คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1154 ถูกคลื่นลูกหลังบดบังจนไร้ค่า
ตอนที่ 1154 ถูกคลื่นลูกหลังบดบังจนไร้ค่า
………………..
หลังจากแยกกับเฟิงซิวแล้ว ฉินหลิวซีกลับไปยังอารามชิงหลานราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ฝังเข็มให้กับเจ้าอาวาสอารามชิงหลานก่อน แล้วตรงไปยังหอตำราของอาราม หมกมุ่นอยู่ในนั้นถึงสองวันเต็ม
แม้ว่าฉินหลิวซีจะแสร้งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เจ้าอาวาสอารามชิงหลานกลับสังเกตเห็นความกังวลที่แฝงอยู่ในสีหน้าของนาง ทว่าไม่ได้ถามออกมา
เมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงเดือนเก้า ฉินหลิวซีจึงออกจากอารามชิงหลานกลับไปยังอารามชิงผิง ไปยืนนิ่งอยู่หน้าแผ่นหินหลังภูเขาอยู่นาน ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องลับของอาราม นำภาพวาดค่ายอาคมที่ได้จากหอตำราของอารามชิงหลานไปวางเรียงบนโต๊ะ
ภาพวาดที่กองอยู่เต็มพื้นไหลเวียนอยู่ในความคิดของนาง บางภาพถูกทำลาย บางภาพถูกทิ้ง บางภาพสร้างขึ้นใหม่ แล้วก็ถูกทำลายอีก วนเวียนซ้ำไปมา
หลังจากเจ็ดวันผ่านไป ดวงตาของนางมีรอยคล้ำขอบตาดำ มองไปยังแผนภาพที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น ความรู้สึกเกรี้ยวกราดและหมดหนทางพลุ่งพล่านในหัวใจ
ตุบ!
ฉินหลิวซีหันไปมอง เห็นป้ายวิญญาณหนึ่งตกลงมาจากชั้นวาง ความรู้สึกเกรี้ยวกราดในใจของนางสงบลงทันใด
นางเดินไปหยิบป้ายนั้นขึ้นมาวางใหม่แล้วจุดธูปดอกหนึ่ง นั่งลงขัดสมาธิอยู่ตรงหน้าป้ายเหล่านั้น มือทั้งสองข้างกุมทำท่ามุทราเพื่อชักนำพลังวิญญาณไหลเวียนในเส้นลมปราณ
นางรู้สึกว่าตัวเองกำลังเร่งร้อนเกินไป
นางจะรีบเร่งไม่ได้ เจ้าจิ้งจอกเจ้าเล่ห์เคยบอกไว้ว่า ศัตรูที่ใหญ่ที่สุดของคนก็คือตัวเอง ต้องชนะตัวเองให้ได้ก่อน
เมื่อทำสมาธิครบหนึ่งรอบ ฉินหลิวซีก็ออกจากห้องลับ พลันพบกับสายตาที่เป็นห่วงสองคู่
“มายืนทำอะไรกันตรงนี้”
เจ้าโสมน้อยมองนางด้วยท่าทางรังเกียจ เอ่ย “นี่ท่านไม่ได้หลับมาหลายวันแล้วใช่หรือไม่ ขอบตาดำเหมือนก้นหม้อเลย”
“แปลงร่างเสีย” ฉินหลิวซีเอ่ย
เจ้าโสมน้อยรู้สึกงงงวยเล็กน้อย แต่ก็เชื่อฟังและแปลงร่างกลับเป็นรูปร่างเดิม แต่ยังไม่ทันได้ตั้งตัว ฉินหลิวซีก็จับมันไว้ทันที รีบดึงผลโสมสีม่วงแดงออกมาหลายผล
“อ๊ากกก ผลของข้า ผลของข้า” เจ้าโสมน้อยร้องขึ้นพร้อมวิ่งไปทั่ว
ฉินหลิวซีกัดผลสองลูกเข้าไปแล้วเคี้ยวอยู่ในปาก เอ่ยชม “จริงๆ ด้วย การสะสมบุญมากขึ้นยิ่งช่วยบำเพ็ญเพียรได้ดี ผลนี้มันหวานหอมและเต็มไปด้วยพลังมากกว่าครั้งก่อนเสียอีก”
“เด็ดครั้งเดียวก็สี่ลูก เจ้ายังเป็นคนอยู่หรือไม่” เจ้าโสมน้อยร้องห่มร้องไห้เสียงดัง
ฉินหลิวซีรับรู้ถึงพลังจากผลโสมส่งยิ้มตาหยีกลับไป เอ่ย “เอาล่ะอย่ามาแสร้งร้องไห้เลย เดี๋ยวพาพวกเจ้าไปหาสมบัติกัน”
เจ้าโสมน้อยหยุดร้องไห้ทันที
เถิงเจาเองก็มองไป
ฉินหลิวซีคิดได้แล้วว่าทำไมนางจึงไม่สามารถสร้างแก่นกลางของค่ายอาคมกักเซียนได้ เพราะใจของนางยังไม่สงบพอ การบำเพ็ญเพียรยังไม่ถึงระดับที่ต้องการ บางทีการเปลี่ยนแนวทางอาจช่วยได้
ซื่อหลัววางแผนใหญ่อย่างนี้ได้โดยไม่รีบร้อน นางยิ่งไม่อาจรีบร้อนได้
ดังนั้น นางต้องขึ้นเขาคุนหลุน
เฟ่ยไฉยืนอยู่ใต้ภูเขาคุนหลุน รู้สึกทึ่งกับสถานการณ์นี้ คิดไม่ถึงว่าในการกลับมายังโลกมนุษย์อีกครั้ง ต้องพึ่งความช่วยเหลือจากเหล่าคนรุ่นหลังที่หยิ่งผยอง แม้ภูเขาก็ยังคงเป็นภูเขานั้นก็จริง แต่สภาพขาวโพลนเช่นนี้ กลับไม่เห็นแม้แต่เงาของสำนักชิงผิง
จบแล้ว ถ้าหาไม่เจอ จะโดนเด็กสาวคนนั้นหักคออีกหรือไม่
เฟ่ยไฉสัมผัสที่คอของตัวเอง รู้สึกเย็นยะเยือก เป็นเพราะลมเย็นจากทิศเหนือที่พัดมาตลอดใช่หรือไม่
“ดูเหมือนเจ้าจะมีความวิตกกังวลบางอย่างนะ นี่เป็นเพราะใจอ่อนหรือไม่” ฉินหลิวซีปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลังของเขาอย่างกะทันหัน
“เจ้าดูไม่สงบเลยนะ กลัวงั้นหรือ” จู่ๆ ฉินหลิวซีก็ปรากฏตัวขึ้นด้านหลังเขา
เฟ่ยไฉกระโดดตกใจก้าวถอยไปหลายก้าว เอ่ย “ตกใจจะตายแล้ว ไยเจ้าจึงปรากฏตัวเงียบยิ่งกว่าผีเสียอีก”
เขามองไปที่เด็กหนุ่มสองคนข้างๆ ฉินหลิวซี ทั้งสองคนดูดีมากจนเขาไม่สามารถยับยั้งความสงสัยได้ “สองคนนี้คือใครหรือ”
“ศิษย์ของข้า เสวียนอีและเสี่ยวเซิน” ฉินหลิวซีหันไปเอ่ยกับเถิงเจา “ท่านนี้คืออดีตเจ้าสำนักของสำนักชิงผิงที่เป็นรากฐานดั้งเดิมของอารามชิงผิง เจ้าสำนักรุ่นที่เก้า ผู้อาวุโสเฟ่ยไฉ”
เฟ่ยไฉเริ่มยืนไม่ติด “ฉายาทางเต๋าของข้าคือฟู่ซิงจื่อ เลวร้ายเพียงใดก็ยังเป็นเจ้าสำนักเฟ่ย”
ฉินหลิวซีและเถิงเจาหันมามองเจ้าโสมน้อยพร้อมกัน เจ้ารู้เรื่องซุบซิบเล็กน้อยพวกนี้ด้วยหรือ
เฟ่ยไฉสีหน้าพลันเปลี่ยน มองไปที่เจ้าโสมน้อยอย่างโกรธจัด “เจ้าเอ่ยเหลวไหลอะไรกัน”
เจ้าโสมน้อยมองพิจารณาเขาหนึ่งรอบ เอ่ย “ฟังโจวเล่อ อดีตราชาผีเป่ยฟังบอก ประมุขคนสุดท้ายของสำนักชิงผิง นามว่าเฟ่ยไฉ คนดั่งชื่อ เป็นคนที่ไร้ประโยชน์ที่แม้กระทั่งยันต์ห้าสายฟ้าก็วาดไม่ได้ เป็นคนที่ไม่มีความสามารถใดเลย แต่โชคดีถูกอาจารย์ที่ไม่รู้ดูผิดพลาดได้อย่างไรไม่รู้รับเขาเป็นศิษย์สายหลัก แต่อาจารย์ของเขาก็ไม่ยอมรับว่าตัวเองตาบอด ยังยัดเยียดเขาขึ้นเป็นผู้นำสำนัก แต่ตอนนั้นอารามชิงผิงก็ตกต่ำมากแล้ว คนในสำนักเหลือไม่กี่คน เจ้าคือเฟ่ยไฉไร้ความสามารถที่ว่าหรือไม่”
เฟ่ยไฉที่ไม่คิดว่ามีข่าวลือแบบนี้ของตนแพร่กระจายในยุทธภพ รีบตอบโต้ “ไม่มีเรื่องเช่นนี้หรอก ข้าวาดยันต์ห้าสายฟ้าไม่ได้ เป็นเพราะข้าไม่เชี่ยวชาญการวาดยันต์ ภายหลังยังต่อสู้จนสูญเสียพลังบำเพ็ญเพียร จึงไม่อาจวาดยันต์ห้าสายฟ้าได้ ไม่ใช่คนไร้ความสามารถอย่างที่เจ้าว่า”
คนเราน่ะหรือ มักจะเสียงดังขึ้นเมื่อรู้สึกไม่มั่นใจ
จากท่าทางที่เฟ่ยไฉพยายามเอ่ยแก้ตัว เห็นได้ชัดว่าข่าวลือเหล่านั้นน่าจะไม่ผิด
ฉินหลิวซีรู้สึกใจหายไปครึ่งหนึ่ง ดูเหมือนว่าแม้จะหาสถานที่ตกทอดนั้นเจอ ก็ไม่น่าจะมีสมบัติล้ำค่าหลงเหลืออยู่แล้ว
เฟ่ยไฉเห็นว่าพวกเขาไม่เชื่อก็พยายามรักษาหน้าตาไว้ ฉินหลิวซีเอ่ย “เอาล่ะ ไม่ต้องสนหรอกว่าเป็นจริงหรือไม่ เจ้าตายไปแล้ว”
ถ้าตามที่เจ้าโสมน้อยเอ่ยจริง สำนักชิงผิงก็สูญสิ้นไปไม่ใช่เรื่องน่าสงสัยอะไรเลย
วาดยันต์ห้าสายฟ้ายังไม่ได้ แล้วจะไปสู้กับภูตผีได้อย่างไร
ฉินหลิวซีสงสัยว่าเขาน่าจะตายเพราะถูกใช้เป็นเบี้ยล่างในการต่อสู้
เฟ่ยไฉทั้งโกรธทั้งเสียใจ จ้องมองไปยังเจ้าโสมน้อย ต้องโทษเจ้าตัวป้อมนี่ ถ้าไม่ใช่เพราะเขา ตนไม่มีทางที่จะหมดความเป็นผู้อาวุโสได้เพียงนี้หรอก
“ไม่ต้องจ้องแล้ว ซากสถานที่นั้นอยู่ที่ใด รีบนำทางพวกเราไป” ฉินหลิวซีเอ่ย
เฟ่ยไฉอยากจะตอบกลับว่าไม่รู้ แต่ฉินหลิวซีหยิบธูปออกมาแล้วจุดให้เขา
ได้กลิ่นธูปที่ช่วยเติมพลังวิญญาณ เฟ่ยไฉก็รู้สึกละอายจนต้องยอมแพ้
ถ้ารู้แบบนี้แต่แรก เขาก็คงไปเกิดใหม่แล้ว คงไม่ต้องมาทนทุกข์เช่นนี้ คงไม่ต้องมาง้อธูปหอมนี้
อืม กลิ่นธูปนี้อร่อยจริงๆ
เฟ่ยไฉลอยไปข้างหน้า เพียงแต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป บางสิ่งก็เปลี่ยนไป แม้ภูเขาจะยังคงเดิม แต่มันก็มีหิมะตกปกคลุมไปหมด ทำให้ทุกอย่างดูคล้ายกันไปหมด ที่ใดก็ไม่ใช่
หลังจากที่เฟ่ยไฉหาสถานที่ไม่ถูกไปสามครั้ง เขาเริ่มไม่กล้าหายใจจากวิญญาณตนเองอีกแล้ว มองไปยังฉินหลิวซีอย่างอายๆ เอ่ย “สำนักชิงผิงของเราเคยลึกลับมาก มิเช่นนั้น ผู้ใดก็สามารถมากราบเป็นศิษย์ได้ ไม่อาจแสดงความยิ่งใหญ่ของสำนักได้ใช่หรือไม่”
ฉินหลิวซีเอ่ย “ดูท่าทางแล้ว คงไม่อาจพึ่งเจ้าได้”
เฟ่ยไฉเปิดปากอยากจะเอ่ยอะไรบางอย่าง แต่ก็กลัวว่าจะโดนสวนกลับ
เขามองไปยังฉินหลิวซี เห็นนางหยิบเข็มทิศขนาดเท่าฝ่ามือจากศิษย์ของนาง วาดยันต์ค้นหาวิญญาณขึ้นในอากาศ ตัวอักษรในยันต์ส่องแสงทองวาบในอากาศ
เฟ่ยไฉรู้สึกเหมือนวิญญาณของตนเริ่มมองเห็นภาพเบลอๆ นี่คือสิ่งที่อาจารย์บอกว่าแสงวิญญาณสร้างยันต์ได้น่ะหรือ
เอาล่ะ เขาที่เคยเป็นผู้นำตอนนี้ถูกเหล่าคนรุ่นใหม่แซงหน้าไปหมดแล้ว
“นี่คืออะไร”
เขาเพิ่งเอ่ยปากก็มองเห็นมือนางตวัด ยันต์นั้นก็ลอยมาที่ตน แปะเข้ากับตัวของตนเอง หลังจากนั้นมือนางงอ ปากร่ายคาถา ดึงเขาไปยังเข็มทิศ เข็มนั้นหมุนเร็ว ชี้ไปทางทิศตะวันตก
เฟ่ยไฉ “…”
ตอนที่เขาเฝ้าประตูอเวจี เขาก็เคยได้ยินวิญญาณบางตัวเอ่ยถึงคำๆ เรียกว่าอะไรนะ ‘เครื่องมือ’ หรือไม่
ตอนนี้เขาก็กลายเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการนำทางแล้วสินะ