติครรภโพธิสัตว์รู้สึกถึงความกังวลใจของนาง
ฉินหลิวซีนึกในใจ ในที่สุดก็ถามแล้ว นางไม่ลังเลที่จะบอกเล่าเรื่องราวของซื่อหลัวที่ขโมยโชคลาภและเส้นพลังวิญญาณ ทั้งยังเล่าเรื่องเขตแดนไร้ขอบเขตด้วย ตอนท้ายนางเอ่ย “ตอนนี้เขาสามารถขโมยเส้นพลังวิญญาณและโชคลาภได้ตามใจ ข้าไม่กล้าคิดเลยว่าหลายพันปีก่อน ตอนที่เขาอยู่ในจุดสูงสุด เขาแข็งแกร่งเพียงใด เขาเป็นเพียงพระผู้บำเพ็ญเพียร หรือแท้จริงแล้วเป็นเทพเจ้าที่ลงมาฝึกฝนกันแน่”
กษิติครรภโพธิสัตว์ถอนหายใจเอ่ย “เขาคือการกลับชาติมาเกิดของผู้ปฏิบัติที่บรรลุธรรมสูงสุด ผู้บำเพ็ญเพียรทั้งพุทธและเต๋าอย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งหาได้ยากยิ่งในช่วงหมื่นปี”
“เช่นนั้นก็แย่แล้ว เช่นนี้เราคงไม่รอดแน่ พวกท่านเองก็คงไม่รอดเหมือนกัน” ฉินหลิวซีกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “เขาทำเรื่องราวมากมายเพียงนี้ แต่ข้ายังไม่อาจทำให้เขาได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย”
อ้อ ธรรมจักรครั้งนั้นไม่นับ นางไม่เห็น ถือว่าไม่เคยนับว่าเขาเจ็บตัว
ราชาเทพเฟิงตูเอ่ย “เจ้าเอ่ยมาตามตรงเถิด เจ้าต้องการอะไร”
รอคำนี้ของท่านอยู่แล้ว
“นี่แหละคือเรื่องที่สาม เมื่อเร็วๆ นี้ อาจารย์อาวุโสคนหนึ่งของข้าซึ่งเป็นเจ้าอาวาสอารามชิงหลานได้ต่อสู้กับซื่อหลัว เขาบอกว่าศาสตราวุธสามารถต่อกรกับเขาได้ พวกท่านก็รู้ว่าอารามชิงผิงของเราเป็นเพียงอารามเล็กๆ ที่ยากจน…”
“ยอดหลังคาทองของอารามชิงผิงยังสว่างกว่าที่นี่ของข้าอีก เจ้าไม่รู้สึกเจ็บใจเวลาพูดเช่นนี้เลยหรือ” ราชาเทพเฟิงตูอดไม่ได้ที่จะขัดคำพูดนาง
ราชาเทพเฟิงตูอึ้งและโกรธจนหนวดสะบัดไปมา
ฉินหลิวซีเอ่ยต่อ “อารามชิงผิงไม่มีพื้นฐานมากมาย ข้ายังเด็ก ไม่รู้ว่ามีอะไรในอารามบ้าง และอาจารย์ก็จากไปเร็ว เขาไม่ทันได้บอกความลับของอารามก่อนจะจากไป แปลว่าไม่เคยมีของแบบนั้นแน่ๆ ถ้าจะหาศาสตราวุธ อารามเราคงไม่มี ท่านดูพวกท่าน…”
“พวกเราถูกเจ้าปล้นของไปหลายชิ้นแล้วนะ”
“ข้าไม่ได้มาขอของ แน่นอน พวกท่านให้ ข้าก็ขอบคุณ เป็นการช่วยเหลือสรรพชีวิต และสรรพชีวิตก็จะสรรเสริญพวกท่าน ข้าจะบอกให้พวกเขาถวายของบูชาเพิ่ม” ฉินหลิวซีเอ่ย “สิ่งที่ข้าต้องการคือศาสตราวุธ หากพวกท่านไม่มีก็ช่วยหาให้ข้าสักหน่อย ข้าจะอาศัยวาสนาในการได้มา”
ฮึ เชื่อเลยกับคำว่า พึ่งบุญวาสนา ส่วนใหญ่คงเป็นพึ่งการแย่งชิงมากกว่า
นางเห็นราชาเทพเฟิงตูโกรธจนหนวดสะบัดถลึงตาใส่ จึงแสดงท่าทางสบายๆ ออกมา “ถ้าไม่ช่วยก็ไม่เป็นไร พวกเราก็ย่อยยับไปด้วยกัน ระบบของโลกใบนี้พังทลายไปแล้ว เดี๋ยวก็สร้างใหม่ได้”
เจ้าตัวแสบนี่
ราชาเทพเฟิงตูจ้องนางเขม็ง ปากอ้าแล้วหุบลง กำลังจะเอ่ยวาจา จึงเอ่ย “ข้าจะไปหาราชาผู้ถือกงล้อ”
เขาสะบัดแขนเสื้อ
ฉินหลิวซีส่งเสียง หึ ในลำคอ ก้มลงไปหยิบขนมหนึ่งชิ้นกัดกินโดยไม่รักษาท่าที เอ่ย “อารมณ์ของราชาเทพไม่ดีนัก อายุปูนนี้แล้วอารมณ์ยังไม่มั่นคงอีก ไม่มีความสุภาพสักนิด”
กษิครรภโพธิสัตว์ยิ้ม เอ่ยในใจ ไม่ใช่เพราะเจ้าบีบบังคับหรอกหรือ
เขาพลันเห็นความวิตกกังวลที่ซ่อนอยู่ระหว่างคิ้วของฉินหลิวซี จึงเอ่ย “เจ้าเองไม่ต้องแบกรับภาระหนักเกินไปนักหรอก นักพรตเต๋า ใช้ชีวิตไปตามใจ ย่อมมีทางแห่งการฝึกฝนที่เป็นของตนเองในท้ายที่สุด”
“กษิครรภโพธิสัตว์ คำปลอบใจเช่นนี้มันเริ่มน่าเบื่อแล้ว เอ่ยด้วยความเป็นจริงเถิด” ฉินหลิวซีเอ่ย “กลับมาที่เรื่องของซื่อหลัวนั้น เส้นเขตแดนไม่มีที่สิ้นสุดนั่น ข้าก็ต้องเข้าไปสักครั้ง ดูสิว่ามันซ่อนอะไรไว้ ทำไมต้องเป็นที่นั่น ข้าจะออกมาอย่างปลอดภัย คงต้องมีของวิเศษบางอย่างไว้ติดตัวใช่หรือไม่”
กษิครรภโพธิสัตว์ครุ่นคิด เอ่ยถาม “เจ้าบอกว่าเขาสร้างเขตแดนนั้นไว้ที่ใด”
“ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ในดินแดนไร้ชื่อที่เรียกว่าทะเลทรายดำ สถานที่นั้นเคยเป็นที่ที่แม้แต่ยมทูตจากแดนมืดก็ไม่สามารถเข้าไปได้ วิญญาณที่ติดอยู่ที่นั่นไม่อาจออกมาเกิดใหม่ได้ เหมือนดั่งดินแดนแห่งความว่างเปล่าเลย”
“ไม่ นั่นคืออาณาเขตว่างเปล่า” กษิติครรภโพธิสัตว์นั่งตัวตรงขึ้นแล้วเอ่ย “ตอนนั้น ที่เขาต้องการจะล่วงไปสู่สวรรค์เพื่อบรรลุเป็นเซียน เขาก็ไปอาณาเขตว่างเปล่านั่น เพราะมันเป็นที่ที่อยู่สุดขอบของทิศตะวันตก และใกล้ที่สุดสำหรับทางขึ้นสู่สวรรค์ ปลอดจากการรบกวน และอุดมไปด้วยพลังงานจิตวิญญาณ ตำนานกล่าวว่า อาณาเขตว่างเปล่านั่นคือพื้นที่ลับที่หลงเหลือมาจากการขึ้นสู่สวรรค์ของบุคคลผู้ยิ่งใหญ่เมื่อหมื่นปีก่อน และในยุคที่พลังแห่งการฝึกฝนสูงส่งที่สุด พื้นที่นี้เรียกว่าอาณาเขตว่างเปล่า ผู้ที่มีบุญบารมีเท่านั้นจึงจะเข้าไปได้”
ฉินหลิวซียิ้มไม่ออกแล้ว
เฮ้อ ทะเลทรายดำเป็นดินแดนลึกลับหรือนี่
เช่นนั้นข้าเสียโอกาสในการล่าขุมทรัพย์ไปหมดแล้วงั้นหรือ ตอนนั้นข้าได้เพียงผลเต้ากั่วสีม่วงจากป่ากลางทะเลทรายเท่านั้น
[1] ปีศาจที่เกิดจากการบำเพ็ญเพียรจนมีชีวิตจิตใจขึ้นมา เหมือนเจ้าโสมน้อย