คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1168 ทั้งเจ็บใจจนแทบระเบิด
ตอนที่ 1168 ทั้งเจ็บใจจนแทบระเบิด
………………..
เมื่อวิญญาณกลับสู่ร่าง ทันทีที่ฉินหลิวซีเปิดตาขึ้นนางก็หยิบกระดาษและพู่กันขึ้นมาวาดแผนผังของค่ายอาคมในหัวอย่างรวดเร็ว จมดิ่งอยู่ในความทรงจำของตนเอง
เฟิงซิวและฟ่านคงมองหน้าสบตากัน เดินไปด้านข้าง เอ่ย “ท่านเฝ้าไปก่อน เดี๋ยวข้ากลับมา”ก่อนที่เฟิงซิวจะเดินไปยังมุมหนึ่งเอ่ย “นางคอยเฝ้าระวังอยู่ที่นี่ ข้าจะไปครู่เดียว”
ฟ่านคงพยักหน้ารับเบาๆ
ฉินหลิวซีไม่ทันสังเกตว่าเฟิงซิวได้จากไปแล้ว นางมุ่งมั่นพยายามวาดภาพที่เห็นให้สมบูรณ์ที่สุดเท่าที่จะทำได้ ขณะที่ฟ่านคงนั่งมองอยู่ใกล้ๆ คิ้วของเขาขมวดเข้าหากัน
กาลหมุนเวียนดั่งดาราเคลื่อน
ฉินหลิวซีตวัดพู่กันลงลายเส้นสุดท้าย พลังวิญญาณของนางเหือดแห้ง รู้สึกหวานลิ้นที่ลำคอ เลือดซึมจากมุมปาก ก่อนร่างจะอ่อนยวบล้มลงบนพื้น
ฟ่านคงหยิบภาพวาดขึ้นมา สีหน้าของเขาเคร่งเครียดขึ้น
แม้เขาจะไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องค่ายอาคมเท่าฉินหลิวซี ทว่าก็หาใช่ว่าไร้ความรู้เสียทีเดียว ด้วยตัวเขาเป็นนักบวชบำเพ็ญเจริญสติและในวัดก็ยังมีตำราที่บันทึกพิธีกรรมเซ่นสรวงและแผนภาพค่ายอาคม ดังนั้นเขาย่อมเคยอ่านผ่านตามาบ้าง
ทว่าภาพที่ฉินหลิวซีวาดออกมานี้ แม้ใช้เพียงพู่กัน ทว่านางกลับหลอมรวมพลังวิญญาณลงไปในภาพ
อธิบายให้เข้าใจง่าย ผู้ที่หลงใหลการหลอมศาสตราวุธ มักจะทุ่มเททั้งชีวิตและจิตวิญญาณ กระทั่งยอมสละวิญญาณตนเองบูชาสวรรค์ กลายเป็นจิตวิญญาณของศาสตราวุธฉันใด การวาดภาพก็ฉันนั้น เมื่อบุคคลหนึ่งทุ่มเททั้งชีวิตจิตใจและวิญญาณลงในภาพจนเสร็จสิ้น ภาพนั้นก็จะก่อเกิดพลังวิญญาณ ดูราวกับมีชีวิตจริงๆ
ภาพที่ฉินหลิวซีวาดนี้เต็มไปด้วยจิตวิญญาณ นางทุ่มเทจนหมดพลังวิญญาณ ผลคือมันมีพลัง ภาพมีชีวิตแล้ว
สิ่งที่ฟ่านคงเห็นในภาพ คือยอดไม้ที่เคลื่อนไหว ภูเขาเขียวชอุ่ม และเสาหยกขาวที่เปี่ยมล้นด้วยโชคชะตา กระทั่งสัตว์เทพบนเสาหินยังดูมีชีวิตชีวา
สิ่งที่เขาเห็น ราวกับสิ่งที่ฉินหลิวซีเคยเห็นกับตาตัวเอง ล้วนถูกรวบรวมอยู่ในภาพนี้
เมื่อมองดูแผนภาพค่ายอาคมนี้ เห็นชัดว่ามันเป็นพิธีกรรมบูชาสวรรค์หรือไม่
เขาจ้องมองเสาเหล่านั้น เห็นอักขระอักษรพุทธผสานกับอักขระลัทธิเต๋า กลายเป็นเสาธงค้ำฟ้า หากแตะต้องมันก็ราวกับแทงฟ้าทลายสวรรค์ ไม่แปลกที่ทิศใต้มีภัย
ซื่อหลัว…
ฟ่านคงหลับตาลงเล็กน้อย เปล่งเสียงสวดมนตร์บทหนึ่งเบาๆ
“แล้วจิ้งจอกตัวนั้นเล่า สีหน้าท่านไม่ดีนัก ทำไมหรือ หรือเกี่ยวกับที่พวกท่านหยุดข้าไม่ให้ทำลายสิ่งนี้ก่อนหน้านี้” ฉินหลิวซีลืมตาโดยไม่รู้ว่านั่งตัวตรงตั้งแต่เมื่อใด พลางชี้ไปยังเสานั้น
ฟ่านคงเอ่ย “หากนี่คือค่ายอาคมบูชาสวรรค์เสานี้ก็คือเสาธงค้ำฟ้า หากทำลายมันโดยพลการ จะเกิดฟ้าถล่มดินทลาย”
ดวงตาของฉินหลิวซีหดแคบลงเล็กน้อย นางฉุกคิดถึงบางสิ่งขึ้นมาในทันที ก่อนเอ่ยว่า “เกิดภัยพิบัติที่ใด”
คลื่นมิติแห่งความว่างเปล่ากระเพื่อมไหวเล็กน้อย
เฟิงซิวก้าวออกมาด้วยสีหน้าเย็นชา เอ่ย “พื้นที่จากหลิ่งหนานไปทางทิศตะวันตก เกิดฝนตกหนักฉับพลัน ภูเขาถล่ม น้ำป่าไหลหลาก นาข้าวกว่าหมื่นหมู่ถูกน้ำท่วม บ้านเรือนถูกพัดพาเสียหาย อีกทั้งฤดูกาลนี้เป็นช่วงเก็บเกี่ยวสำคัญ ชาวบ้านที่กำลังเกี่ยวข้าวในนาไม่อาจหลบหนีทัน ถูกกระแสน้ำพัดหายไป ฤดูเก็บเกี่ยวครั้งนี้ คงไม่มีเมล็ดข้าวเหลือให้เก็บเกี่ยวแล้ว”
สีหน้าของฉินหลิวซีทะมึนลง นางเอ่ยเสียงหนัก “นี่ก็ล่วงเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงปลายเดือนสิบ อีกไม่นานก็จะเข้าฤดูหนาว เหตุใดจึงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นได้…”
ทุกคนต่างหันไปมองภาพค่ายอาคมบูชาสวรรค์ที่ดูราวกับมีชีวิต
“แผนภาพนี้ ได้สร้างเสร็จสมบูรณ์ไปกว่าครึ่งแล้ว” ฟ่านคงถอนหายใจเบาๆ “เสาธงค้ำฟ้าเหล่านี้ มิอาจแตะต้องโดยประมาท หาไม่ ผลลัพธ์จะยากเกินจินตนาการ”
“ที่เจ้าหมายความคือ ข้าต้องการทำลายมัน ดังนั้นจึงเกิดปรากฏการณ์ฟ้าผ่าเช่นนี้ขึ้นหรือ” ฉินหลิวซีรู้สึกราวกับกลืนแมลงวัน นางทั้งรังเกียจและอึดอัด
ฟ่านคงมิได้ตอบตรงๆ เพียง เอ่ย “เส้นพลังวิญญาณสูญสิ้น พลังวิญญาณจางหาย ชะตาแคว้นย่อมเสื่อมถอย และเมื่อชะตาแคว้นลดต่ำ โลกก็จะไม่สงบสุข ภัยพิบัติ ภัยมนุษย์ ย่อมเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ไม่อาจโทษว่าเป็นเพราะท่านแตะต้องเสาธงค้ำฟ้านี้ทั้งหมด”
ฉินหลิวซีหัวเราะเย็นชา “ฟ้าดินนี่ช่างไม่เป็นธรรม เหตุใดไม่ผ่าซื่อหลัวให้ตายเสียเลย ในเมื่อทั้งหมดนี้ล้วนเป็นฝีมือของเขา เขาไม่ต้องรับผลกรรมใดๆ แต่กลับเป็นพวกเราที่ต้องทนทุกข์ ชาวบ้านต้องเดือดร้อน ฟ้าดินไม่ยุติธรรม”
ไฟโทสะของนางลุกโชนถึงขีดสุด
เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกเผาไปด้วย เขาจึงเลือกจะนิ่งเฉย
ฉินหลิวซีระบายความขุ่นข้องในใจออกแล้วจึงเอ่ยกับฟ่านคง “ไม่ว่าเจ้าซื่อหลัวจะทำค่ายนี้สำเร็จไปเท่าใด ตอนนี้สร้างเสร็จไปกว่าครึ่ง หากเราต้องการทำลายมันก็คงเป็นไปไม่ได้ สำหรับพวกเรา สิ่งนี้กลายเป็นบ่วงพันธนาการแล้ว ข้าสังเกตเห็นว่าเสานี้มีอักษรคาถา ท่านลองศึกษาดู ดูว่ามีวิธีแก้ไขหรือไม่ หากมีวิธีแก้ไขได้บ้างก็น่าจะลองดู ไม่เช่นนั้นพวกเราก็ต้องระวังตลอดว่าจะทำให้ไหหยกแตกเพราะไล่จับหนู เรื่องนี้ไม่อาจเล่นได้จริงๆ”
ตอนนี้แค่คิดจะทำลายเสานี้ยังเกิดภัยพิบัติขนาดนี้ หากปล่อยให้มันสร้างค่ายใหญ่นี้จนเสร็จสมบูรณ์ จะไม่ยิ่งลำบากขึ้นไปอีกหรือ
ฉินหลิวซีจ้องมองค่ายอาคมเล็กที่ไม่มีดวงตาค่าย เอ่ย “ค่ายเล็กพวกนี้ไม่มีดวงตาค่ายอาคม ดูแปลกเกินไป”
“หรือดวงตาค่ายอาคมจะอยู่ข้างนอก” เฟิงซิวเอ่ย
ทั้งสองต่างหันไปมองเขา รู้อะไรก็เอ่ยออกมาให้หมดสิ
เฟิงซิวบิดปอยผมของตัวเอง เอ่ย “สมมติว่าภาพนี้คือค่ายอาคมเส้นทางเทพเจ้าของเขา ในค่ายมีแท่นบูชา หากเป็นดังที่ฟ่านคงว่านี่เป็นค่ายบูชาสวรรค์ เช่นนั้นใช้สิ่งใดบูชาสวรรค์เล่า ข้าคิดว่าค่ายที่มันสร้างในแดนลับเมื่อปีก่อน อาจเผยเงื่อนงำให้เราเห็นบ้าง และนั่นอาจเป็นทางแก้ที่เราต้องการ”
“ใช้ชีวิตชาวเมืองบูชาสวรรค์” ฉินหลิวซีเอ่ย “เมื่อครั้งที่เขาปรารถนาขึ้นสวรรค์เป็นเทพเจ้า กลายเป็นผู้ปกครอง กำหนดกฎเกณฑ์แห่งฟ้าดิน เขาจึงใช้ชีวิตชาวเมืองเป็นเครื่องสังเวย นั่นจึงเกิดสงครามระหว่างพุทธและเต๋าเพื่อต่อต้านการกระทำของเขาในครั้งนั้น”
ในศึกครั้งนั้น ซื่อหลัวพ่ายแพ้ ถูกกักขังไว้ในมหาอเวจีนรก ต้องทนทรมานผ่านกาลเวลายาวนาน
แม้ซื่อหลัวจะพ่ายแพ้และถูกจองจำในมหาอเวจีนรก แต่เขาก็ไม่ได้พ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิง เพราะเขาทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงของกาลเวลาได้ อีกทั้งยังแอบกระทำการลับๆ ใต้สายตาของเหล่าเทพแห่งปรโลก และในที่สุดเขาก็สามารถหลบหนีออกมาได้
กลับกัน พุทธและเต๋า ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย แม้จะมีศิษย์ลูกหลานสืบทอดมา แต่เพราะพลังวิญญาณในโลกขาดแคลน การบำเพ็ญเพียรจึงไม่อาจเทียบเท่ากับในอดีต บางคนฝึกฝนมานับร้อยปีแต่ก็ยังไม่อาจเหินสู่สวรรค์ สุดท้ายจึงนั่งสิ้นใจด้วยความขมขื่น นี่คือความต่าง
และในตอนนี้ ซื่อหลัวก็แค่ฉวยโอกาสจากยุคสมัยที่พลังวิญญาณเหือดหาย ผู้ฝึกบำเพ็ญแห่งพุทธและเต๋าในยุคนี้อ่อนแอกว่าสมัยที่เขาพยายามเป็นเทพเจ้าในครั้งแรก ดังนั้นเขาจึงกล้ากระทำการซ้ำรอยเดิม
ชายผู้นี้หยิ่งทะนง และออกจะบิดเบี้ยวหลงตัวเอง เขามั่นใจว่าด้วยพลังฝีมือของผู้ฝึกบำเพ็ญในยุคนี้ รวมทั้งพลังวิญญาณแห่งฟ้าดินในปัจจุบัน ไม่มีใครสามารถขัดขวางเขาได้ และไม่มีสิ่งใดจะหยุดยั้งเขาได้
เมื่อเข้าใจเรื่องนี้อย่างถ่องแท้ ฉินหลิวซีรู้สึกขุ่นเคืองยิ่งนัก
ทั้งอึดอัด ทั้งเจ็บใจจนแทบระเบิด
“หากใช้ชีวิตชาวเมืองเป็นเครื่องสังเวย เช่นนั้นค่ายเล็กเหล่านี้ก็คือสิ่งที่ใช้บูชาสวรรค์ ส่วนเครื่องสังเวยก็คือดวงวิญญาณของชาวเมือง และหากต้องการดวงวิญญาณจำนวนมาก ไม่มีสิ่งใดรวดเร็วไปกว่าภัยธรรมชาติและภัยมนุษย์ ค่ายอาคมเล็กเหล่านี้ จุดศูนย์กลางค่ายคงอยู่ภายนอก พวกเราที่แตะต้องเสานี้ ย่อมกระตุ้นให้จุดศูนย์กลางค่ายทำงาน อีกทั้งเขาแทบไม่ต้องแบกรับผลกรรมหนักใดๆ” เฟิงซิวเอ่ย “แผนการช่างลึกล้ำจริงๆ”
“เช่นนั้นดวงตาค่ายคือสิ่งใด” ฉินหลิวซีขมวดคิ้ว
เฟิงซิวส่ายศีรษะ หากเขารู้ ก็คงไม่มายืนพูดจาไร้สาระแบบนี้ แต่จะออกไปค้นหามันทันที
ฟ่านคงจ้องมองตัวอักษรคาถาในภาพค่าย สมองปั่นป่วน ทันใดนั้นภาพหนึ่งก็ปรากฏในจิตของเขา ดวงตาทั้งสองเจ็บปวดรุนแรง เลือดซึมออกจากหางตา เขากระอักเลือดสดออกมา ร่างเซถลาลงไปข้างหนึ่ง เอ่ยเสียงสั่น “คือหินสยบวิญญาณพิทักษ์สุสาน[1]”
[1] หินสยบวิญญาณพิทักษ์สุสาน หมายถึงรูปสลักสัตว์หินที่ใช้เป็นวัตถุพิธีหรือเครื่องรางในสุสาน มีหน้าที่ปกป้องสุสานจากสิ่งไม่ดี เป็นสัญลักษณ์ของการปกปักษ์รักษาและขับไล่สิ่งชั่วร้ายออกไป