คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1153 ปล่อยให้เขาแข็งแกร่ง ก็แค่ต้องรับมือให้ได้
- Home
- คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า
- ตอนที่ 1153 ปล่อยให้เขาแข็งแกร่ง ก็แค่ต้องรับมือให้ได้
ตอนที่ 1153 ปล่อยให้เขาแข็งแกร่ง ก็แค่ต้องรับมือให้ได้
………………..
ข้าต้องการกระดูกพุทธะชิ้นนั้น
เฟิงปั๋วรู้สึกประหลาดใจที่ได้ยินคำนี้จากปากของฉินหลิวซี ถึงแม้ใช่ว่าเขาจะไม่มีความคิดนำกระดูกพุทธะออกมา แต่เมื่อครั้งนั้นระดับน้ำของทะเลสาบลวี่หูสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้เขาไม่อยากเสี่ยงทำให้ประชาชนได้รับผลกระทบจึงหยุดไปก่อน
แต่เฟิงปั๋วไม่ถามว่าทำไม เขากลับมองไปที่ขาของตัวเอง ก่อนจะหยิบกระดูกพุทธะชิ้นนั้นออกมาโดยไม่ลังเล ยื่นให้นาง “เอาไปสิ”
ฉินหลิวซีมองร่างของเขาที่เริ่มเลือนราง ใบหน้าที่นางเคยปั้นด้วยดินเริ่มพร่ามัว แต่เขาก็ยังยิ้มให้นาง
เมื่อเห็นรอยยิ้มนั้น ดวงตาของนางเปี่ยมไปด้วยความแน่วแน่
“ท่านไม่กลัวตัวเองจะหายไปหรือ”
เฟิงปั๋วยิ้ม เอ่ย “ตราบใดที่ยังมีความศรัทธาอยู่ ข้าก็ยังอยู่ ไม่ใช่หรือ”
ฉินหลิวซีก้มลงมองกระดูกพุทธะที่แฝงไปด้วยกลิ่นอายของเทพเจ้า เอ่ย “แต่เพราะสิ่งนี้ ท่านถึงมีโอกาสได้เป็นกึ่งเทพ เพราะมันให้พลังกับท่าน มันถูกเอาไปแล้ว ท่านไม่ต้องเอ่ยถึงการกลายเป็นเทพแห่งน้ำอย่างแท้จริง แม้แต่ร่างกึ่งเทพนี้ก็อาจอ่อนแอลงกระทั่งหายไปจริงๆ”
“ถ้าเป็นเช่นนี้ ก็พิสูจน์ได้ว่าฟ้านี้ไม่ต้องการให้เทพเจ้าอย่างข้ามีตัวตนอยู่ มิใช่หรือ” เฟิงปั๋วมองไปยังสุสานบรรพบุรุษของตระกูลเหยียนด้วยสายตาลึกซึ้ง เอ่ย “ข้าตายไปนานแล้ว ร่างของข้าฝังอยู่ในผืนดินนี้ และมันก็กลายเป็นเพียงโครงกระดูกที่ถูกลมพัดกระจายไปแล้ว คนเมื่อตายแล้ว ก็ต้องวนเวียนในโลกนี้จนสุดท้ายกลายเป็นวิญญาณพเนจรที่ค่อยๆ หายไป หรือไม่ก็ไปยังแม่น้ำเหลืองและกลับชาติมาเกิดใหม่ แต่ข้าได้เป็นกึ่งเทพที่มองดูโลกมนุษย์มาร้อยกว่าปี จะว่าไป ก็ถือว่าข้าได้กำไรแล้ว”
ฉินหลิวซีลูบกระดูกที่อ่อนนุ่มในมือของนาง มนต์สะกดที่นางเคยร่ายไว้เมื่อหลายปีก่อนยังคงอยู่ ความรู้สึกบางอย่างแผ่ซ่านออกมาจากกระดูก
ทันใดนั้นพลันมีเสียงกรีดร้องดังมาจากที่ไกลๆ ทั้งสองสบตากัน หนีไปจากที่ตรงนี้ทันที มายังอวี๋หัง กลับเห็นว่าน้ำในทะเลสาบลวี่หูไหลท่วมราวกับคลื่น น้ำไหลซัดเข้าหาบ้านเรือนริมทะเลสาบ ประชาชนแตกตื่นตกใจ บางคนตกลงไปในน้ำ เสียงร้องด้วยความกลัวและเสียงร้องไห้ดังไปทั่ว
“เทพเจ้าแห่งน้ำโกรธแล้ว”
มีคนกรีดร้องลั่น บางคนก็คุกเข่าลงพื้นพื้น
แววตาของฉินหลิวซีแหลมคม โดยเฉพาะเมื่อเห็นเด็กอายุไม่ถึงสองสามขวบกำลังตะเกียกตะกายในน้ำ นางไม่สนใจอะไรอีกต่อไป หยิบกระดูกพุทธะขึ้นกดลงบนร่างของเทพเจ้าแห่งน้ำ “ช่วยคน”
พลังศักดิ์สิทธิ์พวยพุ่งออกมาจากร่างของนาง มือทั้งสองตวัดร่ายคาถา ท่ามกลางความว่างเปล่ารอบตัวเหมือนมีเส้นด้ายที่มองไม่เห็นยกคนที่กำลังจมน้ำขึ้นสู่ที่สูง
เฟิงปั๋วมองแผ่นหลังของนาง กระโดดลงไปในทะเลสาบเขียวด้วยความตั้งใจ น้ำที่ท่วมออกมาเหมือนถูกดึงกลับเข้าไปในทะเลสาบอีกครั้ง
“เทพเจ้าแห่งน้ำแสดงปาฏิหาริย์แล้ว ขอให้เทพเจ้าโปรดระงับความโกรธ พวกเรายินดีมอบเครื่องสังเวยให้กับท่าน” มีคนเห็นเหตุการณ์แล้วก็ก้มหัวกราบไม่หยุด
ฉินหลิวซีมองเฟิงปั๋วที่อยู่กลางทะเลสาบ ดวงตามีความโกรธวาบผ่าน
เฟิงปั๋วหันกลับมา มองนางด้วยความรู้สึกปวดร้าวและจนใจ ฉินหลิวซีกลับหายตัวไปในทันใด
เฟิงปั๋วยืนอยู่เหนือศาลเจ้า มองข้ามบรรดาผู้ศรัทธาที่คุกเข่าอยู่บนพื้นอย่างหมดแรง แต่สายตากลับจ้องไปยังทิศทางที่ฉินหลิวซีหายไป ถอนหายใจเบาๆ หลังจากผ่านไปสักพัก “ใจอ่อนอย่างนี้ จะทำสิ่งใดสำเร็จได้อย่างไร”
เขาดึงกระดูกพุทธะออกมา มองเห็นแสงของพลังศักดิ์สิทธิ์ที่แผ่ออกมาจากกระดูกนั้น ก่อนจะมองไปยังผู้ศรัทธาที่นอบน้อมอยู่เบื้องล่าง แล้วเก็บมันกลับเข้าไปในร่างของเขา
…
ตูม
เฟิงซิวถูกฉินหลิวซีซัดออกไปจนหน้าตาเลอะเทอะ เขาปัดไฟที่หางด้วยความโกรธ เอ่ยอย่างโมโห “ทำร้ายคนเขาไม่ทำหางนะ ถึงจะมีไฟก็ไม่ควรโจมตีของสำคัญของข้า ท่านไม่รู้หรือ ดูสิ หางข้าถูกเผาไปเพียงใด ถ้าท่านอยากระบายอารมณ์ล่ะก็ ไยไม่เอาไปใช้หลอมศาสตราวุธเล่า”
เขาคิดว่าเขาทำกรรมอะไรมาถึงได้ต้องเจอเช่นนี้ เจ้าคนนี้พออารมณ์เสียก็มาหาเขาเพื่อระบายอารมณ์ บอกว่ามาฝึกประลอง แต่จริงๆ แล้วก็คือการที่นางกดเขาตีเขาอยู่ฝ่ายเดียว
เจ้าบอกมีความโกรธอยู่ในใจ ไยไม่ไปจับผีร้ายมาตีให้มันตายเล่า แบบนั้นก็ดี แถมยังได้ช่วยปราบปีศาจและทำความดีอีกด้วย แล้วไยถึงเลือกมาตีเขาที่เป็นเพียงจิ้งจอกเล่า
ฉินหลิวซีเอ่ย “เจ้าไม่ได้ใช้พลังเต็มที่ เช่นนี้ไม่ได้ผล ต้องเจอความแข็งแกร่งจึงจะเข้มแข็งไม่รู้หรือ เอาใหม่”
“ไม่เอาแล้ว ข้ามีแรงเท่านี้เอาไปทำอย่างอื่นยังดีกว่า ไยต้องมาโดนท่านทำร้ายด้วย” เฟิงซิวเคลื่อนตัวมาข้างๆ นางแล้วเอ่ยด้วยท่าทางเจ้าเล่ห์ “จริงๆ แล้วข้ามีวิธีระบายอารมณ์ที่ดีกว่านี้นะ เช่นการฝึกฝนร่วมกัน ถ้าลองสักรอบล่ะก็ รับรองว่าอารมณ์ไหนๆ ก็หายไปหมดเลย สนใจหรือไม่”
เฟิงซิวนั่งลงข้างๆ นาง เอ่ย “เกิดอะไรขึ้นกันแน่ หรือว่าซื่อหลัวมายุ่งกับท่านอีกแล้ว”
“เขายากกว่าที่ข้าคิดไว้ ทั้งยังมีหัวคิดและฉลาดมาก เขารู้วิธีเข้าใจจิตใจคน เป็นการกลับชาติมาเกิดของพระที่ไม่ธรรมดาจริงๆ” ดวงตาของฉินหลิวซีเหม่อลอย ขณะที่นางเอ่ยออกมาอย่างมีนัย
เฟิงซิวเอ่ยด้วยความไม่พอใจ “ข้าฟังออกนะว่าเจ้าชื่นชมเขา”
“ถ้าไม่ใช่ศัตรูกัน ก็ไม่ใช่ว่าจะคบหาไม่ได้” ฉินหลิวซีตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ “แต่น่าเสียดาย ข้ากับเขา มีเพียงเขาตายหรือไม่ก็ข้าตายเท่านั้น”
“แล้วเขาทำอะไรอีกเล่า”
ฉินหลิวซีเล่าเรื่องเกี่ยวกับเส้นพลังวิญญาณให้ฟัง อีกทั้งชี้ไปยังภูเขาที่พังยับอยู่เบื้องหน้า เอ่ย “สิ่งที่เราคาดไว้แต่เดิมน่าจะถูกต้องแล้ว คงมีการตั้งค่ายอาคมเส้นทางเทพเจ้าขึ้นที่ทะเลทรายดำ พระกษิติครรภ์บอกว่าหมื่นปีก่อน ที่นั่นเป็นที่ลับของผู้ทรงพลังที่เคยบรรลุขึ้นสวรรค์ และเป็นที่ซื่อหลัวพยายามขึ้นสวรรค์ครั้งแรกด้วย”
เฟิงซิวขมวดคิ้ว “ตกลงที่ใด ก็ลุกขึ้นสู้จากที่นั่นอีก ท่านนี่มันดื้อจริงๆ”
ฉินหลิวซีจ้องมองเขาทันที
“มีอะไร”
“ข้าเองก็เคยเอ่ยเช่นนี้” ฉินหลิวซียิ้ม
เฟิงซิวจิ้มแก้มของนาง เอ่ย “นั่นไม่แสดงว่าเราสื่อใจถึงกันหรือ”
“ไปให้พ้น”
“หัวเราะแบบนั้นแหละถูกแล้ว ไม่ว่าเขาจะเป็นอะไรก็ช่าง ไม่ว่าจะยุ่งยากเพียงใด เราก็เพียงโต้ตอบไปตามที่เห็นสมควร ท่านพูดเองว่า เมื่อเจอความแข็งแกร่ง เราก็ต้องแข็งแกร่งตาม เขาจะแข็งแกร่งเพียงใดไม่ใช่โอกาสที่จะทำให้เราพัฒนาตนเองหรอกหรือ”
ฉินหลิวซีหัวเราะเบาๆ “เจ้าก็รู้จักเอ่ยปรัชญาชวนเชื่อเช่นนี้แล้วหรือ”
เฟิงซิวนอนเอนหลัง เอามือทั้งสองหนุนศีรษะ เอ่ย “ศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุดคือใจของตนเอง เสี่ยวซี ถ้าตัวเองยังเอาชนะไม่ได้ แล้วจะเอาชนะคนอื่นได้อย่างไร ท่านต้องไม่ติดในอารมณ์นี้ การหวั่นไหวและความกลัวจะนำพาไปสู่ความพ่ายแพ้”
ฉินหลิวซีนอนลงข้างๆ เขา มองท้องฟ้าที่มีเมฆลอยอยู่ เอ่ย “เจ้าจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ เจ้าจะเปลี่ยนไปหรือไม่”
“หืม” เฟิงซิวหันไปมองนาง “วาจานี้หมายความอย่างไร”
ฉินหลิวซีเอ่ย “คนที่อยู่ข้างข้า อาจารย์จากไปแล้ว วั่งชวนก็หายไป คนที่คุ้นเคยก็ตายจากไป คนที่เปลี่ยนก็เปลี่ยนแปลงไป เจ้าเล่า จะมีวันที่เจ้าจะจากข้าไปหรือไม่ หรือกลายเป็นใครอีกคนไปหรือไม่”
“เช่นนั้นข้าจะเป็นแค่จิ้งจอกที่ท่านคุ้นเคย” เฟิงซิวยื่นมือออกมา “มาเถิด ทิ้งรอยประทับของท่านไว้ ถ้าวันหนึ่งข้าไม่ใช่ข้าอีกต่อไป สังหารข้าเสีย”
“จริงจังหรือ”
“แน่นอน”
ฉินหลิวซีจับมือของเขาแล้วทิ้งรอยประทับไว้ เป็นสัญลักษณ์เล็กๆ หนึ่งสัญลักษณ์