คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1164 แทนกระดูกเปลี่ยนนิ้ว นางเป็นคนเด็ดเดี่ยว
- Home
- คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า
- ตอนที่ 1164 แทนกระดูกเปลี่ยนนิ้ว นางเป็นคนเด็ดเดี่ยว
ตอนที่ 1164 แทนกระดูกเปลี่ยนนิ้ว นางเป็นคนเด็ดเดี่ยว
………………..
ฉินหลิวซีหยิบของชิ้นหนึ่งจากกองสมบัติยุ่งเหยิงออกมา หยิบของทรงกลมที่มีดินเกาะอยู่ ดูคล้ายกระจกหรือเข็มทิศ นางปัดดินออกและใช้คาถาทำความสะอาด ของในมือพลันเผยให้เห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของมัน
นี่คือแท่นค่ายอาคมโบราณ สลักด้วยสัญลักษณ์ห้าธาตุห้าทิศ เมื่อหมุนปรับมุมแล้วให้แสงส่องลงไป จะเห็นภาพค่ายอาคมแปดทิศไท่จี๋ปรากฏขึ้นลางๆ
ฉินหลิวซีรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา นี่อาจเป็นค่ายอาคมสูงสุดของลัทธิเต๋า ค่ายอาคมห้าธาตุห้าทิศที่สามารถสร้างหลักแห่งความโกลาหลได้ใช่หรือไม่
นางพลิกดูแท่นค่ายอาคมโบราณนี้ซ้ำๆ พบว่าสัญลักษณ์บนแท่นค่ายอาคมถูกสลักด้วยจิตวิญญาณ ไม่ใช่ด้วยมีดหรือพู่กัน นี่คงเป็นแท่นค่ายอาคมที่ปรมาจารย์ท่านใดสร้างขึ้น
นางครุ่นคิด นางส่งพลังเจตจำนงแห่งเต๋าลงไปเล็กน้อย แท่นค่ายอาคมเปล่งแสงสีทองออกมาทันใด สัญลักษณ์บนแท่นค่ายอาคมขยับราวกับมีชีวิต ทำเอาพวกเจ้าโสมน้อยตกตะลึง
“ท่านอาจารย์ นี่คืออะไรหรือขอรับ” เถิงเจาเดินเข้ามา มองแท่นค่ายอาคมนั้นด้วยความสงสัย ท่าทางเคร่งขรึม เขาสัมผัสได้ถึงพลังอำนาจที่แผ่ซ่านออกมาจากแท่นค่ายอาคมโบราณนี้
ฉินหลิวซีเผยรอยยิ้มเต็มหน้า เอ่ย “พวกเราเจอของล้ำค่าแล้ว”
จี๊ดๆๆๆ
หนูทองคำเกาะอยู่บนไหล่ของเถิงเจา สองขาหน้ากดที่หน้าอกท่าทางภาคภูมิใจ นี่เป็นสิ่งที่มันขุดมาจากเขาลูกหนึ่ง ขุดโพลงจนไม่รู้ว่าขุดลงไปลึกเพียงใดแล้ว
“ในเมื่อเจ้าติดตามกับเจาเจาแล้ว ที่นี่ก็นับว่าเป็นบ้านของเจ้า ต่อไปถ้ามีของดีแบบนี้ เจ้าต้องเอามาที่อารามชิงผิงของเรานะ” ฉินหลิวซียื่นหยกก้อนหนึ่งไปตรงปากหนูทองคำอย่างใจกว้าง “เอาล่ะ กินซะ ถึงเจ้าจะกินหิน ก็ต้องกินหยกที่มีพลังวิญญาณเหล่านี้ อย่ากินอะไรก็ได้ ถึงจะเป็นหนูก็ต้องเป็นหนูที่มีรสนิยม”
หนูทองคำ ”…”
คนผู้นี้ช่างมองโลกในความเป็นจริงเสียจริง
ฉินหลิวซีมองแท่นค่ายอาคมด้วยความชื่นชมอย่างยิ่ง นางไม่โกรธสวรรค์ที่ไม่มีความเป็นคน ให้ศาสตราวุธมาไม่ให้จิตวิญญาณกระบี่มา ตอนนี้ส่งแท่นค่ายอาคมเช่นนี้มาให้นาง สิ่งนี้ราวกับปิดประตูทว่าเหลือหน้าต่างไว้หนึ่งบาน
ฟ้าไม่เคยปิดทางคนเสียทีเดียว
“ข้าจะปิดด่าน เจาเจาเจ้าเป็นเจ้าอาวาสน้อย จัดการธุระในอารามร่วมกันกับชิงหย่วน” นางเอ่ยจบ กอดแท่นค่ายอาคมเดินเข้าห้องลับ ทิ้งเหล่าเถิงเจาให้ยืนมองหน้ากันไปมา
เจ้าโสมน้อยเห็นฉินหลิวซีไม่อยู่ หันไปข่มขู่หนูทองคำ เอ่ย “ที่นี่คือถิ่นของข้า ต่อไปนี้ข้าคือพี่ใหญ่ของเจ้า”
หนูทองคำกอดหยกกลอกตาขึ้น กัดเคี้ยวไปหนึ่งคำ โสมพันปีน่ะหรือ เหอะๆ เด็กน้อย
…
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อฉินหลิวซีออกจากการปิดด่านฝึกฝน นางได้เข้าใจการถ่ายทอดที่ได้รับมาจากบรรพบุรุษซานชิงจนถ่องแท้แล้ว พอนางออกจากห้องลับก็ตรงไปยังแผ่นศิลาด้านภูเขา หยิบกระดูกพุทธะที่ถูกกดทับไว้ใต้แผ่นศิลานั้นออกมา จากนั้นก้าวขึ้นไปบนภูเขาสองก้าว พลันหายวับไปในความว่างเปล่า
ยามนี้คือฤดูใบไม้ร่วงปลายเดือนสิบ ต้นเฟิงบนเขาด้านหลังอารามชิงผิงแดงดั่งเปลวไฟ มีผู้คนเข้ามาชมต้นเฟิงแต่เช้า เมื่อเห็นภาพนี้เข้า ยกมือขึ้นมาขยี้ตาอย่างอดไม่ได้
“ผีหรือ”
“กลางวันแสกๆ อีกทั้งยังเป็นเขตของอาราม คงไม่เฮี้ยนเพียงนั้นกระมัง”
“เช่นนั้นคือเซียนหรือ”
“ไปเถิด ไม่ชมเฟิงแล้ว ไปจุดธูปที่วิหารใหญ่ดีกว่า”
และ ‘เซียน’ ฉินหลิวซี ได้มาถึงยังเทือกเขาเทียนซานที่ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งและหิมะ
ฟ่านคงที่นั่งขัดสมาธิอยู่หน้าอารามค่อยๆ ลืมตาขึ้น มองคนที่มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าในชั่วพริบตา เอ่ย “ท่านเจ้าอาวาสบรรลุธรรมขั้นสูงแล้ว ช่างมีความเมตตายิ่งนัก”
เขามองไปยังสิ่งที่อยู่ในมือนาง ดวงตาที่เปี่ยมด้วยความเมตตาบริสุทธิ์พลันเจือด้วยความร้อนรนเล็กน้อย รู้สึกใจไม่สงบ หลับตาลง พึมพำสวดมนต์บทหนึ่งเบาๆ พอลืมตาขึ้นอีกครั้ง ดวงตาก็กลับมาเรียบเฉย
ฉินหลิวซีเอ่ย “ข้าตั้งใจจะบุกเข้าไปในดินแดนไร้ขอบเขตนั่น ท่านอาจารย์ช่วยข้าได้หรือไม่”
“ท่านมีประสงค์เช่นไร”
ฟ่านคงประหลาดใจเล็กน้อย มองกระดูกพุทธะนั้น เอ่ย “ท่านต้องการใช้กระดูกพุทธะนี้หรือ”
“ใช่” ฉินหลิวซีเอ่ย “เข้าไปคุยข้างในกันเถิด”
นางก้าวเข้าไปในวัดเหมือนกับเป็นสถานที่ของตัวเอง ฟ่านคงสวดอามิตาพุทธหนึ่งคำ แล้วเดินตามเข้าไป
เพียงแต่เมื่อเห็นฉินหลิวซีวางมีดและของต่างๆ ไว้ พลันสงสัยว่านางจะทำอะไร
เขาเห็นนางกลืนโอสถเม็ดหนึ่ง แล้วมองดูกริชคมกริบเล่มนั้น ทันใดนั้นก็เหมือนมีแสงสว่างในใจ เขารีบจับมือนางที่กำลังถือกริชเอาไว้โดยไม่ต้องคิด
ฉินหลิวซีก้มลงมองมือเขา สายตาแปลกๆ มองไปที่ฟ่านคง พระสงฆ์อย่างเจ้าสัมผัสสตรีเสียแล้ว
ฟ่านคงปล่อยมือทันที สวดมนต์ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด “ท่านต้องการกลายเป็นเขา มิใช่ว่าจะนำกระดูกพุทธะผสานเข้ากับร่างกายตนเองใช่หรือไม่”
“ใช่”
ฟ่านคงมีช่วงเวลาหนึ่งที่ใจลอย “ความจริง ข้าเองก็สามารถเข้าไปในขอบเขตนั้นได้”
“ท่านไม่ไหว” ฉินหลิวซีส่ายศีรษะ เอ่ย “ภายในนั้นน่าจะมีการวางค่ายอาคมเอาไว้ ท่านไม่เข้าใจค่ายอาคมได้ลึกซึ้งเช่นข้า ข้าจำเป็นต้องเห็นทั้งหมด”
ฟ่านคงไม่ได้โกรธเมื่อถูกนางดูถูก เพียงมองไปยังกระดูกพุทธะนั้น เอ่ย “ก็ยังมีวิธีอื่นที่อาจใช้กระดูกพุทธะนี้ได้”
มีอยู่ แต่นางจำเป็นต้องใช้วิธีนี้เท่านั้น
ฉินหลิวซีมองกระดูกพุทธะ ดวงตาสื่อความหมายล้ำลึก เอ่ย “ข้ามีเหตุผลที่ต้องทำเช่นนี้เท่านั้น”
เมื่อเห็นว่านางตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ฟ่านคงจึงไม่ตักเตือนอีก เพียงแต่สวดมนต์หนึ่งบท
ฉินหลิวซีใช้พลังวิญญาณห่อหุ้มปลายนิ้วชี้มือซ้ายไว้ เสียงกระดูกหักเบาๆ ดัง “เปาะ” ตามมาด้วยการใช้มีดสั้นเฉือนผิวเนื้อ เผยให้เห็นกระดูกนิ้วของนางที่ถูกแยกออกมาอย่างสมบูรณ์
ฟ่านคงถามตัวเองว่าเขาได้บรรลุถึงขั้นสี่แล้ว ซึ่งสามารถอยู่สงบมั่นคงแม้ภูเขาไท่ซานจะถล่มอยู่เบื้องหน้า แต่เมื่อเห็นภาพนี้ คิ้วของเขายังอดกระตุกสองครั้งไม่ได้
เจ้าอาวาสอารามชิงผิงผู้นี้เด็ดเดี่ยวยิ่งนัก
ความเด็ดเดี่ยวของนางคือความโหดร้ายกับตนเอง ดูจากท่าทางที่ไร้การแสดงความเจ็บปวดออกมา ใครไม่รู้คงคิดว่านางกำลังแล่กระดูกหมูเสียด้วยซ้ำ
ในความเป็นจริง ฉินหลิวซีก็เจ็บอยู่ภายใน หากไม่ได้รับการสืบทอดจากเหล่าบรรพบุรุษซานชิงจนทำให้การบำเพ็ญของนางก้าวหน้า นางคงไม่กล้าทำเช่นนี้
การเปลี่ยนกระดูกนิ้วครั้งนี้ นางต้องใช้วิชา ไม่เช่นนั้นนางคงสลบไปแล้ว คงไม่สามารถคงท่าทางเยือกเย็นได้เช่นนี้
เมื่อเอากระดูกนิ้วตนเองออกมาอย่างสมบูรณ์แล้ว ฉินหลิวซีก็นำกระดูกนิ้วของซื่อหลัวมาต่อแทนทันที จากนั้นก็ร่ายคาถาสองบทติดกัน
ฟ่านคงมองเห็นกระดูกนั้นเชื่อมต่อกับข้อต่อโดยด้วยตัวมันเอง ปรับตำแหน่งตัวเองจนกระทั่งเข้ากันได้อย่างพอดี
วิชาสร้างเนื้อหนังใหม่ที่แท้จริงของเต๋า
ฉินหลิวซีหยิบเข็มและด้ายออกมา เย็บผิวเนื้อที่ถูกเปิดออกอย่างคล่องแคล่วด้วยมือเดียว เมื่อเย็บเข็มสุดท้ายเสร็จ นางก็ร่ายคาถาอีกครั้ง พลังแห่งเต๋าไหลสู่ปลายนิ้วที่เย็บเรียบร้อยแล้ว
เลือดเริ่มไหลเวียนในเส้นเลือดอีกครั้ง หล่อเลี้ยงกระดูกที่ต่อใหม่นั้น
พลังแห่งความมุ่งมั่นอันรุนแรงและเศษเสี้ยวความทรงจำโบราณทะลักเข้ามาในจิตของนาง
ฉินหลิวซีนั่งขัดสมาธิ มือทั้งตวัดร่ายคาถาซับซ้อน พลังแห่งเต๋าอันยิ่งใหญ่ปล่อยออกมาจากร่างของนาง แก่นวิญญาณดูดซับความทรงจำเหล่านั้น
ฟ่านคงถอยออกไปหลายก้าว นั่งลงตรงข้ามกับนาง หัตถ์พระพุทธเจ้าพลิกกลับ รูปเคารพปรากฏอยู่ด้านหลังเขา มองมนุษย์โลกด้วยสายตาเปี่ยมเมตตา
ห่างออกไปพันลี้ ซื่อหลัวลืมตาขึ้นด้วยความประหลาดใจและแปลกใจ เมื่อกำลังคิดจะตามรอยกระดูกนั้น พลันพบว่ามันหายวับไปในทันใด
เขาชะงักไปครู่หนึ่ง ทว่าเลิกคิ้วยกยิ้ม เจ้าเด็กน้อยมีพัฒนาการแล้ว
………………..