คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1155 ข้าเข้าใจแล้ว เป็นอีกวันที่ถูกโจมตี
ตอนที่ 1155 ข้าเข้าใจแล้ว เป็นอีกวันที่ถูกโจมตี
………………..
เทือกเขาคุนหลุนทอดยาวหลายพันลี้ พวกฉินหลิวซีพากันเดินตามเข็มทิศนำทางวิญญาณ ข้ามยอดเขาหลายยอดจนกระทั่งมายืนอยู่บนยอดเขาแห่งหนึ่ง มองลงไปด้านล่าง เห็นแม่น้ำปี้สี่ที่เกิดจากการละลายของหิมะไหลผ่านเบื้องล่าง ไม่ไกลจากแม่น้ำ เป็นพื้นที่ภูเขาที่เต็มไปด้วยทุ่งหญ้า บริเวณเนินหยินนั้นมีกลุ่มต้นหญ้าอวิ๋นซานงามเขียวขจีอยู่
“นี่คือที่ตั้งสำนักชิงผิงหรือ” เจ้าโสมน้อยเอ่ย “ไม่ใช่กระมัง สำนักใหญ่เพียงนี้ แม้แต่ยอดเขาสักยอดก็ไม่มีเลยหรือ”
เฟ่ยไฉสูดจมูก เอ่ย “เจ้ารู้อะไรบ้าง ตอนบรรพบุรุษตั้งสำนักขึ้นมาใหม่ๆ มีถึงเจ็ดแปดยอดเขา แต่ละยอดมีผู้อาวุโสใหญ่พักอาศัยอยู่ ทั้งผู้เชี่ยวชาญด้านการหลอมอาวุธ การปรุงยา และศาสตร์เขียนยันต์ เรามีครบทุกอย่าง แต่หลังจากนั้นเมื่อพลังวิญญาณร่อยหรอ การฝึกฝนก็ถอยหลังลงเรื่อยๆ แม้จะมีศิษย์เข้ามาใหม่ก็ไม่มีผู้ใดมีพรสวรรค์พิเศษทำให้ค่อยๆ เสื่อมถอยไป”
“ก็เหมือนกับเจ้าน่ะสิ” เจ้าโสมน้อยทำหน้าราวกับเข้าใจความจริงทั้งหมดแล้ว
เฟ่ยไฉโกรธจนแทบระเบิด กำลังจะเอ่ยสิ่งใดออกมา แต่ฉินหลิวซีเอ่ยขัดขึ้น “เสี่ยวเซิน อย่าเสียมารยาท หากเจ้าควบคุมวาจาของตนไม่ได้ เจ้าก็อยู่ที่นี่ฝึกใจให้สงบไปเถิด ข้าว่าที่นี่พลังวิญญาณไม่เลวเลย”
เจ้าโสมน้อยรีบยกมือไหว้เอ่ยขอโทษเฟ่ยไฉทันที “เป็นข้าที่เสียมารยาท ขอผู้อาวุโสให้อภัยข้าด้วย”
เฟ่ยไฉรู้สึกอึดอัดใจเหมือนมีสิ่งที่ค้างคาอยู่ในอก
ฉินหลิวซีโค้งคำนับให้เขาเล็กน้อยเช่นกัน เอ่ย “เจ้าโสมน้อยเกิดตามธรรมชาติ ดุร้าย ยากที่จะสั่งสอน ท่านอย่าได้ถือสาเขาเลย”
เฟ่ยไฉรีบเอ่ย “เจ้าทำตัวหยิ่งยโสสักหน่อยก็ดี”
จู่ๆ ทำตัวมีมารยาทต่อกันขึ้นมา เขารู้สึกหวั่นใจยิ่งนัก
ฉินหลิวซีมองไปยังหุบเขาเบื้องล่าง “แผ่นดินยามนี้มีพลังวิญญาณร่อยหรอ การบรรลุและขึ้นสู่สวรรค์เหมือนยุคแห่งการบำเพ็ญเซียนนั้นทำได้ยาก ต่อให้พลังวิญญาณสมบูรณ์แล้วก็เถิด สิ่งใดเล่าที่คงอยู่ได้ตลอดไป เช่นเดียวกับที่ไม่มีอาณาจักรใดไม่ล่มสลาย สำนักก็เช่นกัน”
เฟ่ยไฉมองนางที่จู่ๆ กลายเป็นคนมีเหตุผลและเข้าใจทุกสิ่งก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจ เกรงว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล
และเป็นอย่างที่คิด ฉินหลิวซีเปลี่ยนหัวข้อการสนทนากะทันหัน เอ่ยถาม “ผู้นำที่ฉลาดล้วนแต่แอบวางเส้นทางไว้สำหรับตนเอง เฉกเช่นกษัตริย์บางพระองค์ที่เก็บขุมทรัพย์ไว้เป็นความลับ สำนักชิงผิงที่เคยเป็นหนึ่งในสามสำนักใหญ่ บรรพบุรุษเก่าแก่จะไม่ทิ้งสมบัติใดๆ ไว้ให้ลูกหลานใช้ฟื้นฟูสำนักเลยหรือ”
เฟ่ยไฉ “…”
เจ้าเล่ห์จริงๆ
เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “ถ้ามีของดีอยู่จริง ข้าจะปล่อยให้เจ้าเจอหรือ ข้าเองก็อยากฟื้นฟูสำนักเช่นกัน”
“บรรพบุรุษอาจจะรู้ล่วงหน้าว่าข้าเก่งกว่าท่านนิดหน่อยก็ได้นะ”
เฟ่ยไฉ “!”
เจ้าหน้าหนาเสียเพียงนี้ ไม่นึกจะถอดออกไปทำเกราะบ้างหรือไร
ฉินหลิวซีเห็นเขาทำหน้าตาเหมือนอาการท้องผูก จึงไม่อยากยั่วให้เขาโกรธอีกต่อไป ไม่เอ่ยมากความ นางเดินลงไปยังหุบเขา
สามคนและหนึ่งวิญญาณเดินอยู่ในหุบเขา ดอกไม้ป่าเบ่งบานสดใสไปทั่วบริเวณ บางที่ยังมีพืชวิญญาณหายากอยู่ด้วย ฉินหลิวซีจึงบอกให้เจ้าโสมน้อยเก็บรวบรวมให้หมด ไม่ให้สูญเปล่าไป
เฟ่ยไฉมองดูเจ้าหนุ่มที่ไม่รู้ไปหยิบเอากระสอบมาจากที่ใด เริ่มขุดถอนพืชทุกต้น ไม่เหลือสมุนไพรแม้เพียงต้นเดียว
เขาเข้าใจขึ้นมาทันใด
เด็กสองคนนี้ตามมาทำอะไร เขาเข้าใจแล้ว
เฟ่ยไฉจ้องมองสำรวจฉินหลิวซี หากตอนนั้นเขามีหัวคิดที่แหลมคมอย่างนี้ สำนักคงไม่ล่มสลายลงในมือเขากระมัง
ฮือ วันนี้ก็เป็นอีกวันที่เขาถูกโจมตี
พวกเขาเดินผ่านหุบเขามายังยอดเขาใหม่ที่เต็มไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่ปกคลุมจนมองไม่เห็นเส้นทาง
แต่ทันใดนั้นเฟ่ยไฉก็ร้องไห้เสียงดังออกมาด้วยความดีใจ “หาเจอแล้ว”
เขาลอยไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ฉินหลิวซีพาเถิงเจาตามไป ไม่นานก็เห็นเฟ่ยไฉกำลังกอดเสาหินสองต้นอยู่ ร้องไห้สะอึกสะอื้น
“ฮือ ฮือ นี่คือเสาหินหน้าประตูเขาของเรา เมื่อก่อนมันสง่างามขนาดไหน ด้านบนยังมีสัตว์เทพประจำอยู่ แต่ตอนนี้สัตว์เทพหายไป ประตูเขาก็ไม่มีอีกแล้ว”
“ผ่านมาตั้งพันปี ยังอยู่ดีแค่นี้ก็นับว่ามหัศจรรย์แล้ว ไม่ล้มครืนก็เก่งแล้ว หวังจะให้สมบูรณ์อยู่ได้ คิดอะไรเพ้อเจ้อ” ฉินหลิวซีแทบกลอกตา นางก้าวขึ้นไปบนบันไดหิน
สถานที่แห่งนี้ไร้ผู้คนมานานหลายปี พืชพรรณปกคลุมจนทางเดินหินที่มุ่งสู่วิหารถูกบดบังไปหมด
เมื่อเถิงเจาเห็นดังนั้น เขาก็หยิบกระบี่ของตนออกมาช่วยฟันต้นไม้ใบหญ้าเคลียร์ทางด้วย เจ้าโสมน้อยเองเก็บพืชที่มีประโยชน์ใส่กระสอบไปเรื่อยๆ
เฟ่ยไฉร้องไห้อยู่พักใหญ่ เมื่อเห็นว่ารอบข้างไม่มีเสียงพูดคุย ซ้ายขวาไม่มีคน จึงเงยหน้าขึ้นมอง
เห็นอาจารย์กับศิษย์ช่วยกันฟันต้นไม้ใบหญ้าเปิดทางไปตามขั้นบันได น้ำตาของเขารื้นขึ้นมาอีกครั้ง รู้สึกอบอุ่นปนเศร้าในหัวใจ
มาเพียงครั้งเดียว ต้องลำบากเพียงนี้เชียวหรือ
พวกเขาค่อยๆ เปิดเส้นทางออกจนเสร็จสมบูรณ์
เหล่าบรรพบุรุษคงจะรู้สึกดีใจไม่น้อยกระมัง
ฉินหลิวซียืนอยู่หน้าลานหินเล็กๆ ที่ปกคลุมด้วยตะไคร่น้ำ มองไปยังซากปรักหักพังตรงหน้าอย่างยากจะเอ่ยวาจา
ที่นี่ถูกปล้นไปแล้วสินะ ไม่เช่นนั้นต่อให้เสื่อมโทรมเพียงใดก็คงไม่ถึงกับไม่มีหลังคาเช่นนี้ วิหารที่เคยยิ่งใหญ่ ตอนนี้เหลือเพียงเสาโล้นๆ กับกำแพงที่ต่ำต้อยลอกล่อน ทุกๆ ที่เต็มไปด้วยความพังพินาศและรกร้าง
“ดูอย่างไรก็ไม่น่าจะมีของมีค่าเลยนะ” เจ้าโสมน้อยบ่นพึมพำเบาๆ
เถิงเจายกนิ้วขึ้นส่งเสียง ชู่ว
เฟ่ยไฉลอยขึ้นมาเริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้นอีกครั้ง พร้อมเอ่ยคำขอโทษและกล่าวโทษตัวเองอย่างหนัก
ทำให้สำนักตกต่ำถึงเพียงนี้ ข้าไม่คู่ควรเป็นศิษย์ คงไม่อาจมองหน้าบรรพบุรุษทั้งหลายได้อีกแล้ว
ฉินหลิวซีถูกเสียงร้องไห้ของเขารบกวนจนปวดขมับ
“เลิกคร่ำครวญได้แล้ว ร้องไห้จะทำให้สำนักฟื้นคืนขึ้นมาใหม่หรืออย่างไร”
เฟ่ยไฉหยุดร้อง ลอยมาหานาง เอ่ย “เจ้าเป็นทายาทสายตรงของสำนักเรา ภารกิจในการฟื้นฟูสำนักต้องพึ่งเจ้าแล้ว”
ฉินหลิวซียิ้มมุมปาก “ตอนนี้สำนักชิงผิงก็ไม่ได้ถึงกับสูญหายไปเสียทีเดียว เพียงเปลี่ยนจากสำนักเป็นอารามเท่านั้นเอง”
“เช่นนั้นก็ทำให้อารามกลับมาเป็นสำนักสิ ขอเพียงเจ้าตื่นตัว รับศิษย์ร้อยพันคน ทุ่มเทสอนอย่างสุดกำลัง ไม่ช้าสำนักอันดับหนึ่งก็จะเป็นของชิงผิง จุดธูปหอมหนาๆ ให้ควันพวยพุ่ง สร้างรูปเคารพที่หรูหรา” เฟ่ยไฉมองนางด้วยสายตาเปี่ยมด้วยความหวัง
ฉินหลิวซีหัวเราะแห้งๆ “ด้วยความสามารถเล็กน้อยของข้านี้ จะรับภาระอันหนักอึ้งนี้ได้อย่างไร นอกเสียจากสำนักจะมีเคล็ดวิชาโบราณสืบทอดให้ข้า”
เฟ่ยไฉตกใจ พูดคุยก็พูดคุยสิ จู่ๆ เสียงดังขึ้นมาทำไม จนเสียงสะท้อนก้องทั่วหุบเขา ราวกับจะให้บรรพบุรุษได้ยิน แล้วส่งเคล็ดวิชามาให้นางอย่างนั้นน่ะหรือ
ฝันไปเถิด สมัยนั้นข้าแทบจะพลิกแผ่นดินหา ยังไม่เจอเงินทองเลยสักเหรียญเดียว
ฉินหลิวซีเดินลึกเข้าไปโดยไม่สนใจเขา เฟ่ยไฉติดตามนางไป พร้อมเล่าถึงความรุ่งเรืองในอดีตของสำนัก ราวกับว่าสภาพพังพินาศในตอนนี้เป็นเพียงภาพลวงตา มีเพียงคำพูดของเขาที่เป็นความจริง เขาเล่าด้วยความตื่นเต้น มือไม้โบกสะบัด กลิ่นอายวิญญาณล่องลอยไปทั่ว
ฉินหลิวซีฟังโดยไม่เอ่ยขัด ด้วยคำบอกเล่าของเขา ภาพอดีตอันสดใสก็ปรากฏขึ้นในความคิด เสียงอื้ออึงดังขึ้นในหู เสียงระฆังดังก้องอย่างสง่างาม ราวกับอดีตกลับมาในวันนี้อีกครั้ง
เถิงเจาและเจ้าโสมน้อยต่างก็นิ่งฟัง ปล่อยให้คำบอกเล่าของเฟ่ยไฉชี้นำ พวกเขาราวกับมองเห็นของล้ำค่าที่เคยประดับอยู่ในวิหาร
“บรรพบุรุษทั้งสาม ศิษย์ไม่ดีกลับมาเยี่ยมพวกท่านแล้ว” เสียงร้องคร่ำครวญดังและเสียงคุกเข่าก้องไปทั่วทำให้ภาพฝันทั้งหมดแตกสลาย