คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1158 ไม่รู้จักประมาณตนเหมือนพี่สาวของเขา
ตอนที่ 1158 ไม่รู้จักประมาณตนเหมือนพี่สาวของเขา
………………..
ฉีเชียนรินชาให้อวี้ฉังคงด้วยตัวเอง เขายื่นถ้วยชาให้ด้วยมือสองข้าง ยิ้มบางๆ แล้วจึงเอ่ย “ฉังคงเดินทางมาไกล ลำบากแล้ว”
น้ำเสียงของเขาแฝงด้วยความเคารพและจริงใจ ทำให้ผู้ฟังรู้สึกอบอุ่นและพอใจ
อวี้ฉังคงรับชามา มองฉีเชียนก่อนเอ่ยขึ้น “นับแต่นี้ไป ขอให้ท่านอ๋องมีองครักษ์เงาติดตามเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า และต้องเลือกคนที่มีฝีมือดี อีกทั้งตัวท่านเองก็ต้องฝึกฝนยุทธ์ให้มากขึ้น เพราะการพึ่งพาผู้อื่นย่อมเป็นรอง ตนแข็งแกร่งคืออาวุธสำคัญที่สุดในการปกป้องชีวิต”
ฉีเชียนรู้สึกประหลาดใจ “เหตุใดฉังคงจึงระแวดระวังเช่นนี้ มีสิ่งใดไม่ชอบมาพากลหรือ”
ตั้งแต่เขาถูกฉินหลิวซีลากขึ้นเรือที่ชื่อว่า ‘กบฏ’ เขาก็เปลี่ยนจากความตื่นตระหนกในภายแรกมาเป็นความสงบนิ่งเมื่อพบผู้คนรอบกาย ทว่าการที่คนตระกูลอวี้ผู้เลือกช่วยเจ้านายเพียงหนึ่งเดียวปรากฏตัวขึ้นข้างกายเขาในฐานะที่ปรึกษา ทำให้เขารู้สึกราวกับได้รับโชคลาภ แม้ว่าทั้งสองจะรู้จักกันตั้งแต่วัยเยาว์ แต่เนื่องจากอวี้ฉังคงสูญเสียบิดามารดาและตาบอดทำให้เขามีนิสัยเย็นชา ความสัมพันธ์จึงเป็นเพียงการคบหาอย่างห่างเหิน เขาไม่เคยคาดคิดว่าจะมีวันที่อวี้ฉังคงจะมาอยู่ข้างเขาเพื่อช่วยเหลือ
แต่ความจริงก็คือ เขามาแล้ว
โดยเฉพาะเมื่ออวี้ฉังคงใช้กลยุทธ์อันชาญฉลาดในศึกปราบกบฏซิ่นหยาง ทำให้สงครามนั้นเสียหายน้อยและได้รับชัยชนะอย่างรวดเร็ว ฉีเชียนยิ่งเคารพนับถือเขามากขึ้น กระทั่งคำพูดของเขาก็มักไม่ถูกตั้งข้อสงสัย แม้ยังไม่ถึงขั้นเชื่อฟังอย่างปราศจากข้อแม้ก็ตาม
ตลอดเส้นทางกลับเมืองหลวง อวี้ฉังคงได้วิเคราะห์ถึงจุดแข็งและจุดอ่อนของเขา แต่ไม่ได้เอ่ยเตือนอย่างจริงจังเหมือนครั้งนี้
ครั้งนี้สิ่งที่เขาเตือนคือเรื่องความปลอดภัยของตัวเขาเอง
อวี้ฉังคงเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “การที่ข้าอยู่เคียงข้างท่านอ๋อง จะเป็นสัญญาณว่า ข้าอวี้ฉังคงต้องการช่วยเหลือท่านเพื่อขึ้นสู่บัลลังก์ ด้วยเหตุนี้ ท่านอ๋องจะกลายเป็นภัยคุกคามในสายตาของอ๋ององค์อื่น และภัยคุกคามนี้ ย่อมถูกกำจัดในยามที่ปีกยังไม่แข็งแกร่ง ไม่ปล่อยโอกาสให้ได้เติบโต”
เขายกถ้วยชาขึ้นจิบ มองฉีเชียนด้วยสายตาสงบ “หมายความว่า ตั้งแต่นี้ไป ท่านอ๋องจะอยู่ท่ามกลางพายุใหญ่ ไม่ว่าท่านจะต้องการช่วงชิงบัลลังก์หรือไม่ คนอื่นก็จะมองว่าท่านต้องการ”
ฉีเชียนสะท้านในใจ เขาเข้าใจความหมายของอวี้ฉังคงดี นั่นคือเขาจะต้องเผชิญกับการลอบสังหารและอุบัติเหตุทั้งหลาย ซึ่งเป็นเส้นทางที่เต็มไปด้วยขวากหนามและอุปสรรคอันยากลำบากในการแย่งชิงบัลลังก์
เมื่ออวี้ฉังคงเห็นสีหน้าของเขาก็ยิ้มพลางเอ่ยว่า “ท่านอ๋องกลัวแล้วหรือ”
ฉินหลิวซีได้รวบรวมกลุ่มชั่วคราวนี้ขึ้นมาเพื่อช่วยดันเขาไปสู่ตำแหน่ง ทุกคนล้วนทุ่มเทสุดความสามารถเพื่อสนับสนุนให้เขาได้ครอบครองอำนาจอันใหญ่หลวงนี้ซึ่งกำลังจะตกมาถึงปากของเขา เขารับมันไว้ และเมื่อได้ยินถึงอุปสรรคที่อาจเกิดขึ้นในภายภาคหน้า จะมาพูดว่ากลัวหรือ เช่นนั้นผู้คนที่ยืนอยู่บนเรือลำนี้จะไม่ผิดหวังหรือ
เขาไม่อาจทำลายความไว้วางใจที่ฉินหลิวซีมีต่อเขา และไม่อาจทำให้ผู้ที่อยู่บนเรือลำนี้รู้สึกผิดหวังได้
การที่เขาได้รับการแต่งตั้งเป็นอ๋อง แม้เพียงสร้างคุณงามความดีสองครั้งก็ได้รับการยกย่องเช่นนี้ เป็นเพราะโชคหรือเพราะได้รับความโปรดปรานหรือ
มิใช่เลย
เขารู้ดีว่าตำแหน่งนี้เป็นสิ่งที่เหล่าสหายบนเรือลำนี้ช่วยกันผลักดันให้เขา ไม่ได้มาจากการสร้างคุณงามความดีหรือความรู้สึกผิดในใจของฮ่องเต้ที่มีต่อบุตรนอกสมรสที่ถูกละทิ้ง
เป็นเหล่าผู้ช่วยที่อยู่บนเรือค่อยๆ สร้างฐานะของเขาให้มั่นคง และนี่คือจุดเริ่มต้นของการสร้างอำนาจ เมื่อได้เป็นอ๋องแล้ว เรื่องที่จะกระทำต่อไปย่อมราบรื่นขึ้น
ด้วยเหตุนี้เขาจึงปฏิบัติต่อผู้คนรอบกายด้วยความสุภาพและรู้สึกขอบคุณอยู่ในใจเสมอ
อวี้ฉังคงเมื่อเห็นเขาเข้าใจแล้วจึงเอ่ย “เมื่อท่านอ๋องทราบแล้วก็ดี อีกไม่นานจ้าวอ๋องและอวี้ลิ่งหลานจะมาที่นี่ ท่านควรรู้ว่าต้องทำเช่นไร”
ก่อนหน้านี้เขาได้พบกับอวี้ลิ่งหลานแล้ว อีกฝ่ายก็มองเห็นเขาแล้ว การที่ไม่เข้ามาทักทายย่อมไม่สมควร เพราะเขาเป็นทั้งพี่ชายและเป็นผู้นำตระกูลอวี้ การมาทักทายถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาและเป็นการแสดงมารยาทที่ควรกระทำ
และแน่นอนว่าเมื่อจ้าวอ๋องรู้จากอวี้ลิ่งหลานว่าฉีเชียนอยู่ที่นี่ เขาก็ต้องเข้ามาสอดส่องดูอย่างแน่นอน
เป็นเช่นนั้น เพียงเวลาเพียงสองถ้วยชา พลันมีผู้แจ้งมาว่าจ้าวอ๋องกับอวี้ลิ่งหลานมาขอเข้าพบ
ไม่นานอวี้ลิ่งหลานก็เดินเข้ามา ตรงไปยังอวี้ฉังคง คำนับและเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้มว่า “พี่ใหญ่ไม่ได้พบกันเสียนาน ไม่คิดว่าท่านก็มาเมืองหลวงเช่นกัน”
จ้าวอ๋องที่ตามมาเดินก้าวขึ้นมาหนึ่งก้าว ยกมือประสานคารวะด้วยรอยยิ้มอย่างเป็นมิตร “ข้าได้ยินชื่อเสียงของหัวหน้าตระกูลอวี้มานานแล้ว วันนี้ได้พบเห็นกับตา เป็นจริงดั่งคำล่ำลือ ไม่ธรรมดาเลย” เขาหันไปมองฉีเชียนที่ยืนอยู่ข้างๆ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่นึกเลยว่าฉีเชียนน้องข้าจะรู้จักกับหัวหน้าตระกูลอวี้ เจ้านี่ช่างซุกซ่อนได้มิดจริงๆ”
แม้เขาจะยิ้มอยู่ แต่รอยยิ้มกลับไปไม่ถึงดวงตา และคำพูดของเขาก็แฝงไปด้วยความหมายลึกซึ้งและคมคาย
ใบหน้าอันหล่อเหลาของจ้าวอ๋องบิดเบี้ยวเล็กน้อย ซึ่งนั่นเป็นอาการโกรธ เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่มีทั้งความเยาะเย้ยและตลกขบขัน “จริงหรือ เช่นนั้นเจ้าก็ต้องรักษาโอกาสนี้ให้ดี อย่าให้ผู้อาวุโสผิดหวังเล่า”
“แน่นอน”
จ้าวอ๋องหันไปมองอวี้ฉังคง เอ่ย “ไม่รู้ว่าท่านมาที่เมืองหลวงในครั้งนี้มีธุระใด ปั๋วอินเป็นที่ปรึกษาของข้า ท่านเป็นพี่ชายของเขา ทั้งมายังเมืองหลวง มิสู้มาพักที่จวนของข้า ข้าจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับท่านอย่างยิ่งใหญ่ เป็นอย่างไร”
อวี้ฉังคงยิ้มบางๆ ก่อนจะเอ่ย “ท่านอ๋องไม่ต้องทุ่มเทเพียงนั้น ข้าเพียงมาส่งศิษย์ของข้ากลับบ้าน จึงได้มาพบกับสหาย อีกทั้งมีที่พักแล้ว”
จ้าวอ๋องตกใจเล็กน้อย ศิษย์ ผู้ใดเป็นศิษย์ของเขากัน
เขาหันไปมองทางด้านหลังของอวี้ฉังคง มีชายหนุ่มรูปงามยืนอยู่ ใบหน้านี้ดูเหมือนจะคุ้นเคย เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
อวี้ลิ่นหลานหันไปมองฉินหมิงเยี่ยน เอ่ย “นี่คือน้องสามของพระชายาฉินหรือไม่ ข้าจำได้ว่าเขามีนามว่าฉินหมิงเยี่ยน”
ผู้ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษา ต้องมีข้อมูลผู้คนที่เกี่ยวข้องกับเจ้านายอย่างถ่องแท้ อย่างเช่นครอบครัวมารดาของพระชายาฉิน และผู้ที่ไม่อาจดึงมาเป็นพรรคพวกได้อย่างฉินหลิวซี
จ้าวอ๋องตาโตขึ้น อะไรนะ นี่คือคนของตระกูลฉินหรือ น้องภรรยาเขาหรือ
ไม่ถูกสิ หากเป็นน้องสาม เช่นนั้นก็คือลูกของบ้านใหญ่ตระกูลฉิน นั่นหมายความว่า นี่เป็นญาติผู้น้องของพระชายาฉิน น้องชายแท้ๆ ของเจ้าอาวาสฉินผู้เก่งกาจแห่งอารามชิงผิงผู้นั้น
น้องชายของเจ้าอาวาสฉินเป็นศิษย์ของอวี้ฉังคง และอวี้ฉังคงเองก็กำลังช่วยเหลือฉีเชียนในฐานะที่ปรึกษา หากมองจากสายสัมพันธ์ทางเครือญาติแล้ว ทั้งสองพี่น้องนี้ก็เป็นญาติของเขามาก่อน แต่ในความเป็นจริงกลับกลายเป็นคนที่มีสายสัมพันธ์กับฉีเชียนเสียมากกว่า
จ้าวอ๋องรู้สึกถึงความจริงที่เจ็บปวด ร่างกายเหมือนจะอ่อนแรงไปหมด
แต่เขาก็ยังยิ้มแย้มและเดินเข้าไปข้างหน้า จับมือฉินหมิงเยี่ยนด้วยความดีใจ เอ่ย “ข้าเคยได้ยินจากพี่สาวของเจ้าแล้วว่าน้องสามไปศึกษาข้างนอก ไม่คิดว่าจะไปร่ำเรียนกับสกุลอวี้ หลายปีมานี้นางเอาแต่บ่นคิดถึงเจ้า มาๆๆ กลับบ้านกับพี่เขย พี่สาวเจ้าคิดถึงเจ้าแล้ว”
ฉินหมิงเยี่ยนดึงมือออก ยกมือขึ้นประสานเอ่ย “ท่านอ๋อง ข้าพึ่งกลับจากการไปศึกษาเล่าเรียน ยังต้องกลับไปเยี่ยมบิดามารดาและญาติ ขออภัยที่ไม่สามารถร่วมเดินทางไปกับท่านได้ หลังจากนี้ข้าจะไปขอโทษพี่หมิงเย่ว์”
“ต้องเป็นเช่นนี้” จ้าวอ๋องแสดงสีหน้าหมองหม่น คิดในใจว่าเด็กคนนี้ไม่รู้จักประมาณตนเหมือนพี่สาวแท้ๆ ของเขาเสียจริง
เขามองไปที่ฉีเชียนที่ยิ้มอย่างมั่นใจ ยิ่งโมโหขึ้นไปอีก เรื่องอะไรสิ่งดีๆ จึงไปตกอยู่กับลูกนอกสมรสอย่างเจ้า
จ้าวอ๋องหันไปมองอวี้ฉังคง เอ่ยถามอย่างเสียดสี “ได้ยินปั๋วอินบอกว่าหัวหน้าตระกูลมีความรู้เลิศล้ำไม่ธรรมดา มองการณ์ไกล ไม่รู้ว่าท่านมองเรื่องตำแหน่งรัชทายาทว่างเปล่าว่าอย่างไร หากแต่งตั้ง ควรแต่งตั้งผู้ใด”
อวี้ลิ่นหลานขมวดคิ้ว
อวี้ฉังคงมองไปที่เขาเล็กน้อย สายตาของเขามีความละเอียดถี่ถ้วนและสืบเสาะ เจ้าเป็นที่ปรึกษามากี่ปี มาช่วยคนที่สมองมีแต่น้ำขุ่นโง่เขลาเช่นนี้น่ะนะ
………………..