คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1171 ทำลายดวงตาค่ายอาคมรูปสลักสัตว์หิน
ตอนที่ 1171 ทำลายดวงตาค่ายอาคมรูปสลักสัตว์หิน
………………..
เจียงเหวินหลิวได้ยินลูกน้องรายงานเกี่ยวกับกระบวนการที่ชาวบ้านใช้ในการระบายน้ำหลังน้ำท่วม จากนั้นเขามองไปยังฉินหลิวซีที่อยู่ตรงข้าม สายตาของเขาเปลี่ยนไปเป็นแววตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชมและนับถือในทันที
ไม่ต้องสงสัยเลย เทพเซียนผู้นั้นก็คือนาง เป็นนางที่สามารถหยุดยั้งน้ำท่วมมหาศาลนี้ได้ หลายปีที่ไม่ได้เจอกัน นางมีวิชาอาคมที่เก่งกล้าขึ้นมาก ถึงขั้นบรรลุระดับกึ่งเซียนแล้วหรือ
ฉินหลิวซีมุมปากกระตุกเล็กน้อย เอ่ย “เจ้าไม่ต้องมองข้าด้วยสายตาเช่นนั้นหรอก”
สายตาของคนในหนานซานมีทั้งความนับถือและความเคารพอย่างชัดเจน เหมือนสายตาของลูกที่มองผู้อาวุโสในครอบครัว ทำให้นางรู้สึกเหมือนตนเป็นมารดา ไม่สิ เป็นพ่อหรือ
นางไม่อยากรับบทบาทนี้นะ
“น้ำป่าครั้งนี้มารวดเร็วและรุนแรง ฝนตกลงมาเหมือนจะไม่หยุดจากฟ้า ทำให้เกิดน้ำท่วม แต่เพียงสองวันก็ถูกท่านทำให้น้ำลดได้ ช่างน่าอัศจรรย์ เหมือนเรื่องเล่าในตำนาน ท่านได้ยินหรือไม่ว่าชาวบ้านในตำบลหนานซานต่างเอ่ยกันว่าจะสร้างศาลเจ้าให้ท่าน ไม่ต้องเอ่ยถึงพวกเขาเลย แม้แต่ข้าเองที่เป็นขุนนางยังอยากสร้างป้ายบูชาชีวิตยืนยาวให้ท่าน ข้าไม่ปิดบัง ข้าเพิ่งเข้ารับตำแหน่งในเมืองนี้ และกำลังตรวจตราหมู่บ้านต่างๆ ทั่วเมือง แต่ตำบลหนานซานก็เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้น หากจัดการไม่ดี อาจกลายเป็นจุดด่างพร้อยในประวัติการทำงานของข้า”
สวรรค์รู้ เมื่อเขาได้ยินข่าวว่าฝนตกหนักฉับพลันในตำบลหนานซาน จนเกิดน้ำป่าและดินโคลนถล่ม รวมถึงภัยพิบัติต่างๆ ที่ตามมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก เขามึนงงทำอะไรไม่ถูก
ปีนี้ภัยพิบัติทางธรรมชาติหลายแห่งเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เขารู้ดีว่า ที่เมืองตูฝั่งนี้มีขุนนางที่กดขี่เอารัดเอาเปรียบชาวบ้านเมื่อครั้งเกิดภัยพิบัติจากพายุหิมะเมื่อปีที่แล้ว ข้าราชการที่ทำหน้าที่ไม่ดีถูกสอบสวนจนกระทั่งถูกถอดตำแหน่ง ซึ่งเขาที่ทำหน้าที่เป็นข้าราชการที่เมืองเสฉวนมาหลายปี จึงได้รับการแต่งตั้งให้มาประจำการที่เมืองตู
พอเขามาถึงที่นี้และกำลังตรวจสอบการเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงของแต่ละหมู่บ้าน ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่ตำบลหนานซาน
เดือนสิบเดือนแห่งการเก็บเกี่ยวแล้วแท้ๆ ต่อให้มีฝน ก็เป็นเพียงฝนปรอยๆ ไหนเลยจะคาดคิดว่าฝนจะตกหนักมากจนเกิดน้ำท่วม
เรื่องนี้แทบจะเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เป็นลางไม่ดีนัก
เขาร้อนรนแทบไหม้ สั่งให้ม้าเร็วรีบกลับมาเตรียมการอพยพประชาชนและจัดการความช่วยเหลือ ตนเองก็ทิ้งรถม้า ควบม้ากลับมาเตรียมจัดการในภาพรวม อย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องใหญ่ที่เกิดขึ้นกะทันหัน หากสามารถแก้ไขได้ จะเป็นผลงานที่ดี แต่หากไม่สำเร็จ เขาก็ต้องเผชิญกับการถูกตำหนิและถูกปลดตำแหน่ง
เขามาที่อำเภอเมืองตูเพื่อต้องการสร้างผลงาน สั่งสมประสบการณ์การทำงาน แต่ไม่ได้มาที่นี่เพื่อจะสูญเสียตำแหน่ง ดังนั้นเขาจึงร้อนใจ
เมื่อมาถึงที่ตำบลหนานซาน สถานการณ์กลับพลิกผัน น้ำท่วมหายไปอย่างรวดเร็ว ราวกับเรื่องล้อเล่น
จิตใจของเจียงเหวินหลิวเหมือนนั่งรถไฟเหาะตีลังกา ขึ้นลงอย่างรวดเร็ว เขารู้สึกตื่นเต้นจนไม่รู้จะเอ่ยอย่างไร น้ำท่วมที่ลดลงไปนี้ เกิดจากอาคมของฉินหลิวซี
นางเป็นดั่งบิดามารดาผู้ให้กำเนิดเขาอีกครั้ง เป็นบุคคลสำคัญในชีวิต
ฉินหลิวซีเอ่ย “น้ำท่วมลดลงไปแล้ว แต่การช่วยเหลือและปลอบขวัญประชาชนหลังจากภัยพิบัติ ยังคงต้องการการจัดการอย่างเร่งด่วน ดังนั้นอย่าชมข้าเลย ธุระของท่านเองก็ยังมีอีกมาก นอกจากนี้ เดิมทีต้องใช้เวลามากกว่านี้ แต่เนื่องจากท่านเป็นเจ้าเมืองของอำเภอเมืองตู ท่านคงคุ้นเคยกับพื้นที่บริเวณนี้ดี ถึงแม้ว่าท่านจะไม่คุ้นเคยก็คงต้องตรวจสอบจากบันทึกของทางการได้ว่าที่ไหนมีสุสานใหญ่ หรือมีสุสานของใครที่มีรูปสัตว์สลักหินเฝ้าสุสานอยู่บ้าง”
เจียงเหวินหลิวรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เอ่ย “ท่านเจ้าอาวาสมาเพื่อตามหาในเมืองตูหรือ”
ฉินหลิวซีพยักหน้า คิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะตัดสินใจไม่บอกเขาว่าภัยพิบัติจากน้ำท่วมที่เกิดขึ้นอาจเกี่ยวข้องกับรูปสัตว์สลักหินเฝ้าสุสานนั้น
เจียงเหวินหลิวซึ่งมาจากตระกูลมีฐานะ ย่อมรู้ดีว่ารูปสัตว์สลักหินเฝ้าสุสานสุสานนั้นไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนสามารถมีได้ รูปสัตว์สลักหินเฝ้าสุสานต้องมีการแกะสลักอย่างประณีต และถ้าต้องการให้มันมีพลังมากขึ้น ก็ต้องให้ผู้มีความสามารถในการทำพิธีเปิดพลัง สิ่งเหล่านี้ต้องใช้เงินจำนวนมาก ถามว่าชาวเมืองธรรมดาจะใช้สิ่งของเหล่านี้ได้อย่างไร ได้ฝังศพเรียบง่ายอย่างมีเกียรติก็ถือว่าไม่เลวแล้ว
ดังนั้นหากต้องการตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งนี้ก็สามารถทำได้ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่บันทึกสิ่งเหล่านี้ไว้ในบันทึกประจำเมือง โดยเฉพาะเรื่องของการฝังศพที่เกี่ยวข้องกับการจัดการหลังความตาย
เจียงเหวินหลิวเองก็บอกเรื่องนี้กับฉินหลิวซีอย่างชัดเจน
ฉินหลิวซีเข้าใจดีว่าคนที่มีฐานะและตำแหน่งสูงมักจะให้ความสำคัญกับที่ฝังศพของตนอย่างมาก และมักจะไม่เอ่ยถึงรายละเอียดให้ผู้ใดรู้ ทั้งยังคิดวิธีปิดบัง มิฉะนั้นจะถูกขุดโดยโจรขุดสุสาน
เจียงเหวินหลิวเห็นเช่นนั้น จึงสั่งให้เจ้าหน้าที่อาลักษณ์อู๋ของอำเภอเมืองตูพาฉินหลิวซีไปค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับสุสานที่มีรูปสัตว์สลักหินเฝ้าสุสาน อาลักษณ์อู๋เป็นคนท้องถิ่นของอำเภอเมืองตู ดังนั้นถามเขาค่อนข้างเหมาะสม
“ข้าจะไปถามข้อมูลกับภูติปีศาจในบริเวณนี้สักหน่อย”เฟิงซิวเอ่ยกับฉินหลิวซี
ฉินหลิวซีพยักหน้า แยกไปทำงานคนละส่วน ผลลัพธ์ที่ได้จะดีกว่าการรวมกันทำงานที่เดียว
อาลักษณ์อู๋มองเฟิงซิวที่เดินจากไป กลืนน้ำลายอย่างอดไม่ได้ เมื่อครู่เขาไม่ได้ฟังผิดกระมัง ชายผู้งดงามกว่าสตรีผู้นั้น ชายที่ทำให้คนไม่กล้าสบตาตรงๆ บอกว่าจะไปถามกับภูติปีศาจอย่างนั้นหรือ
ฉินหลิวซีเห็นอาลักษณ์อู๋มองด้วยสายตาตกใจ จึงยิ้มพลางเอ่ย “อาลักษณ์อู๋ทำงานหนักและสะสมผลงานมากมาย ดูเหมือนว่าจะได้รับความไว้วางใจจากชาวบ้านไม่น้อย”
อาลักษณ์อู๋รีบเอ่ยด้วยความเกรงใจ “ท่านเซียนเอ่ยเกินไปแล้ว ทุกอย่างเป็นเพราะท่านเจ้าเมืองให้การสนับสนุนพวกเราชาวบ้าน”
“ขอเพียงอาลักษณ์อู๋ไม่ทิ้งใจในการช่วยชาวบ้านก็จะสะสมบุญกุศลได้มาก ลูกหลานตระกูลอู๋ก็จะได้รับการคุ้มครองจากบุญที่ท่านสะสม และท่านเองก็จะมีชีวิตยืนยาวในวัยชรา” ฉินหลิวซีเอ่ย “ถึงแม้จะรักลูกคนเล็กเพียงใด ก็ไม่ควรตามใจจนเกินไป ต้องรู้ไว้ว่าการตามใจลูกเหมือนกับการทำร้ายลูก”
อาลักษณ์อู๋ชะงักเมื่อได้ฟังคำแนะนำ ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความยินดี รีบแกะถุงเล็กๆ จากเอวยื่นให้ฉินหลิวซีสองมือ “ขอบคุณท่านเซียนที่ให้คำแนะนำ”
ฉินหลิวซีรับกระเป๋าแล้วหยิบเหรียญทองออกมาจากกระเป๋า คืนกระเป๋านั้นกลับไป เอ่ย “บริจาคให้กับผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากภัยพิบัติ มันจะเป็นบุญของท่าน”
อาลักษณ์อู๋ส่งเสียง โอ้ ออกมา คิดในใจว่าต้องกลับไปเพิ่มจำนวนสักหน่อย
หลังจากคำแนะนำแล้ว พูดคุยกันอีกครั้ง จึงสบายๆ ขึ้นมาบ้าง ฉินหลิวซีถามอาลักษณ์อู๋เกี่ยวกับตระกูลใหญ่ในอำเภอเมืองตู ว่าสุสานของใครมีรูปสัตว์สลักหินเฝ้าสุสานบ้าง
อาลักษณ์อู๋ที่ดูแลเรื่องทะเบียนบ้านของอำเภอเมืองตูก็พอจะรู้ข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลสำคัญในเมืองนี้ เมื่อถามไปเขาก็เริ่มเล่าได้อย่างคล่องแคล่ว แต่เมื่อเอ่ยถึงเรื่องรูปสัตว์สลักหินเฝ้าสุสานกลับไม่รู้มากนัก
“พอจะรู้ตำแหน่งของบางแห่ง แต่ไม่ทราบรายละเอียดเท่านัก หนึ่งเพราะไม่รู้เรื่องฮวงจุ้ยพวกนี้เท่าใดนัก สองน่ะหรือ เพราะเจ้าของบ้านก็เก็บความลับ” อาลักษณ์อู๋ครุ่นคิดแล้วจึงเอ่ย “ข้ารู้เพียงว่าช่วงสิบปีมานี้ ในเมืองตูมีคหบดีตระกูลจูที่เคยครอบครองรูปสัตว์สลักหินเฝ้าสุสานแต่ก็ถูกดินถล่มฝังไว้จากเหตุการณ์โคลนถล่ม นอกจากนี้ ตระกูลเจียงซึ่งบรรพบุรุษเคยดำรงตำแหน่งขุนนางขั้นสี่ก็มีรูปสัตว์สลักหินเฝ้าสุสานอยู่ที่หลุมศพของขุนนางผู้นั้นเช่นกัน”
“รู้หรือไม่ว่าเป็นตัวอะไร”
“ได้ยินมาว่าเป็น ซื่อปู๋เซี่ยง[1]“
ซื่อปู๋เซี่ยง นั่นคือสัตว์ในตำนาน สัตว์ทรงของเหวินชางตี้จวิน การที่ขุนนางนำสัตว์นี้มาเป็นผู้เฝ้าสุสาน หวังจะให้โชคลาภแห่งเหวินชางเพิ่มพูนขึ้นกระมัง
เมื่อมาถึงที่ว่าการอำเภอ อาลักษณ์อู๋สั่งให้เจ้าหน้าที่ชราผู้ดูแลเอกสารบันทึกประวัติของอำเภอไปนำสมุดบันทึกของอำเภอมาเปิดตรวจสอบ ฉินหลิวซีเหลือบมองชายชราแวบหนึ่ง เอ่ยถามขึ้นมาหนึ่งประโยค “ผู้อาวุโสก็เป็นคนท้องถิ่น รู้หรือไม่ว่าสุสานตระกูลใดมีรูปสลักรูปสลักสัตว์หินเฝ้าสุสานเป็นเซี่ย”
ชายชราส่ายศีรษะอย่างจริงใจ
ฉินหลิวซีจึงจำต้องค้นหาในบันทึก อาลักษณ์อู๋เอ่ย “หากเป็นรูปสลักสัตว์หินเฝ้าสุสาน ย่อมต้องผ่านการแกะสลักจึงจะกลายเป็นรูปลักษณ์เช่นนั้นได้ เมืองเมืองตูของเราเองก็มีช่างแกะสลักที่สืบทอดต่อรุ่นสู่รุ่น หากไปถามพวกเขา อาจพอรู้บ้างหรือไม่”
“เช่นนั้นลำบากอาลักษณ์อู๋เรียกพวกเขามาได้หรือไม่” ฉินหลิวซีเอ่ย
อาลักษณ์อู๋รีบจัดการทันที
ฉินหลิวซีพลิกเปิดบันทึกประวัติเมืองอย่างรวดเร็ว แม้แต่ภูมิประเทศฝั่งเขาหนานซานเองก็ดู แต่ก็ไม่เห็นมีสิ่งใด มีเพียงบันทึกเหตุการณ์ภัยพิบัติครั้งใหญ่หลายครั้ง เนื่องจากอำเภอเมืองตูเป็นพื้นที่ภูเขา เคยเผชิญเหตุน้ำป่าและโคลนถล่มหลายต่อหลายครั้ง ยังพัดพาเอาสุสานไปด้วยไม่น้อย
โดยเฉพาะทางฝั่งตะวันตกของหนานซาน ในช่วงสามสิบปีที่ผ่านมา ประสบภัยน้ำป่าและโคลนถล่มไม่น้อยกว่าสี่ครั้ง ส่งผลให้หลุมศพในพื้นที่นั้นกระจัดกระจาย ระหว่างที่ภัยพิบัติผ่านมา บางครอบครัวที่ฉลาดก็ตัดสินใจย้ายหลุมศพของบรรพบุรุษลงมา แต่สำหรับครอบครัวที่ไม่ได้ย้ายก็จำต้องไหว้บรรพบุรุษจากเชิงเขาอย่างห่างไกลแทน
ไม่นานนัก อาลักษณ์อู๋ก็พาช่างแกะสลักมาสามคน ทุกคนล้วนเป็นช่างฝีมือที่สืบทอดศิลปะแกะสลักจากรุ่นสู่รุ่น ทั้งหยกและไม้ล้วนแกะสลักได้ทั้งสิ้น
ฉินหลิวซีไม่อ้อมค้อม เอ่ยถามตรงไปตรงมาว่า “พวกท่านเคยแกะสลักรูปสลักสัตว์หินเฝ้าสุสานหรือไม่ โดยเฉพาะสัตว์ที่เป็นสัตว์ในตำนานที่มีเขาเดียวหรือเซี่ย”
ช่างแกะสลักชราใบหน้าท่าทางหม่นหมองแซ่สือเอ่ย “ถ้าเป็นสิ่งแกะสลักยุคบรรพบุรุษนับได้หรือไม่”
“แน่นอน”
“บิดาของข้าครั้งหนึ่งเคยแกะสลักให้ตระกูลจั่วแห่งหมู่บ้านเหยาฮวาทางใต้ของหนานซาน เพื่อเฝ้าสุสานของแม่ทัพจั่ว” ช่างแซ่สือเอ่ย
สีหน้าของอาลักษณ์อู๋เปลี่ยนไปเล็กน้อย ตระกูลจั่วนี้เขาเองก็เคยได้ยินมาก่อน ว่าเป็นอดีตโจรภูเขาที่ภายหลังได้รับราชการโดยทางราชสำนักให้เป็นแม่ทัพ แต่ตระกูลจั่วมีลูกหลานน้อย อีกทั้งยังมีคนทำลายทรัพย์สินของตระกูลจนหมดสิ้น สุสานของแม่ทัพจั่วที่อยู่ทางตะวันตกของหนานซานก็เคยถูกน้ำป่าท่วม และในยามคนตระกูลจั่วหมดสิ้นทรัพย์สินไปนานแล้ว จึงไม่มีใครเหลียวแลสุสานอีก สุสานนั้นจึงทรุดโทรมจนแทบไม่มีใครทราบว่ามันยังคงอยู่หรือไม่ เพราะเคยผ่านภัยพิบัติมาหลายครั้ง
เมื่อได้เบาะแสแล้ว นางจึงไม่รั้งรออีก ถามตำแหน่งโดยละเอียดจนแน่ชัด ก่อนจะปฏิเสธคำขอของอาลักษณ์อู๋ที่อาสาจะติดตามไปด้วย แล้วมุ่งหน้าไปยังสถานที่นั้นด้วยตัวเอง
ก่อนจากไป นางหยิบเครื่องรางแคล้วคลาดมาหนึ่งชิ้นส่งให้แก่ช่างแกะสลักชราแซ่สือ เอ่ย “ให้หลานสาวตัวน้อยของท่านพกติดตัวไว้ นางจะค่อยๆ ดีขึ้นเอง”
ช่างแกะสลักสือตกตะลึง อาลักษณ์อู๋จึงเร่งให้เขารับไว้พลางเอ่ย “ยังไม่รีบขอบคุณท่านเซียนอีก ท่านผู้นี้คือเจ้าอาวาสแห่งอารามชิงผิงเมืองหลี หนิงโจว วิชาอาคมสูงส่ง และหนานซานมีน้ำท่วม ก็เป็นนางที่ทำให้น้ำลดลง”
ช่างแกะหินรับมา เงยหน้าขึ้นกำลังจะเอ่ยขอบคุณ ฉินหลิวซีได้หายตัวไปแล้ว
ผู้คนตกใจจนแทบเข่าทรุดลงไป
ช่างแกะสลักสือนิ่งงัน รีบหมุนตัวรุดกลับบ้านทันที
ครอบครัวของเขาไม่มีใครเหลืออยู่แล้ว นอกจากหลานสาวตัวน้อยที่อาศัยอยู่ด้วยกัน แต่หลานสาวของหนานซานสติปัญญาไม่ปกติ ผู้คนต่างเรียกนางว่า “เด็กโง่” เมื่อได้ยินคำพูดของฉินหลิวซี เขาจึงสงสัยว่าหลานสาวของเขาจะกลับมาฉลาดได้อย่างนั้นหรือ
หรือบางที หลานสาวของเขาอาจได้พบกับผู้มีพระคุณแล้ว
บริเวณทิศตะวันตกของหนานซาน ฉินหลิวซีได้พบกับเฟิงซิวที่ได้รับข้อความจากนางให้มาสมทบ ที่ข้างกายของเขามีงูหลามตัวหนึ่งที่มีขนาดเท่าท่อนแขนของบุรุษ อีกฝ่ายเห็นฉินหลิวซี รีบเลื้อยเข้ามาใกล้ หมอบลงกับพื้น งู้โขกศีรษะกับพื้นสามครั้ง เพื่อเป็นการคารวะ
ฉินหลิวซีมองไปยังเกล็ดสีดำมันวาวบนตัวมัน เอ่ยถามเฟิงซิว “เจ้าเองก็ได้เบาะแสแล้วหรือ”
เฟิงซิวเอ่ย “มันบอกว่าเดิมทีบริเวณทิศตะวันตกของหนานซานมีสุสานขนาดใหญ่ มีรูปสลักสัตว์หินเฝ้าสุสานรูปร่างเป็นเซี่ยเฝ้าอยู่ มันเคยผ่านไปยังสถานที่แห่งนั้นแต่ถูกขับไล่ออกมา ทว่าหลังจากผ่านภัยน้ำหลากหลายครั้งก็ไม่แน่ใจว่าสุสานนั้นยังคงอยู่หรือไม่”
“หากเป็นเช่นนั้นก็คงจะเป็นสุสานของแม่ทัพจั่วแล้ว ในเมื่อฟ่านคงมองเห็น แสดงว่าสุสานยังคงอยู่ นำทางไปเถิด”
งูหลามดำรีบเลื้อยนำทางทันที มันเร่งความเร็วไปยังสถานที่ในความทรงจำของมันอย่างไม่รั้งรอ ไม่นึกหวาดกลัวว่าฉินหลิวซีและเฟิงซิวจะตามมาไม่ทัน
ล้อเล่นสิ คนด้านหลังทั้งสองนี้ คนหนึ่งเป็นราชาปีศาจ อีกคนคือกึ่งเซียนกึ่งปรมาจารย์ ลอกเกล็ดลอกหนังเขาได้ตามใจชอบ จะตามไม่ทันความเร็วของมันได้อย่างไร
ในความเป็นจริง แม้ภูมิประเทศป่าเขาจะซับซ้อนและเต็มไปด้วยต้นไม้หนาแน่น เดินทางลำบาก แต่ทั้งสองต่างใช้คาถาเร่งฝีเท้าตามงูหลามไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักก็มาถึงหุบเขาแห่งหนึ่ง
“ที่นี่ช่างเต็มไปด้วยพลังหยินเสียจริง”
งูหลามดำดวงตาสีทองมองไปรอบๆ ก่อนจะเลื้อยไปหยุดที่ก้อนหินขนาดใหญ่ปกคลุมด้วยตะไคร่และหญ้าขึ้นรก หันกลับมามองฉินหลิวซีและเฟิงซิว
“ดูเหมือนจะเจอแล้ว” เฟิงซิวก้าวไปข้างหน้า โบกมือครั้งหนึ่งเพื่อยกก้อนหินใหญ่ออก แล้วจึงกำจัดหญ้าสูงท่วมหัว เผยให้เห็นป้ายหลุมศพ
ที่หน้าป้ายนั้น มีรูปสลักสัตว์หินตั้งอยู่ในดิน
ฉินหลิวซีก้าวเข้าไปใกล้ มองเห็นว่ารูปสลักสัตว์หินตัวนั้นสูงประมาณครึ่งตัวคน มีเขาเดี่ยวติดอยู่บนหัว ปลายเขาเป็นทรงกลม ยอดหัวผูกด้วยเชือกสองเส้น อ้าปากแลบลิ้นม้วนขึ้นลักษณะดุดัน รูปร่างทรงพลังสง่างาม เต็มไปด้วยความน่าเกรงขาม ราวกับมีชีวิต เคลื่อนไหวได้ในความนิ่ง แข็งแกร่งแต่แฝงความอ่อนโยน มีปีกสองข้างขนาบลำตัว แกะสลักอย่างประณีตจนดูน่าเกรงขาม
แต่สิ่งที่ฉินหลิวซีและเฟิงซิวให้ความสนใจคืออักขระที่สลักอยู่บนตัวสัตว์หิน ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเพิ่งถูกเพิ่มเข้ามาภายหลัง อักขระเหล่านั้นเป็นอาคมของลัทธิเต๋า
ฉินหลิวซีเดินดูรอบหนึ่งก่อน เอ่ย “นอกจากอักขระเรียกพลังหยินแล้ว ยังมีอักขระเชิญเคราะห์อีกด้วย สัตว์มงคลกลายเป็นสัตว์อัปมงคล เมื่ออยู่ในที่แห่งนี้ สัตว์อัปมงคลยิ่งกลายเป็นปีศาจร้าย เคราะห์ร้ายจะแผ่ขยายไปทั่ว ที่นี่จะไม่มีวันสงบสุขอีก”
“นี่คือดวงตาของค่ายอาคมย่อยนั้นใช่หรือไม่” เฟิงซิวขมวดคิ้ว เอ่ย “อยู่ห่างไกลเพียงนี้ ยังเชื่อมโยงกับค่ายใหญ่อีกฝั่งได้อย่างไร”
ฉินหลิวซีลุกขึ้นยืน ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ เอ่ย “เป็นไปได้หรือไม่ว่าค่ายอาคมย่อยพวกนี้มีลักษณะคล้ายประทัด หากจุดที่หนึ่ง ส่วนอื่นก็จะระเบิดตาม”
เฟิงซิวหัวเราะเย็นชา “ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ค่ายนี้ก็ถือว่าสำเร็จถึงขีดสุดแล้ว เราจะยังเล่นอะไรเล่า มิสู้กลับเขาเทียนพร้อมข้านั่งรอดูวันที่ใต้หล้าล่มสลายเถิด”
ฉินหลิวซีมองเฟิงซิวด้วยความไม่สบอารมณ์ นางเคาะเขาของสัตว์หินเบาๆ ไม่รู้คิดอะไร หยิบกริชออกมา กรีดนิ้ว เลือดไหลลงมา
“เจ้าทำอะไรน่ะ”
ฉินหลิวซีไม่ตอบ นางใช้นิ้วชี้ซ้ายที่มีเลือดไหลออกมา เขียนอักขระลบล้างเคราะห์และสยบพลังชั่วร้ายบนอักขระเชิญเคราะห์ เลือดที่ผสมพลังวิญญาณไหลร้อยเรียงกลายเป็นอักขระหนึ่งเดียว ประกายแสงสีทองสว่างวาบ ก่อนซึมเข้าสู่ตัวสัตว์หิน
กร๊อบ
เสียงดังสะท้อนออกมาจากภายในสัตว์หินรูปเซี่ยเขาเดียว ร่างของมันเริ่มแตกร้าว หุบเขาทั้งหุบเหมือนจะสั่นสะเทือนราวกับเกิดแผ่นดินไหว งูหลามดำตัวใหญ่ตัวสั่นสะท้านจนแทบขดตัวกลมเหมือนก้อนอุจจาระ แสร้งตายเพื่อเอาตัวรอด
ส่วนเฟิงซิวนั้นยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย เพียงแหงนมองท้องฟ้าด้านบนด้วยสายตาเฉื่อยชา ไม่แม้แต่จะตั้งคำถามหรือห้ามปรามการกระทำของฉินหลิวซี
ในเมื่อนางกล้าทำจนฟ้าทลาย เขาก็พร้อมทำลายตาม
ความสั่นสะเทือนของหุบเขาดำเนินไปเพียงสองครั้ง ก่อนจะสงบลงทุกอย่างกลับคืนสู่ความเงียบสงบ
มีเพียงสัตว์หินเซี่ยที่รอยร้าวเริ่มขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็พังทลายกลายเป็นเศษซาก กระจัดกระจายอยู่ใต้เท้าของทั้งสอง
เฟิงซิวประหลาดใจ ใช้พลังปีศาจกระจายออกตรวจสอบสถานการณ์ด้านนอก แต่กลับพบว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่พบภัยพิบัติหรือความวิบัติใดๆ ทั้งสิ้น แม้กระทั่งสัตว์หินเซี่ยที่เป็นจุดศูนย์กลางของค่ายอาคมจะพังทลายไปก็ไม่มีผลกระทบอะไร
“ดวงตาค่ายอาคมนี่เปราะบางถึงเพียงนี้เลยหรือ” เฟิงซิวรู้สึกว่าตนเองมองซื่อหลัวสูงเกินไป เพียงทำลายเช่นนี้ ไม่เกิดเรื่องอะไร ไหนว่ามันจะดูดกลืนวิญญาณทุกชีวิตรอบๆ อย่างไรเล่า
ฉินหลิวซีกลับยกมือซ้ายขึ้น มองนิ้วชี้ที่เลือดไหลออกเล็กน้อย พลางพึมพำราวกับครุ่นคิดบางอย่าง เอ่ย “มันไม่ได้เปราะบาง แต่ข้าหาวิธีทำลายที่ถูกต้องได้แล้ว”
เพียงแต่สิ้นเปลืองเลือดไปสักหน่อย อีกทั้งยังต้องเป็นเลือดที่ปลายนิ้วชี้ซ้าย ซึ่งผสานพลังของกระดูกพุทธะ กล่าวคือ ใช้พลังของเขาทำลายค่ายอาคมที่เขาวางไว้เอง
วิธีนี้สมเหตุสมผลดีแล้ว
[1] ซื่อปู๋เซี่ยง คือกวางปักกิ่ง ชาวจีนมองว่าเป็นสัตว์ที่แปลก โดยมีลักษณะ 4 ประการที่เหมือนหรือคล้ายคลึงกับสัตว์ชนิดต่าง ๆ ผสมผสานกัน(มีหน้าเหมือนม้า มีเขาเหมือนกวาง มีคอเหมือนอูฐ มีหางเหมือนลา)
………………..