คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1157 ท่านคู่ควรจะได้รับการช่วยเหลือจากทั้งสองคนพี่น้องหรือ
- Home
- คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า
- ตอนที่ 1157 ท่านคู่ควรจะได้รับการช่วยเหลือจากทั้งสองคนพี่น้องหรือ
ตอนที่ 1157 ท่านคู่ควรจะได้รับการช่วยเหลือจากทั้งสองคนพี่น้องหรือ
………………..
อวี้ฉังคงก้าวลงมาจากรถม้า สวมอาภรณ์ผ้าสีขาวดั่งแสงจันทร์ ที่ในยามต้องแสงอาทิตย์ยังปรากฏประกายเงินแวววาว ผมยาวดำขลับถูกมัดไว้ด้วยกวานหยกเขียว ใบหน้าหล่อเหลาคล้ายเซียนผู้สง่างามดุจเทพที่มาเยือนโลกมนุษย์
คุณชายที่หาผู้ใดเปรียบมิได้
บนถนนยาว ผู้คนพากันตะลึงลาน บางคนถึงกับเดินชนกันเองโดยไม่รู้ตัว หญิงสาวบางคนถึงกับหน้าแดงด้วยความเขินอาย แต่ยังกล้ามองไปอย่างไม่วางตา ดวงตาไม่อาจละจากเขาได้
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสายตาร้อนแรงเหล่านั้น อวี้ฉังคงไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ เพียงรู้สึกถึงบางอย่าง เงยหน้าขึ้นมองไปในทิศทางหนึ่ง สบเข้ากับสายตาอวี้ลิ่งหลาน
เขาพยักหนาเบาๆ ก้าวตามฉีเชียนเข้าไปในจิ่วเสียน ไม่นานก็หายลับไปจากสายตาของฝูงชน
เสียงถอนหายใจดังก้องไปทั่วถนนยาว ไม่มีผู้ใดรู้ว่ามันเกิดจากการได้เห็นเพียงแวบเดียวหรือเพราะเสียดายที่ชายผู้สง่างามเช่นนั้นหายลับไป
จ้าวอ๋องเองก็ดวงตาหดเกร็ง ใจเต้นรัว ไม่รู้ว่าเพราะอวี้ฉังคงหรือเพราะเห็นเขายืนเคียงฉีเชียน รู้สึกได้เพียงว่าการปรากฏตัวของชายผู้นี้จะนำมาซึ่งความพ่ายแพ้
“เขาคือผู้ใด” จ้าวอ๋องไม่พลาดที่จะมองเห็นอวี้ฉังคงพยักหน้าให้พวกเขา และการแสดงออกของอวี้ลิ่งหลานก็ทำให้เขารู้สึกประหม่า
อวี้ลิ่งหลานมองไปยังประตูสีแดงของจิ่วเสียน เอ่ย “อวี้ฉังคง เขาคือผู้นำตระกูลอวี้คนปัจจุบัน ญาติผู้พี่ของข้า”
“อ้อ…ว่าอย่างไรนะ” จ้าวอ๋องตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ “เขาคืออวี้ฉังคงอย่างนั้นหรือ”
ไม่ใช่สิ แม้เขาจะไม่เคยเห็นอวี้ฉังคงตัวจริง แต่เขาเคยเห็นภาพวาดของเขา อวี้ฉังคงในภาพวาดนั้นก็เป็นคุณชายหล่อเหลาเช่นกัน แต่ไม่เหมือนตอนนี้ที่ดูสง่างามเหนือโลก คล้ายว่าหากมีเมฆแขวนอยู่ใต้เท้า เขาก็พร้อมจะกลายเป็นเทพเซียนได้ทุกเมื่อ
ไม่ว่าอย่างไร อวี้ฉังคงในตอนนี้กลับมีเสน่ห์มากขึ้น ทำให้ผู้คนจดจำได้ง่าย และยังเพิ่มความน่าเกรงขามมากขึ้นด้วย
เช่นความประหม่าเมื่อครู่ อวี้ฉังคงปรากฏตัวขึ้น ทำให้ตนรู้สึกถึงภัยคุกคาม
จ้าวอ๋องเอ่ย “ไยเขาถึงมาอยู่ที่เมืองหลวงได้ ไม่สิ ไยเขาถึงมาอยู่กับฉีเชียนผู้ไร้ศักดิ์ศรีนั้นได้”
อวี้ลิ่งหลานหรี่ตาลง “ท่านอ๋อง ข้าต้องขอถอนคำพูดเมื่อครู่นี้”
“ข้าเคยคิดว่าด้วยสถานะของฉีเชียนไม่จำเป็นต้องกังวล แต่การปรากฏตัวของอวี้ฉังคง กลับเป็นการตบหน้าข้า” อวี้ลิ่งหลานเอ่ยเสียงเรียบ
จ้าวอ๋องยังไม่ทันเข้าใจ แต่เมื่อคิดถึงกฎของตระกูลอวี้ ที่ว่าลูกหลานสกุลอวี้จะเลือกช่วยเหลือเพียงผู้ที่มีคุณธรรมเท่านั้น
ใบหน้าเขาเปลี่ยนสีทันที นี่หมายความว่า อวี้ฉังคงเลือกฉีเชียนอย่างนั้นหรือ เรื่องอะไรกัน
ตัวเขาเองซึ่งเป็นโอรสที่ถูกต้องตามกฎ ยังไม่ได้รับความสนใจจากตระกูลอวี้ผู้เลิศล้ำนี้ แล้วฉีเชียนที่เป็นเพียงผู้ไร้ศักดิ์ศรีไยจึงได้เล่า
ฉีเชียน ข้าเพียงแต่โชคดี โชคชะตาอยู่ข้างข้า
จ้าวอ๋องโกรธจนใบหน้าหล่อเหลาเบี้ยวผิดรูป
ตั้งแต่ปีที่แล้ว ดูเหมือนเขาจะไม่ราบรื่นเอาเสียเลย อยู่ดีๆ ก็ถูกป้ายประจำจวนหล่นลงมาทับจนต้องพักฟื้นอยู่หลายเดือน จากนั้นยังถูกทำร้ายโดยไม่ทราบสาเหตุจนไปสิ้นสติอยู่บนเตียงของซืออี๋จวิ้นจู่ เดิมทีคิดว่านี่ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรนัก คิดจะยืมอำนาจของซิ่นหยางอ๋องมาช่วยตน แต่สุดท้ายซิ่นหยางอ๋องกลับกบฏเสียเอง
เจ้าโจรนั่นกบฏก็เรื่องหนึ่ง แต่เขากลับต้องมาพัวพันกับซืออวี๋อีก ทำให้เสด็จพ่อเกิดความแคลงใจ เวลานั้นเขาต้องพยายามอย่างมาก ทั้งส่งทรัพย์สินไปบรรเทาทุกข์ผู้ประสบภัย ทั้งหาสูตรยาล้ำค่าเพื่อถวายแก่เสด็จพ่อ จนกระทั่งเรียกคืนความโปรดปรานได้บางส่วน แต่แล้วตอนนี้กลับมีอวี้ฉังคงปรากฏตัวขึ้นอีกคนอย่างนั้นหรือ
อวี้ฉังคงจะปรากฏตัวข้างกายผู้ใดก็ได้ เหตุใดต้องเป็นคนที่ไม่มีทางเป็นไปได้เช่นฉีเชียน
จ้าวอ๋องรู้สึกคล้ายจะขาดใจ เขายังไม่ยอมแพ้ เอ่ยถามอย่างไม่วางใจ “หรือว่าพวกเราจะเข้าใจผิด เจ้าบอกไม่ใช่หรือว่าตอนนี้เขาเป็นผู้นำตระกูลอวี้ ถ้าตระกูลอวี้มีเจ้าแล้ว เช่นนั้นคงไม่มีผู้ใดอื่นเข้ามาเลือกเจ้านายอะไรกระมัง เขามาเพราะธุระอื่นหรือไม่”
อวี้ลิ่งหลานก้มหน้าลง ปิดบังความเย้ยหยันในดวงตา “ตระกูลอวี้ในวันนี้หาใช่ตระกูลอวี้ในวันวานอีกต่อไปแล้ว บุตรหลานตระกูลอวี้ก็ไม่ใช่ผู้ที่จะหลบเร้นจากโลกภายนอกอีกต่อไป สำหรับอวี้ฉังคง มีเรื่องใดที่เขาจำต้องมาด้วยตนเองที่เมืองหลวงนี้ ข้าไม่อาจรู้ได้”
“สืบ ต้องสืบให้ได้” จ้าวอ๋องรู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างยิ่ง
อวี้ลิ่งหลานเอ่ยเสริม “หากเขาติดตามรุ่ยอ๋องตลอด เช่นนั้นรุ่ยอ๋องก็คือผู้ที่เขาเลือกเป็นเจ้านายอย่างแน่นอน”
ดวงตาจ้าวอ๋องหดแคบลงทันที แสดงออกถึงความอิจฉาริษยาและความไม่พอใจ
อวี้ลิ่งหลานเห็นท่าทางเช่นนั้นก็หัวเราะเบาๆ “ท่านอ๋องรู้สึกไม่พอใจหรือ”
จ้าวอ๋องฝืนยิ้มพลางเอ่ย “เปล่า ข้าเพียงแต่รู้สึกประหลาดใจ ข้าคิดว่าตระกูลอวี้จะเลือกสนับสนุนเพียงผู้เดียวในแต่ละยุคเท่านั้น”
อวี้ลิ่งหลานเอ่ยอย่างเย็นชา “ที่ใดมีผู้คน ที่นั่นย่อมมียุทธภพ และย่อมมีการแข่งขัน ไม่ว่าจะเป็นราชวงศ์หรือสกุลใหญ่ในตระกูลต่างๆ ก็ตาม ในช่วงหลายชั่วอายุคนที่ผ่านมา หากบุตรหลานของตระกูลอวี้ออกมาโลดแล่น มักมีเพียงผู้เดียว แต่เมื่อครั้งที่ตระกูลอวี้ก่อตั้งขึ้นใหม่ การแข่งขันและการต่อต้านระหว่างพี่น้องนั้นดุเดือดดั่งหมาป่า เพื่อบรรลุเป้าหมาย ตราบใดที่ไม่ทำลายผลประโยชน์ของตระกูล และไม่รบกวนครอบครัวของฝ่ายตรงข้ามก็สามารถใช้วิธีการใดๆ ได้ แม้แต่การลงมือปลิดชีวิตฝ่ายตรงข้ามก็ตาม”
จ้าวอ๋องรู้สึกประหลาดใจ แต่กลับไม่เห็นว่ามันน่ากลัวมากนัก เพราะเรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นในตระกูลต่างๆ อยู่แล้ว เพื่อแย่งชิงทรัพยากรและการสืบทอดมรดก ต่อสู้กันจนเลือดตกยางออกก็มี เหมือนเช่นในราชวงศ์ของพวกเขา ที่การแย่งชิงตำแหน่งสูงสุดนั้นจะมีการเอ่ยถึงสายสัมพันธ์พ่อแม่พี่น้องอยู่หรือ
“ตระกูลอวี้ทำไปก็เพื่อชื่อเสียงในการช่วยเหลือฮ่องเต้ผู้ทรงคุณธรรมเท่านั้น ไม่มีความจงรักภักดีต่อคนใดคนหนึ่งเลยหรือ”
อวี้ลิ่งหลานหันมามอง แววตาคล้ายจะยิ้มทว่าไม่ยิ้ม
เจ้าก็คู่ควรจะได้รับการช่วยเหลือจากสองคนพี่น้องหรือ
จ้าวอ๋องเข้าใจความหมายของสายตานั้นทันที ใบหน้ารู้สึกร้อนผ่าวด้วยความอับอายจนโกรธเคือง แต่ไม่กล้าระเบิดโทสะออกมา เพียงแต่ทำหน้าบึ้งแล้วเอ่ย “ในความเห็นของท่าน อวี้ฉังคงมีความเป็นไปได้มากเพียงใดที่จะช่วยเหลือเจ้าเด็กเถื่อนผู้นั้นในการชิงบัลลังก์”
“เก้าในสิบส่วน”
จ้าวอ๋องรู้สึกอึดอัดอีกครั้ง มือทั้งสองกำหมัดแน่น
อวี้ฉังคง คนตาบอดผู้นี้ช่างบอดทั้งดวงตาและหัวใจด้วยหรือไม่
ก็ไม่ใช่ เพียงการสบตาครั้งก่อนนั้น ไม่เหมือนคนตาบอดเลย
“ตาของเขาไม่บอดแล้วหรือ”
“ได้พบกับผู้วิเศษ รักษาจนหาย” อวี้ลิ่งหลานเอ่ยอย่างเรียบเฉย “ถึงแม้จะรักษาไม่หาย ด้วยปัญญาและเล่ห์เหลี่ยมของเขา ก็มิใช่ที่ปรึกษาธรรมดาจะเทียบได้ เมื่อตามองเห็น สิ่งที่เขามองเห็นย่อมมีมากขึ้น ดังนั้น ฉีเชียนไม่อาจเก็บเอาไว้ได้”
จ้าวอ๋องสบถด่าผู้วิเศษผู้นั้นในใจอย่างรุนแรงว่าไยต้องมายุ่งเรื่องของผู้อื่น รักษาเขาไว้ทำไมกัน
“เขาช่างโชคดีจริงๆ” ใบหน้าของเขามืดครึ้มขณะมองไปยังทิศทางของจิ่วเสวียน “แต่อย่างไรเสีย มันจะสิ้นสุดเพียงเท่านี้แล้ว”
เดิมทีเขาไม่ได้สนใจฉีเชียน แต่บัดนี้หากอวี้ฉังคงให้ความสำคัญกับเขา บุรุษผู้นี้ต้องถูกกำจัด
จ้าวอ๋องมองด้วยสายตาเย็นเยียบ แฝงไว้ซึ่งเงาแห่งความดุดัน เขาสูดลมหายใจลึกก่อนจะเอ่ย “ท่านอาจารย์ยังคงยึดมั่นตามกฎบรรพชนที่ส่งเสริมการชิงชัยดั่งหมาป่าอยู่หรือไม่”
“ลูกหลานตระกูลอวี้ล้วนต้องเรียนรู้เพื่อสร้างความสำเร็จให้แก่ตนเอง ท่านอ๋องไม่จำเป็นต้องทดลองใจกระหม่อม ในเมื่อเลือกท่านอ๋องแล้ว ย่อมภักดีด้วยใจ” ยกเว้นแต่ท่านอ๋องจะไม่เชื่อฟังและรนหาที่ตาย
จ้าวอ๋องถอนหายใจเบาๆ อย่างโล่งอก
อวี้ลิ่งหลานเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ในเมื่อพี่ใหญ่มาแล้ว ข้าเองก็จำเป็นต้องไปคารวะตามธรรมเนียม ท่านอ๋อง กระหม่อมขออภัยที่ต้องเสียมารยาท”
“หรือว่า ข้าจะไปด้วย ข้ายังไม่เคยพบกับพี่ชายของท่านอย่างเป็นทางการ โดยเฉพาะยามนี้ที่เขาเป็นผู้นำของตระกูลอวี้ ปั๋วอินพาข้าไปพบเขาเถิดสักนิดได้หรือไม่”
อวี้ลิ่งหลานจ้องมองเขาอยู่ครู่หนึ่ง จนกระทั่งจ้าวอ๋องคิดว่าเขาคงไม่ตอบตกลง อวี้ลิ่งหลานจึงยิ้มบางๆ “หากท่านอ๋องประสงค์จะไปด้วย เช่นนั้นก็ไปด้วยกันเถิด”
………………..