คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1160 ตอนนี้ข้าทรงพลังจนสามารถสังหารเจ้าได้อีกครั้ง
- Home
- คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า
- ตอนที่ 1160 ตอนนี้ข้าทรงพลังจนสามารถสังหารเจ้าได้อีกครั้ง
ตอนที่ 1160 ตอนนี้ข้าทรงพลังจนสามารถสังหารเจ้าได้อีกครั้ง
………………..
ในห้องส่วนตัว อวี้ฉังคงเอ่ยเตือนฉีเชียน “จ้าวอ๋องผู้นี้ความอดทนต่ำ อาฆาตพยาบาท เป็นคนไม่ยอมแพ้ ยากจะยอมคนง่ายๆ คนเช่นนี้ไม่อาจประนีประนอมได้ แม้เขาจะโง่แต่อวี้ปั๋วอินที่อยู่ข้างเขาหลายปี ก็คงไม่ได้ไร้ความคิด คงสะสมความสามารถมาบ้าง ยังคงเอ่ยประโยคนั้น ข้างกายท่านไม่ควรห่างองครักษ์ อย่าประมาทในแผนการร้ายที่ท่านคิดว่าไม่มีความสำคัญก่อนหน้านี้ ทุกอย่างล้วนมีเบื้องหลัง เรื่องเล็กน้อยบางครั้งก็เป็นสิ่งที่ทำให้แพ้ชนะได้ สิ่งใหญ่ก็พังได้จากรอยแตกเล็กๆ เหมือนคันนาที่พังเพราะมด”
ฉีเชียนเอ่ย “ข้าเข้าใจ สายตาของเขาเมื่อครู่ราวกับจะกลืนกินข้าลงไป เขาให้ความสำคัญกับข้า ไม่แน่ใจควรเอ่ยได้ว่าเป็นเกียรติของข้าหรือไม่”
อวี้ฉังคงเอ่ย “ถ้าพวกเขารู้ว่าข้างหลังท่านมีผู้ใดบ้าง พวกเขาจะรวมตัวกันโจมตีท่านทันที”
ผู้อาวุโสคนสำคัญในราชสำนักล้วนอยู่ในเรือลำเดียวกับเขา ไม่แปลกที่จะทำให้ผู้อื่นอิจฉา แม้กระทั่งฝ่าบาทผู้ทรงอำนาจ หากได้ยินเรื่องนี้อาจรู้สึกเกรงกลัว อย่างไรคนเหล่านั้นก็ไม่ใช่คนที่เขาจะควบคุมได้
“คนแซ่อวี้เอ่ยถูก เจ้าสมควรตายจริงๆ แต่เจ้าต้องถ่อมตนสักนิด ระวังไม่ให้ตนลอยสูงเกินไป ให้พวกเขาเด็ดปีกเจ้าได้” เฟิงซิวปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าพวกเขาทันใด
หลายคนรู้สึกดีใจ มองเลยไปด้านหลังของเขาโดยสัญชาตญาณ ทว่าไม่เห็นคนผู้นั้น รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
“ไม่ต้องมองหาแล้ว นางไม่อยู่” เฟิงซิวเอ่ยอย่างเกียจคร้าน ปรายตามองคนเหล่านั้น เอ่ย “เสี่ยวซีเป็นคนละจากโลกภายนอกแล้ว คนธรรมดาเช่นพวกเจ้าไม่ควรเกี่ยวข้องกับนางมากเกินไป”
ฉินหมิงเยี่ยน เอ่ย “นางคือพี่สาวข้า”
“ตั้งแต่นางช่วยพวกเจ้ากลับมาจากซีเป่ยได้ หนี้ทุกอย่างก็ได้ชดใช้ไปหมดแล้ว นางตัดขาดจากตระกูลฉินแล้ว ดังนั้นพวกเจ้าอย่าไปข้องเกี่ยวกับนางอีกเลย เพราะจะทำให้นางต้องแบกรับภาระมากขึ้น” เฟิงซิวหันมามองเขาอย่างไม่แยแส “สิ่งเดียวที่ตระกูลฉินสามารถทำได้ นั่นก็คือตั้งป้ายอายุยืนให้นาง ทำให้นางเป็นสิ่งเคารพศรัทธาเท่านั้นเถิด”
ฉินหมิงเยี่ยนสีหน้าเปลี่ยนไปหลายครั้ง ดวงตาค่อยๆ แดงขึ้น
อวี้ฉังคง เอ่ย “นางต้องการความช่วยเหลือจากเราหรือ”
“พวกเจ้าช่วยไม่ได้ สิ่งที่พวกเจ้าทำได้คือรักษาความสงบในแผ่นดินนี้ อย่าให้มันวุ่นวายจนเกินไป” เฟิงซิวมองอวี้ฉังคงและฉีเชียน เอ่ย “เจ้า นับจากนี้ต้องระวังตัวแล้ว เรื่องความโชคดีและโชคร้ายเป็นของคู่กัน เจ้าได้สิ่งที่ดีมากมาย แต่ก็จะมีภัยมาในทางเดียวกัน ใจของมนุษย์นั้นน่ากลัว มีคนจำนวนมากที่พร้อมจะใช้ทุกวิธีเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ข้าสังเกตเห็นรอยดำบนหน้าผากเจ้า ในไม่ช้าเจ้าจะพบกับภัยเลือดตกยางออก อีกทั้งจุดสามีภรรยามืดลงบ้าง ระวังคนในครอบครัว”
ฉีเชียนสีหน้าพลันเปลี่ยน
อวี้ฉังคงฟังแล้วหลับตาลง สูดลมหายใจเข้าท้อง แล้วค่อยนำพลังไหลลงสู่ดวงตา จากนั้นเขาจึงหันไปมองฉีเชียน เห็นว่าบนร่างของเขามีพลังที่มีสีทองแดงและเทากระจายอยู่ นี่คงเป็นพลังอาถรรพ์ที่ฉินหลิวซีเคยเอ่ยถึงกระมัง
“อย่าใช้ตาดูสิ่งที่เจ้าไม่ควรมอง” เฟิงซิวปรายตามองอวี้ฉังคง เอ่ยเตือน “นอกเสียจากเจ้าจะไม่ต้องการดวงตาของเจ้าแล้ว ใช้เยอะไปจะตาบอด แม้แต่เสี่ยวซีเองยังไม่อาจช่วยเจ้าได้ เพราะเจ้ากำลังแอบมองโชคชะตา”
อวี้ฉังคงกัดริมฝีปากแล้วปิดตาลง ไม่กล้าสอดส่องต่อ เนิ่นนานค่อยเปิดตาขึ้นอีกครั้ง เอ่ย “ภัยเลือดตกยางออกนี้จะทำให้เสียชีวิตกระมัง หลีกเลี่ยงได้หรือไม่”
“บนโลกมีคำพูด ‘หนึ่งคนสำเร็จ ร่างหนึ่งต้องตาย’ การขึ้นสู่บัลลังก์เป็นทางที่เต็มไปด้วยเลือดและความเจ็บปวด การเสียชีวิตและการบาดเจ็บย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดูว่าผู้ใดจะตายบ้างเท่านั้นเอง” เฟิงซิวยกแขนขึ้นกอดอก เอ่ยอย่างเฉยชา “หลีกเลี่ยงได้ แต่ไม่ใช่สิ่งที่คนภายนอกควรเข้าไปยุ่งเกี่ยว เรื่องนี้ต้องอาศัยการเดินของพวกเจ้าเอง ถ้าคนภายนอกเข้าไปช่วยหลีกเลี่ยงก็เท่ากับขโมยโชคชะตาของผู้อื่นมาแก้ไขความโชคร้าย ใช้คาถา ไม่ใช่สิ่งที่สมควรนัก”
อวี้ฉังคง เอ่ย “ถ้าไม่ใช่เรื่องใหญ่ถึงชีวิตข้าก็ไม่แคร์หรอก ขอเพียงเขายังมีชีวิตก็พอ”
เอ่ยจบ เขาก็หันไปมองฉีเชียนเล็กน้อย
ฉีเชียน “…”
เฟิงซิวหันมามองเขา “เส้นทางกษัตริย์นี้ ต้องมีเลือดฝนพายุอย่างแน่นอน หากเจ้าคิดขลาดกลัวไม่คุ้มค่าเช่นนั้นก็รีบลงเรือ อย่าทำให้นางต้องลำบาก”
“ข้าไม่กลัว” ฉีเชียนตอบกลับทันที “ข้ารู้ดีว่าเส้นทางนี้ไม่ใช่ทางที่เต็มไปด้วยดอกไม้ ทว่าเต็มไปด้วยหนามทิ่มแทง หากข้าได้เลือกเดินทางนี้แล้ว ข้าก็จะเดินให้สุดทาง ถึงแม้ต้องตายก็ไม่กลัว”
“เช่นนั้นถ้าคนที่ตายคือลูกหลานของเจ้าเล่า เช่นภรรยาหรือบุตรของเจ้า”
ฉีเชียนกัดริมฝีปาก เอ่ย “ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ถือว่าเป็นโชคชะตา ทุกคนต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน เมื่อข้าเลือกเดินเส้นทางนี้ ก็คือการยอมรับสิ่งที่จะเกิดขึ้น ท่านไม่ต้องทดสอบข้า”
เฟิงซิวเอ่ย “นางได้ช่วยปูทางสู่การเป็นฮ่องเต้ให้เจ้าแล้ว ทำมามากพอแล้ว แต่นางไม่อาจคอยปกป้องเจ้าไปตลอด เมื่อช่วยเจ้าจนถึงบัลลังก์ได้แล้ว ที่เหลือต้องขึ้นอยู่กับความสามารถของเจ้าเอง”
อวี้ฉังคงลุกขึ้นยืน เอ่ยถามหนึ่งประโยค “เสี่ยวซี นางสบายดีหรือไม่”
ฉินหมิงเยี่ยนที่ดูเหมือนจะหมดหวังเงยหน้ามองไปทางเฟิงซิวด้วยท่าทางน่าสงสาร
เฟิงซิวเอ่ย “มีข้าอยู่ แน่นอนว่าสบายดี เจ้าไม่ต้องห่วง มีความคิดนี้ มิสู้ไปคิดว่าจะรีบพาเขาขึ้นสู่บังลังก์ได้อย่างไรเถิด”
อวี้ฉังคงสะอึกจนวาจาอย่างหาได้ยาก เงยหน้ามองเขา
สองหนุ่มรูปงามมองตากันเต็มไปด้วยประกายไฟ ความตึงเครียดลอยในอากาศไม่อาจปฏิเสธได้
เนิ่นนานอวี้ฉังคงดึงสายตากลับ พยักหน้าให้เขาเบาๆ เดินออกจากห้องส่วนตัวไปด้วยท่าทางเงียบขรึม
ฉีเชียนคารวะเฟิงซิว เอ่ย “หากเป็นไปได้ ช่วยส่งต่อคำพูดของข้า จะไม่ทำให้ผิดหวัง”
ฉินหมิงเยี่ยนหันกลับไปมองหลายครั้ง ใบหน้าไม่ยินยอม กระทั่งอวี้ฉังคงเรียก
เฟิงซิวหัวเราะในลำคอ บางคนก็น่าสนใจมากเกินไปจริงๆ
ในเทือกเขาคุนหลุน
ฉินหลิวซีเปิดตาขึ้นก็เห็นหน้าผีโผล่มาใกล้จนเกือบชนหน้า หมัดพุ่งออกไปโดยไม่แม้แต่จะคิด หน้าตาขี้เหร่จากไหนกัน
เฟ่ยไฉร้องเสียงหลง กรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ร่างกายอ่อนแรงไม่ไหว
ฉินหลิวซีมองมือของตนเอง รู้สึกประหลาดใจ ในหัวของนางมีคาถาและยันต์มากมายที่ไม่เคยเห็นมาก่อน รวมทั้งความคิดบางอย่างที่รอให้นางเรียนรู้และเข้าใจ
นางหันไปมองที่พระพุทธรูปดินสามองค์ที่ตั้งอยู่เหนือศีรษะตน คุกเข่าคารวะยิ่งใหญ่ จากนั้นหยิบธูปมาจุดบูชา
เฟ่ยไฉลอยเข้ามา เอ่ยอย่างอ่อนแรง “เจ้า ได้รับการถ่ายทอดแล้วจริงๆ หรือ”
“ตอนนี้ข้าแข็งแกร่งพอจะทำให้เจ้าตายได้อีกครั้ง เชื่อหรือไม่” ฉินหลิวซีเหลือบมองเขา
เฟ่ยไฉร้องไห้เสียงแหลม เอ่ย “ทุกคนต่างก็เป็นศิษย์ของสำนักชิงผิง มีการถ่ายทอดไยจึงไม่ถ่ายทอดให้ข้า หากข้าเองได้รับด้วย สำนักชิงผิงคงไม่ล่มสลายเช่นนี้”
“สำนักชิงผิงมีโชคชะตาของมัน” ฉินหลิวซีจุดธูปหอมให้เขาหนึ่งดอก เอ่ย “ที่นี่ไม่มีเรื่องของเจ้าแล้ว เจ้าปลับปรโลกไปเถิด ถ้าอยากเกิดใหม่ก็ไปเกิดใหม่ หรือไม่ก็เป็นทหารในปรโลกต่อไป กลับไปข้าจะเผาของถวายให้เจ้า”
“ข้าไม่อยากเกิดใหม่ ข้าจะอยู่ดูว่าเจ้าได้รับการถ่ายทอดไปแล้วจะทำอะไรได้ ถ้าเจ้าไม่อาจฟื้นฟูสำนักชิงผิงได้ เช่นนั้นถือว่าบรรพบุรุษของเราก็ไร้ประโยชน์…” เฟ่ยไฉเอ่ยไปครึ่งหนึ่ง รู้สึกถึงความคุกคาม เปลี่ยนคำพูดทันที “ข้าจะมาด่าเจ้าที่นี่แทนบรรพบุรุษทุกวัน”
เอ่ยจบ เขาก็กอดกลิ่นธูปแล้วหายไปอย่างรวดเร็ว
ฉินหลิวซีมองไปยังเถิงเจาและเจ้าโสมน้อยที่ต่างนั่งสมาธิในที่ของตน พวกเขากำลังเข้าฌาน นางจึงไม่ไปรบกวน เดินมายังที่ตรงกลางตรงหน้าหยวนสื่อเทียนจุน เอ่ยกับโพรงตรงนั้น “ออกมาเถิด”