คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1151 แค่ดูก็รู้แล้วว่าข้ามีความสามารถ
ตอนที่ 1151 แค่ดูก็รู้แล้วว่าข้ามีความสามารถ
………………..
ฉินหลิวซีเดินตามราชาเทพเฟิงตูออกมาจากตำหนักกษิติครรภ ก็เห็นชายวัยกลางคนในชุดทหารของยมโลกดูแข็งกระด้างและไม่น่าเชื่อถือเล็กน้อย เดิมเขานั่งยองอยู่บนพื้น แต่เมื่อเห็นราชาเทพเดินออกมา เขาจึงลุกขึ้นยืน ใบหน้าเดิมที่ไม่เกรงกลัวฟ้าดินหายไปเล็กน้อย
“นี่คือประมุขรุ่นที่เก้าของสำนักชิงผิง และเป็นเจ้าสำนักคนสุดท้าย นามว่าเฟ่ยไฉ”
ฉินหลิวซี “?”
เฟ่ยไฉ[1] ท่านล้อเล่นหรือไม่
เฟ่ยไฉรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย เอ่ย “รายงานราชาเทพ ข้าน้อยมีฉายาทางเต๋าว่าฟู่ซิงจื่อผู้คนเรียกว่าเจ้าสำนักเฟ่ย“
ราชาเทพเฟิงตูเอ่ยเสียงเรียบ “ไม่ว่าจะมีปณิธานใหญ่เพียงใด เจ้าในตอนนี้ก็เป็นเพียงคนตายที่ตายแล้วตายอีก ไม่ต้องเอ่ยถึงสำนักชิงผิงอะไรแล้ว ตอนนี้มันเรียกว่าอารามชิงผิง เจ้าเด็กแสบ…นางหนูผู้นี้คือผู้สืบทอดของเจ้า ฉายาว่าปู้ฉิว และเป็นเจ้าอาวาสอารามชิงผิงในปัจจุบัน”
ฉินหลิวซีเดินขึ้นหน้า ยกมือคารวะ “ข้าน้อยปู้ฉิว คำนับผู้อาวุโสฟู่ซิง”
เฟ่ยไฉมองสังเกตนางสักพัก จู่ๆ ก็นั่งยองลงบนพื้นแล้วร้องไห้ออกมา “ถึงแม้สำนักชิงผิงจะตกต่ำ แต่ยังมีผู้สืบทอดถือว่าเป็นบุญอยู่ แต่เหตุใดผู้สืบทอดสุดท้ายกลับเป็นสตรี โธ่เอ๋ย”
สีหน้าฉินหลิวซีเปลี่ยนเป็นเขียว นี่คือการดูถูกเพศหญิงใช่หรือไม่
นางหันไปมองราชาเทพเฟิงตู แต่เขากลับยืนดูอย่างมีความสนุก พร้อมกับยกชาถ้วยหนึ่งขึ้นจิบอย่างจงใจ
ฉินหลิวซีฮึดฮัดแล้วเริ่มร้องไห้ตาม “ท่านพูดถูก นี่เป็นกรรมจริงๆ การสืบทอดของสำนักชิงผิงถึงขั้นสุดท้าย กลับตกอยู่ในมือของหญิงสาวที่ไม่มีกำลังแม้จะยกมือไหว น่าขายหน้าจริงๆ เหล่าผู้อาวุโสโชคดีแล้วที่ไปเกิดใหม่หมด ไม่เช่นนั้นคงเสียใจแน่”
เฟ่ยไฉ “!”
มีมารยาทหรือไม่ แย่งคำพูดข้า
“ไม่มีผู้สืบทอดก็ช่างเถิด ยังทำสำนักล่มสลายอีก อารามชิงหลานที่อื่นเขามีของล้ำค่าสืบทอด มีศาสตราวุธ ได้รับการขนานนามว่าอารามอันดับหนึ่ง มีเพียงอารามชิงผิงของพวกเรา ที่ยากจนถึงขนาดต้องแบ่งเหรียญเดียวใช้ถึงสองครั้ง สิบกว่าปีก่อนข้าเข้ามา ประตูแตก หน้าต่างผุ หลังคารั่ว พื้นเปื้อนขี้ ป้ายบรรพชนล้มระเนระนาด ไหนเลยจะเหมือนวันนี้ มีคนมาสักการะอย่างต่อเนื่อง รูปเคารพหุ้มด้วยทอง หลังคาทองปกคลุม”
เฟ่ยไฉ “…”
คนรุ่นหลังนี้เป็นจอมเถียงหรอกหรือ
ราชาเทพเฟิงตูเป่าลมใส่ถ้วยชาที่ไร้ไอร้อน พลางคิดในใจว่า เจ้าเด็กจอมเจ้าเล่ห์นี่ก็ไม่ได้แสบแค่กับพวกเขา ใจเขาก็สงบขึ้นมาบ้างแล้ว
เฟ่ยไฉรู้สึกหน้าร้อนผ่าว สำนักชิงผิงนั้นตกต่ำในสมัยที่เขาเป็นเจ้าสำนักเอง แต่บรรพบุรุษของพวกเขาเคยมีช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์ จึงเอ่ย “ใครบอกว่าเราสำนักชิงผิงไม่มีรากฐานอะไรเลย ตอนที่เราก่อตั้งสำนักขึ้นมา เจ้าสำนักรุ่นแรกได้รับการชี้แนะจากสามเทพสูงสุดด้วยตนเอง ครั้งหนึ่งเรายังเคยเป็นหนึ่งในสามสำนักที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ผู้คนมากมายอยากจะเข้าเป็นศิษย์สำนักชิงผิง แต่กลับไม่อาจเข้ามาได้”
ฉินหลิวซีเอ่ย “ใช่ แต่ก็ไม่อาจต้านการล่มสลายของสำนักได้”
เฟ่ยไฉอ้าปากจะพูด แต่เมื่อคิดดูแล้วเขาก็รู้สึกละอายใจ ก่อนจะพึมพำออกมาว่า “ดอกไม้ไม่บานอยู่ร้อยวัน” หยุดคิดชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยต่อ “แต่อย่าได้กังวล ข้าไม่ไปเกิดใหม่ เพราะข้าหวังว่าวันหนึ่งข้าจะได้ฟื้นฟูเกียรติยศของสำนักชิงผิงขึ้นมาอีกครั้ง”
“อาศัยท่านน่ะหรือ”
เฟ่ยไฉยืดอกขึ้นแสดงความมั่นใจ “อาศัยข้านี่แหละ หากเจ้ายอมให้ข้าใช้ร่างของเจ้า ไม่เกินสิบปี ข้าจะฟื้นฟูเกียรติยศของสำนักให้กลับมายิ่งใหญ่ได้แน่นอน”
แม้ว่านางจะเป็นหญิงสาว แต่เมื่อเห็นท่าทีที่ราชาเทพเฟิงตูเกรงใจต่อนาง เขาก็ไม่ถือแล้ว ยังได้ยินมาว่าคนผู้นี้คือผู้ที่ถูกขนานนามในปรโลกว่าเทพอสูรน้อยผีเห็นผีกลัว คิดไม่ถึงว่าจะเป็นผู้สืบทอดของสำนักชิงผิงของพวกเขา
สำนักชิงผิงไม่สูญสิ้น
ดูนางจะมีความสามารถ หากเขาใช้ร่างของนาง ย่อมสามารถพาสำนักชิงผิงให้เป็นสำนักอันดับหนึ่งของแผ่นดินได้ ดังนั้นแม้จะต้องยอมใช้ร่างสตรี เขาก็ไม่เกี่ยง
ฉินหลิวซีหัวเราะอย่างขบขัน “ท่านยังคิดจะยึดร่างของข้าด้วยหรือ ท่านไม่คิดจะขึ้นสวรรค์บ้างหรืออย่างไร”
“ดูเจ้าเด็กนี้พูดสิ เพียงยืมชั่วคราวเท่านั้น…อึก” รู้สึกเหมือนมีมือที่มองไม่เห็นบีบคอเขาอย่างแรง แล้วบิดศีรษะของเขาหันไปด้านหลังในทันที
เขามองเห็นหลังของตัวเองได้อย่างไร
เฟ่ยไฉตื่นตระหนก สายตาของเขาเต็มไปด้วยความตกใจและหวาดกลัว
ทันใดนั้นเฟ่ยไฉเห็นหัวตนเองหมุนกลับมาอีกครั้ง กลับมาอยู่ในตำแหน่งปกติ และเมื่อเขาหันกลับมาก็พบกับใบหน้าของหญิงสาวที่มีท่าทางเย้ยหยันและเฉยเมยอย่างเห็นได้ชัด
“แม่น้ำแยงซีคลื่นลูกใหม่ซัดคลื่นลูกเก่า คลื่นลูกเก่าก็ตายเกลื่อนกลาดอยู่บนชายหาด คลื่นลูกเก่าเอ๋ย เจ้าได้ตายไปแล้ว เจ้าเป็นเพียงวิญญาณที่ไม่มีทางสู้ข้าได้ แล้วเจ้าคิดจะใช้ร่างข้า ฝันไปเถิด” ฉินหลิวซียิ้มเยาะพร้อมกับปล่อยเสียงหัวเราะเบาๆ
เฟ่ยไฉโกรธจัดจนหน้าแดงก่ำ ตะโกนเสียงดัง “เจ้า เจ้ากล้าล้อเล่นกับผู้อาวุโส ในสายตาของเจ้าไม่มีความเคารพนับถือครูอาจารย์เลยหรือ เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะขับไล่เจ้าออกจากสำนักชิงผิง”
“สำนักชิงผิงนั้นได้ล่มสลายไปแล้วในยุคของเจ้า ข้าเป็นเจ้าอาวาสอารามชิงผิง แม้จะมีสายสัมพันธ์กับสำนักชิงผิง แต่ก็มาจากการสืบทอดที่ไม่รู้ว่าเป็นของศิษย์รุ่นใด” ฉินหลิวซีตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา “อีกอย่าง ข้าขอบอกให้เจ้าได้รู้ หากเจ้าไล่ข้าออกไปก็ไม่เป็นไร แต่จำไว้ว่าถ้าข้าไปแล้ว สำนักชิงผิงก็จะไร้ทายาทสืบทอดโดยสมบูรณ์ และข้าก็สามารถตั้งสำนักใหม่ขึ้นมาได้”
เฟ่ยไฉ”…”
นี่มันศิษย์เนรคุณที่ผู้ใดสั่งสอนมากัน
ตอนข้าตายหาได้คิดเลยว่าจะมีทายาทที่หยิ่งยโสเช่นนี้
เฟ่ยไฉกลั้นความโกรธเอาไว้ ตัดสินใจไม่ตอบโต้นาง มือไขว้หลังทำท่าทางเคร่งขรึม เอ่ย “เจ้ามาหาข้าทำไมกัน”
“ได้ยินมาว่าสำนักชิงผิงมีการถ่ายทอดเคล็ดวิชาลับของลัทธิเต๋าจริงหรือไม่ นอกจากนี้ คุนหลุนที่ตกทอดของสำนักชิงผิงอยู่ที่ใด”
เฟ่ยไฉอึ้งไปชั่วขณะ “เจ้าต้องการวิชาลับหรือ นั่นเป็นสิ่งที่แม้แต่อาจารย์ของข้าก็ยังไม่ได้รับมา ด้วยฐานะของเจ้าจะทำได้อย่างไร”
ฉินหลิวซีตาเป็นประกาย “แสดงว่า…มีจริงใช่หรือไม่”
“มีมันก็มี แต่ไม่แน่นอนว่ายังคงมีอยู่หรือไม่ อย่างไรแม้แต่บรรพบุรุษก็ยังไม่รู้ นอกจากนี้หากเจ้าค้นหาซากสำนักเจอก็ไม่เกิดประโยชน์ใด เพราะเวลาผ่านไปพันปีแล้ว ทุกสิ่งเหลือเพียงเศษซากและกำแพงที่พังทลายเท่านั้น” เฟ่ยไฉเอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้าหมอง “สำนักชิงผิงหายไปจากประวัติศาสตร์นานแล้ว”
ดังนั้นเขาจึงไม่ยอมไปเกิดใหม่ เช่นนั้นสำนักชิงผิงที่รุ่งเรือง คงเหลือเพียงเสาแล้ว เขาต้องการฟื้นฟูให้กลับมารุ่งเรืองจริงๆ
แต่ความสามารถของเขาไม่อาจเทียบเท่าบรรพบุรุษ ตามที่พลังวิญญาณบนโลกเริ่มขาดแคลน ยากที่จะพัฒนา พันปีมานี้เขาเป็นทหารอยู่ในปรโลก ได้ยินมาว่ามีพระหลุดออกไปสร้างความเดือดร้อน แต่กลับไม่เคยได้ยินว่ามีผู้ใดบำเพ็ญเพียรสำเร็จได้ขึ้นสวรรค์เป็นเซียน
“บางทีอาจเพราะพวกเจ้ามีความสามารถไม่ถึงจึงไม่ได้รับการถ่ายทอดจากท่านสามเทพเจ้าก็เป็นได้” ฉินหลิวซีเอ่ย “แต่ข้าแตกต่าง แค่ดูก็รู้ว่าข้ามีความสามารถ ไม่แน่พวกเขาเห็นแล้วอาจดีใจ ตั้งใจสอนข้าใช้วิชา จริงสิ บ้านอื่นเขามีทรัพย์สมบัติ สำนักชิงผิงของเราเอาไปซ่อนไว้ที่ใด เจ้าบอกข้าสักหน่อยเถิด ไม่ต้องปิดบังแล้ว อย่างไรข้าก็เป็นผู้สืบทอดคนหนึ่งแล้ว”
ความเศร้าในตาของเฟ่ยไฉหายวับไปทันที
ไร้ยางอายจริงๆ เจ้าเด็กไม่มีมารยาท
[1] เฟ่ยไฉ (废柴) คำนี้ออกเสียงเหมือนกัน แปลว่าเศษไม้