คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1165 กระดูกกบฏต่อไป เปิดเผยชาติกำเนิดของเอ้อฝู
- Home
- คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า
- ตอนที่ 1165 กระดูกกบฏต่อไป เปิดเผยชาติกำเนิดของเอ้อฝู
ตอนที่ 1165 กระดูกกบฏต่อไป เปิดเผยชาติกำเนิดของเอ้อฝู
………………..
กระดูกนิ้วที่เดิมไม่ใช่ของตนเองเชื่อมเข้ากับร่างกาย รวมเป็นหนึ่งเดียวกับเลือดเนื้อของตน พลังมหาศาลเริ่มปั่นป่วนภายใน โหมกระหน่ำไปทั่ว รุนแรงบ้าคลั่ง จนทำให้จิตใจของฉินหลิวซีเต็มไปด้วยความดุร้าย
ทว่านางไม่ได้พยายามบังคับกดข่มความบ้าคลั่งนี้ไว้ แต่ปล่อยให้พลังนั้นโหมกระหน่ำไปทั่วร่าง นางกัดฟันแน่น สงบนิ่งดุจขุนเขา
การจะเป็นเขาไม่ใช่เพียงแค่เอ่ย แต่นางต้องใช้พลังนี้ให้ได้ ต้องควบคุมมัน จึงจะบรรลุวัตถุประสงค์ที่ตนตั้งไว้ได้
แต่ก็มีความเสี่ยงอยู่อย่าง เพราะนางอาจกลายเป็นเหมือนผู้ที่เคยใช้กระดูกพุทธะ หรือพวกภูตผีที่เคยใช้มา ที่เกิดความบ้าคลั่งและขบถ พยายามทำลายฟ้าทลายดิน เช่นเดียวกับกระดูกนิ้วนี้ เริ่มจากที่คุณหนูตระกูลผู้ตรวจการเซียวตกหลุมรักฝูเซิง นักแสดงผู้นั้น
หลังจากที่ฝูเซิงตายไป ด้วยความบังเอิญทำให้นางได้ครอบครองกระดูกพุทธะชิ้นนี้ พลังปีศาจเพิ่มพูนมหาศาล ทำให้ตนเองในเวลานั้นเกือบต้องประสบภัยอยู่เหมือนกันมิใช่หรือ
จะเห็นได้ว่าพลังของกระดูกพุทธะนี้ทรงพลังแต่ก็ชั่วร้าย ขบถและดื้อดึง
เมื่อเทียบกับคำว่า “กระดูกพุทธะ” ฉินหลิวซีชอบเรียกมันว่า “กระดูกกบฏ” มากกว่า
ตอนนี้ดีแล้ว กระดูกทั้งสองร้อยหกชิ้นในร่างของนางสองร้อยห้าชิ้นเป็นกระดูกกบฏ และเมื่อเพิ่มกระดูกนิ้วของซื่อหลัวเข้าไป ก็ครบสมบูรณ์
ความบ้าคลั่งของกระดูกกบฏทั้งหมดเหมือนอยากจะพุ่งทะลุฟ้าขึ้นไป
ฟ่านคงมองดูใบหน้าที่เหยเกของนาง ใจเขาเต้นระรัว ริมฝีปากขยับเล็กน้อย เสียงสวดมนต์เบาๆ แต่ชวนให้รู้สึกสงบเงียบดังขึ้นมา ราวกับสายลมอ่อนในฤดูใบไม้ผลิที่ปัดเป่าสายฝนชุ่มชื่น ขับกล่อมคลายความกระวนกระวายใจไปจนหมดสิ้น เบื้องหลังของเขา ภาพอันศักดิ์สิทธิ์ฉายแสงสีทองปกคลุมนางไว้
คิ้วของฉินหลิวซีขยับเล็กน้อย นางค่อยๆ ผ่อนคลายลง ปลายนิ้วสะกิดเบาๆ พลางสงบใจลงอย่างช้าๆ
เสียงสวดมนต์ยังคงดังแผ่วๆ อย่างต่อเนื่อง
บนภูเขาเทียน หิมะเริ่มโปรยปรายลงมาช้าๆ
ฉินหลิวซีลืมตาขึ้น สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาคือใบหน้าที่สงบนิ่งของฟ่านคง ทว่าดวงตาที่ใสกระจ่างคู่นั้นจ้องมองนางโดยไม่กะพริบ คล้ายมีแววตรวจสอบอยู่บ้าง
ฉินหลิวซีมองดูเขาในท่าทางเหมือนเผชิญหน้าศัตรู พลันเก็บพลังนั้นกลับ นางลูบนิ้วชี้ข้างซ้ายของตนก่อนเอ่ย “ดูเหมือนกระดูกนิ้วนี้จะเข้ากับข้าได้ดีทีเดียว ถึงขนาดหลอกท่านได้ ข้าแสดงสมจริงหรือไม่”
ฟ่านคงมองไปยังนิ้วชี้ของนาง เอ่ย “กระดูกบาปแทรกซึมเข้าร่างท่าน เดิมก็มีความเสี่ยงสูง ท่านต้องมีจิตใจที่มั่นคงเท่านั้นถึงจะรับมือได้”
ซื่อหลัวก็เป็นปัญหาใหญ่พอแล้ว แต่คนตรงหน้านี้ นิสัยขบถของนางไม่แพ้เขาเลย หากนางถูกเอ้อฝูกลืนกินจนกลายเป็นหนึ่งเดียวกับมัน เกรงว่าสวรรค์คงถูกทำลาย
นี่คือสิ่งที่ผู้ใดก็ไม่อยากเห็น
ฉินหลิวซีเอ่ย “หากจิตใจของข้าพังลง หวังว่าใต้ซือฟ่านคงจะนำทางข้ากลับสู่เส้นทางที่ถูกต้องด้วย”
ฟ่านคงมองดูเส้นรอบนิ้วของนางที่เหมือนตัวตะขาบ พลางนึกถึงตอนที่นางหักกระดูกออกมาเพื่อเปลี่ยนกระดูกนิ้วโดยไม่แสดงอาการเจ็บปวดใดๆ เอ่ย “พระพุทธเจ้าทรงเมตตา ท่านเจ้าอาวาสมีธรรมสูงส่ง พระพุทธเจ้าจะทรงคุ้มครองท่านแน่นอน”
“หากพระพุทธเจ้ามีฤทธานุภาพจริง ก็ขอให้ทรงคุ้มครองให้โลกนี้สงบสุข เราจะได้วางใจได้บ้าง”
“เมื่อครู่ข้าเห็นใจท่านไม่สงบนัก นั่นเป็นเพราะมันหรือ ผ่านมาหลายพันปีแล้ว อิทธิฤทธิ์ของมันยังคงรุนแรงถึงเพียงนี้หรือ” ฟ่านคงขมวดคิ้วถาม
“เขาในตอนนั้นต้องการขึ้นสู่สวรรค์ เพื่อบรรลุความสมบูรณ์แบบ หากไม่ใช่เพราะตั้งใจใช้ชีวิตมนุษย์บูชายัญสวรรค์ เพื่อขึ้นเป็นผู้ปกครองแห่งฟากฟ้า และสร้างกฎแห่งสวรรค์ขึ้นใหม่ อีกทั้งยังถูกฝ่ายพุทธและเต๋าร่วมกันหยุดยั้งและปราบปราม เขาก็อาจประสบความสำเร็จได้แล้ว ส่วนร่างกายของเขา…” ฉินหลิวซีถอนหายใจเล็กน้อย บีบกระดูกนิ้วที่แทรกอยู่ในร่างกาย เอ่ย “ที่จริงแล้ว เขาคือการกลับชาติมาเกิดของสาวกพระพุทธเจ้า ร่างกายของเขาจึงมีกระดูกพุทธะศักดิ์สิทธิ์ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด เป็นร่างพระพุทธ”
ดวงตาของฟ่านคงหรี่ลงเล็กน้อย เขาเอ่ย “หากเป็นร่างพระพุทธตั้งแต่เกิด เหตุใดจึงกลายเป็นมารไปได้”
บุคคลเช่นนั้น บรรลุธรรมบุญบารมีครบถ้วน ไยจึงไม่อาจกลายเป็นพระพุทธแท้ได้
“หากเขาเป็นเพียงการกลับชาติมาเกิดของสาวกพระพุทธเจ้าอย่างเดียวก็ไม่เป็นไร ทว่าชาติที่แล้วของเขาเป็นผู้ฝึกตนทั้งพุทธและเต๋า และเขาก็เกิดมาพร้อมกับเคราะห์สังหารชีวิตตั้งแต่กำเนิด”
ฟ่านคงนิ่งงันไป
ฉินหลิวซียิ้มมุมปากเล็กน้อย เอ่ยต่อ “เขาเกิดมาพร้อมกับมารดาที่คลอดยาก กว่าจะออกมาจากครรภ์ได้ มารดาของเขาก็ใกล้จะสิ้นลมหายใจ เขาอยู่รอดด้วยการดื่มเลือดของมารดา”
“เขาเรียกหมาป่าเข้ามา กัดเปิดเส้นเลือดของมารดา” เด็กที่กลับชาติมาเกิดคือสาวกพระพุทธเจ้าที่ฝึกฝนทั้งทางพุทธและเต๋า โดยธรรมชาติเขามีจิตวิญญาณคล้ายปีศาจ การล่อหมาป่ามาไม่ใช่เรื่องยาก
ฉินหลิวซีเล่าต่อ “มีคนมาพบเห็นเหตุการณ์นั้น เขาในตอนนั้นเหมือนปีศาจร้ายที่ดื่มเลือดของมารดา หมาป่าเฝ้าอยู่ข้างๆ เพื่อคุ้มกัน ดังนั้นคนจึงเรียกเขาว่า ‘ปีศาจร้ายที่เกิดมาไม่เป็นมงคล’”
ฟ่านคงรู้สึกสะท้านใจ “แล้วหลังจากนั้นเล่า”
“หลังจากนั้น เขาถูกทิ้งกลับเข้าไปในป่า โดยมีหมาป่าคุ้มครอง จนกระทั่งเจอพระชรารูปหนึ่งนามว่าผูเซิง ได้บวชในพุทธศาสนาและได้รับชื่อว่า ‘ซื่อหลัว’ กลายเป็นนักบวชผู้ทนทุกข์”
ฟ่านคงนิ่งเงียบ แม้เขาถือว่าผ่านการอ่านคัมภีร์พุทธศาสนามามากมาย แต่ก็ไม่เคยรู้จักหรือพบเห็นบันทึกเกี่ยวกับซื่อหลัวมากนัก นอกเสียจากที่บันทึกเกี่ยวกับการที่เขาถูกพุทธและเต๋าร่วมกันกำจัดเท่านั้น ส่วนประวัติความเป็นมาของเขานั้นแทบไม่มีการบันทึกไว้เลย
ไม่คิดว่าประวัติของเขาจะเป็นเช่นนี้
ฉินหลิวซีเองก็ไม่คาดคิด ความทรงจำเหล่านี้ไม่สมบูรณ์นัก มันมีแค่บางช่วงบางตอน แต่เรื่องที่เขาเรียกหมาป่าเพื่อช่วยเหลือตนเองทำให้นางรู้สึกตกใจ
ไม่ว่าความตั้งใจแรกของเขาจะเป็นเช่นไร การเรียกหมาป่ามาสังหารมารดาตนเองนั้นถือเป็นบาปมหันต์
ไม่แปลกใจเลยที่กระดูกของเขาจะเต็มไปด้วยความชั่วร้ายและปลุกความโกรธเกรี้ยว เขาเป็นคนที่แบกความผิดบาปจากการสังหารมารดาตนเอง และในใจก็มีแต่ความคิดชั่วร้าย
ฉินหลิวซีสูดลมหายใจลึก เอ่ย “ไม่ว่าเขาจะเกิดมาเป็นอย่างไร หรือทำเรื่องใดไว้ในอดีต เป้าหมายของเขาคือการเป็นผู้ครองโลกด้วยความตั้งใจ อย่างไรก็ตามแต่การใช้ชีวิตของมนุษย์บูชาเพื่อเปลี่ยนแปลงฟ้าดิน นั่นก็คือศัตรูของมนุษย์ทั้งปวง”
ฟ่านคงพยักหน้า เอ่ย “แล้วเขตแดนไร้ขอบเขตแห่งนั้นจะไปเมื่อไร ท่านพึ่งต่อกระดูกนิ้วนี้เข้าไป ควรพักผ่อนสักหน่อยหรือไม่”
ฉินหลิวซีส่ายศีรษะ “เพื่อไม่ให้เสียเวลา ควรไปให้เร็ว พรุ่งนี้เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นข้าจะไป”
“ถ้าตกลงสู่ขุมนรกอเวจีที่ไร้ขอบเขต เช่นนั้นท่าน…”
“ข้าก็จะปีนขึ้นมาจากขุมนรกนั้น” ฉินหลิวซีตอบรับคำของเขา คลี่ยิ้มอย่างมั่นใจ
ซื่อหลัวสามารถปีนออกมาจากส่วนลึกที่สุดของมหาอเวจีนรกได้ แล้วไยนางจะทำไม่ได้
นางไม่มีวันยอมแพ้
“แทนที่จะกลัวการตกลงไปในนรกอเวจีที่ไร้ขอบเขต สู้กังวลเรื่องที่เขาจะพบว่าข้ากำลังจะบุกเขตแดนดีกว่า ถ้าเขาพบเข้า เราก็ต้องเผชิญหน้าต่อสู้กันสักตั้ง และโอกาสชนะคงไม่มากนัก”
ฟ่านคงสีหน้าเคร่งขรึมหนักใจ เอ่ย “ไม่น่าเป็นไปได้ ข้าเคยดูดาวยามค่ำคืน ดาวฮ่องเต้แม้จะหม่นมัว โชคชะตาของบ้านเมืองจะลดลง แต่ก็ยังไม่ถึงเวลาที่ดาวฮ่องเต้ตกลงมา ดังนั้นแม้ว่าจะวุ่นวาย แต่โลกนี้ยังควบคุมได้ โอกาสของเขายังมาไม่ถึง”
ฉินหลิวซีเอ่ย “นั่นเพราะเขายังไม่ได้เริ่มการใหญ่นั้น ดังนั้นก่อนที่มันจะเกิดขึ้น เขาจะหยุดทุกคนที่พยายามขัดขวางเขา รวมถึงข้า หากมีใครขัดแผนของเขา แม้ว่าโอกาสจะยังมาไม่ถึง เขาก็จะสู้สุดกำลัง”
“ไม่ใช่หรอก” ฟ่านคงส่ายศีรษะทันที นางจะเป็นกุญแจสำคัญต่อความสำเร็จหรือความล้มเหลวของเขา
“แผนไม่อาจล้ำหน้าสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป การจะบอกว่าใช่หรือไม่นั้นยากจะบอกได้ เราควรเตรียมตัวให้พร้อมไว้จะดีกว่า โบราณว่าไว้ ‘อย่าสู้โดยไม่เตรียมตัว’” ฉินหลิวซีเอ่ยยิ้มๆ ก้าวไปข้างหน้า เอ่ย “ดังนั้น เรื่องมาถึงตอนนี้ ท่านดูเถิดว่าข้าได้ต่อกระดูกแห่งบาปนี้เข้ามาแล้ว ฟ่านคงท่านก็อย่าปิดบังอะไรอีกเลย เพื่อโลกนี้ เพื่อทุกสรรพชีวิต ขอให้มีเมตตาสักครั้ง เอาสมบัติล้ำค่าของวัดเก่าแก่ที่เชิงเขาเทียนออกมาเตรียมไว้เถิด”
ฟ่านคง “…”