คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1156 อวี้ฉังคง ก้าวเข้ามาสู่โลกเพื่อคัดสรรผู้มีคุณธรรม
- Home
- คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า
- ตอนที่ 1156 อวี้ฉังคง ก้าวเข้ามาสู่โลกเพื่อคัดสรรผู้มีคุณธรรม
ตอนที่ 1156 อวี้ฉังคง ก้าวเข้ามาสู่โลกเพื่อคัดสรรผู้มีคุณธรรม
………………..
สายลมภูเขาหวีดหวิวพัดผ่าน หนาวจนคนต้องสั่นสะท้าน
เหล่าฉินหลิวซีต่างทอดสายตามองไปยังรูปปั้นเทพสามบริสุทธิ์อันสูงเด่นถึงหนึ่งจั้งเบื้องหน้า
แต่รูปปั้นที่ปรากฏเบื้องหน้านั้นมิใช่ทองสัมฤทธิ์หรือทองคำชุบ เพียงแต่เป็นรูปปั้นดินที่ทาสีด้วยสีสันสดใสเท่านั้น ทว่าเมื่อกาลเวลาผ่านไปหลายชั่วอายุคน สีสันได้เลือนหายไปหมดสิ้น อีกทั้งรอยแตกและหลุมบ่อเต็มตัวรูปปั้น บ้างก็ถูกสัตว์เล็กๆ แทรกตัวเข้าไปอาศัยอยู่ในโพรง เพียงแต่เศียรของรูปปั้นยังคงอยู่ครบถ้วน ทำให้สามารถรู้ได้ว่าใครเป็นใคร
ฉินหลิวซีถอนหายใจยาวออกมาหนึ่งเฮือก
เฟ่ยไฉคุกเข่าลงบนพื้น น้ำตาหลั่งไหลราวจะขาดใจ
ฉินหลิวซีสั่งการให้เถิงเจาช่วยกันทำความสะอาดพื้นที่รอบๆ นางเองก็หยิบเครื่องสักการะและธูปเทียนจากถุงเฉียนคุนออกมาเตรียมพร้อม
ไม่ว่าจะมีมรดกสืบทอดใดๆ หรือไม่ ในเมื่อมาแล้ว ทั้งยังเป็นสถานที่เก่าแก่ของอารามชิงผิง พวกนางที่เป็นลูกศิษย์ก็ต้องแสดงความเคารพต่อบรรพบุรุษบ้าง
ฉินหลิวซีหยิบผ้าฝ้ายสะอาดหนึ่งผืนออกมา ถีบปลายเท้ากระโดดขึ้นไปด้านบน ใช้ผ้าค่อยๆ เช็ดทำความสะอาดเศียรรูปปั้นอย่างประณีต ส่วนรูโพรงที่อยู่ตามลำตัวนั้นนางไม่ได้ปิด
“ไยจึงไม่ซ่อมแซมรูเหล่านี้ให้สมบูรณ์เล่า” เฟ่ยไฉมองนางเช็ดถู ทว่าไม่อุดรู จึงไม่เข้าใจนัก
“รูปปั้นที่สามารถให้สิ่งมีชีวิตมาพักพิงอยู่ได้ ก็เป็นการปกป้องและเมตตาอย่างหนึ่ง ปรมาจารย์ทั้งสามคงไม่ถือโทษ” ฉินหลิวซีเอ่ยพลางมองรูโพรงบริเวณท้องของหยวนสื่อเทียนจุนด้วยแววตาคล้ายมีความหมายแฝง
เฟ่ยไฉไม่เอ่ยอะไรอีก
ก็จริง ที่แห่งนี้เป็นซากอารามเก่าแก่ที่ถูกทิ้งร้าง หากมิได้ตั้งใจมาตามหา คงไม่มีผู้ใดล่วงรู้ถึงการคงอยู่ของมัน การที่รูปปั้นจะสมบูรณ์หรือไม่สมบูรณ์นั้น จะมีความสำคัญใดกันเล่า
ทว่าสำหรับรูปปั้นที่เปิดทางให้สิ่งมีชีวิตได้อยู่อาศัย ถือเป็นโชคชะตาของสิ่งนั้น และเป็นความเมตตาของรูปปั้น
ฉินหลิวซีหยิบธูปมาจุดไฟ จากนั้นพาเถิงเจาร่วมกันน้อมไหว้สักการะ ปักธูปคุกเข่าลงคารวะอย่างนอบน้อม
หากมีมรดกสืบทอดใดๆ ก็ขอให้ส่งต่ออย่างไม่ขาดตกบกพร่อง หากมีสมบัติล้ำค่าที่ซ่อนอยู่ ก็ขอให้ดลบันดาลให้เห็นในความฝันหรือชี้ทางให้ชัดเจน เพราะการเดินทางมาถึงที่นี่ลำบากยากเย็นยิ่ง ในฐานะลูกศิษย์ การได้มีสิ่งของสืบทอดที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ให้เพื่อพึ่งพิงและโอ้อวด ก็เป็นสิ่งสำคัญเพื่อรักษาศักดิ์ศรีของสำนักชิงผิงในฐานะนิกายใหญ่ในอดีต
นางช่างกล้าเอ่ย ไม่กลัวว่าปรมาจารย์ทั้งหลายจะโกรธลุกขึ้นมาหยิบไม้ไล่นาง
ทว่าหากปรมาจารย์มีจิตวิญญาณอยู่จริง ตอนนั้นตัวเขาที่คุกเข่าจนกระดูกกร่อน ก็ไม่เคยเห็นพวกเขาให้พรใดๆ ดังนั้นคำขอของนางในครั้งนี้ก็เปล่าประโยชน์
คนหนุ่มสาวช่างไร้เดียงสาเสียจริง
แต่ว่าไยธูปนี้จึงเผาไหม้เร็วเช่นนี้เล่า
หลังจากฉินหลิวซีถวายธูปเสร็จแล้ว นางจึงพาเถิงเจาพวกเขาเดินสำรวจบริเวณรอบๆ
“ซีซี ที่นี่ดูไม่เหมือนว่าจะมีสมบัติอะไรเลยนะ” เจ้าโสมน้อยกวาดตามองไปรอบๆ เอ่ย “ส่วนเรื่องมรดกสืบทอด ข้าคิดว่าคงยากจะมีจริง”
“เรื่องการสืบทอดของสำนักชิงผิงนั้น อันที่จริงแล้วก็เป็นเพียงตำนาน และตำนานจะจริงหรือไม่ก็ยากที่จะตรวจสอบได้ หากไม่ได้มาด้วยตนเองก็คงไม่รู้ว่ามีหรือไม่ ข้าเองก็เคยสงสัยว่าที่แห่งนี้จะมีซากของสำนักชิงผิงหรือไม่ แต่ตอนนี้พวกเราก็ยืนอยู่ที่นี่แล้ว ส่วนเรื่องมรดกของลัทธิเต๋านั้น หากได้มาก็นับเป็นโชคดี หากไม่ได้ก็เป็นชะตาของข้า”
วาจานี้ก็ไม่ผิดนัก
เจ้าโสมน้อยเห็นว่านางปล่อยวาง จึงไม่เอ่ยมากความ ดึงเถิงเจาวิ่งออกไป
ส่วนเรื่องมรดกและสมบัติจะมีหรือไม่ คงต้องว่ากันทีหลัง แต่อย่างน้อยการเก็บพืชวิเศษหายากบางชนิดติดมือไปก็ถือว่าไม่เสียเที่ยว
ทันทีที่พวกเขาเดินออกไป ไม่นานนักก็เกิดความเคลื่อนไหวเล็กน้อยจากรูในร่างของรูปปั้นปรมาจารย์ทั้งสาม และเมื่อธูปเทียนไหม้เร็วขึ้น ใบหน้าของปรมาจารย์ทั้งสามก็ค่อยๆ เลือนรางขึ้น
เฟ่ยไฉขยี้ตาของเขา นี่เขามองผิดไปหรือไม่
เหตุใดเหมือนเห็นใบหน้าของปรมาจารย์ทั้งสามกำลังยิ้มเล่า
ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง บริเวณซากโบราณสถานแห่งนี้ยิ่งเงียบสงัดขึ้นไปอีก มีเพียงเสียงร้องของสัตว์ที่ไม่รู้อยู่ที่ใดดังขึ้นเป็นระยะ
ฉินหลิวซีพวกเขาก่อกองไฟตรงหน้ารูปปั้นปรมาจารย์ทั้งสาม จากนั้นนั่งสมาธิเข้าฌาน
แต่สำหรับเฟ่ยไฉแล้ว การกระทำของนางนี้เป็นการไม่ยอมแพ้ต่างหาก
ดูสิ เขารู้อยู่แล้วว่าเรื่องเล่าก็เป็นเพียงเรื่องเล่า จะมีอะไรที่เรียกว่าความลับของลัทธิเต๋าได้อย่างไร…เอ๊ะ นี่
เฟ่ยไฉเบิกตาโต มองไปยังบริเวณโดยรอบปรมาจารย์ทั้งสามที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ รู้สึกจุกอยู่ในอก
เคยเห็นคนลำเอียง แต่ไม่เคยเห็นใครลำเอียงเพียงนี้ ไยเขาถึงไม่ได้รับการเอ็นดูเช่นนี้บ้าง
เฟ่ยไฉทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ สายตาไปสะดุดที่ธูปสามดอกที่หนาเท่าข้อมือเด็กซึ่งฉินหลิวซีและคนอื่นๆ ถวายก่อนจะนั่งสมาธิ ทำให้สมองเขาแลบแปลบปลาบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ไหว้เทพมากย่อมได้รับการปกปักษ์คุ้มครอง
อืม เขาเข้าใจแล้ว
เทือกเขาคุนหลุนห่างไกลจากโลกมนุษย์และความวุ่นวาย แต่เมืองเซิ่งจิงนั้นเต็มไปด้วยการแย่งชิง โดยเฉพาะหลังจากที่ฉีเชียนได้รับการแต่งตั้งเป็นอ๋องแล้ว ทำให้ขุนนางทั้งหลายเกิดความคิดหลากหลาย
ยามนี้องค์รัชทายาทถูกปลดลงไปแล้ว ท่ามกลางภัยพิบัติที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ในราชสำนักก็มีเสียงเรียกร้องให้แต่งตั้งรัชทายาทใหม่เพื่อสร้างความมั่นคงแก่ประชาชน
และคนที่กล่าวเช่นนี้ย่อมเป็นฝ่ายของเหล่าอ๋องหลายพระองค์ โดยเฉพาะคนของจ้าวอ๋องที่กระตือรือร้นเป็นที่สุด เพราะเมื่อองค์รัชทายาทถูกปลดลงไปแล้ว เหล่าองค์ชายที่เป็นผู้ใหญ่ จ้าวอ๋องเป็นพระองค์ที่สอง ดังนั้นตำแหน่งอันสูงส่งนี้ควรเป็นของเขา
แต่เมื่อเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมา ฮ่องเต้ที่อยู่ในชุดคลุมลายเมฆาก็ยังคงนิ่ง จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นหนึ่งประโยค “พวกเจ้าอยากตั้งผู้ใด ลองบอกชื่อมาสิ”
ตรงไปตรงมาเพียงนี้กลับทำให้ผู้คนไม่กล้าเอ่ยออกมาโดยง่าย ตรงกันข้ามยังตีความเจตนาของฮ่องเต้ นี่หมายความว่าจะตั้งหรือไม่ตั้งกันแน่
จ้าวอ๋องร้อนรนใจ สั่งการให้ที่ปรึกษารีบหาวิธีจัดการ พิธีศพของไทเฮากำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว จะปล่อยให้รัชทายาทมีโอกาสกลับมาไม่ได้เด็ดขาด
นอกจากนี้ เจ้าสามเจ้าสี่ก็ดูเหมือนจะเริ่มเคลื่อนไหวแล้วด้วย
แต่ทั้งหมดนี้ก็ยังไม่เท่ากับเจ้าลูกนอกสมรสคนนั้น เพียงได้รับความดีความชอบสองครั้งก็ถูกแต่งตั้งให้เป็นอ๋องทันที เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่สงสัยว่าฮ่องเต้กำลังคิดสิ่งใดอยู่
คงไม่ใช่ว่าฮ่องเต้คิดจะรับเจ้าลูกนอกสมรสคนนี้กลับมาอย่างนั้นหรือ
จ้าวอ๋องคิดไปคิดมาก็ยิ่งเชื่อว่าตนเองคาดการณ์ถูกแล้ว คิดไปถึงนางสนมที่เปลี่ยนฐานะเข้าวังมา รู้สึกกระวนกระวายใจไปหมด
เขาตามหาจึงไปหาอวี้ลิ่งหลาน เล่าให้ฟังถึงความคิดที่คาดเดาเอาไว้ อีกฝ่ายยิ้มพลางส่ายหน้า “ท่านอ๋องคิดมากเกินไปแล้ว ไม่มีฮ่องเต้พระองค์ใดที่ต้องการทำลายชื่อเสียงของตนเอง ลูกนอกสมรสอย่างไรก็ไม่อาจเชิดหน้าชูตาได้”
จ้าวอ๋องรู้สึกเบาใจลงบ้าง เอ่ยถาม “เช่นนั้นท่านพ่อทรงแต่งตั้งเขาเป็นอ๋องเพื่อประสงค์สิ่งใดกัน”
“เป็นการตอบแทนจากความดีความชอบเท่านั้น ทำหน้าที่ในฐานะบิดาที่อยากตอบแทนลูกที่คิดว่าเคยถูกปฏิบัติไม่ดี จะมีอะไรที่ชอบธรรมไปกว่าการมอบความชอบเป็นรางวัลเล่า”อวี้ลิ่งหลานเอ่ยเสียงเรียบ “แต่ก็คงมีเพียงเท่านั้น พระองค์จะกล้าบอกคนทั้งโลกอย่างเปิดเผยว่านี่คือลูกแท้ๆ ของพระองค์หรือ”
จ้าวอ๋องกำลังจะเอ่ยอะไรบางอย่าง แต่สายตาหันไปเห็นบนถนนเบื้องล่าง แค่นเสียงหยัน “ลับหลังไม่นินทา เมื่อเอ่ยถึงก็ปรากฏตัว”
อวี้ลิ่งหลานมองตามสายตาของเขาไป ทว่าได้เห็นฉีเชียนกระโดดลงมาจากม้ารูปร่างดีสีดำ มายืนนิ่งอยู่ด้านหลังรถม้า
ภายในรถ มีคนหนุ่มกระโดดลงมา จับขอบประตู ริมฝีปากขยับ ไม่รู้เอ่ยสิ่งใด
มือเรียวยาวข้างหนึ่งวางอยู่ที่ขอบประตู ตามมาด้วยร่างที่โน้มตัวออกมา เผยใบหน้าสวยงามปราณีต
อวี้ลิ่งหลานดวงตาหดเล็กลง ทันใดนั้นพลันลุกขึ้นยืน
อวี้ฉังคง เขากลับเข้ามาสู่โลกแห่งนี้แล้ว
………………..