คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1172 คลื่นหนึ่งไม่ทันสงบ คลื่นใหม่ก็ประดังเข้ามา
- Home
- คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า
- ตอนที่ 1172 คลื่นหนึ่งไม่ทันสงบ คลื่นใหม่ก็ประดังเข้ามา
ตอนที่ 1172 คลื่นหนึ่งไม่ทันสงบ คลื่นใหม่ก็ประดังเข้ามา
………………..
ลัทธิเต๋าชอบออกหมัดตรงเป็นประจำ ฉินหลิวซีตระหนักดีว่าตนเองได้บรรลุถึงขั้นสูงสุดของลัทธิเต๋าแล้ว เพื่อรักษาหัวใจแห่งเต๋าจึงเลือกทำก่อนแล้วค่อยคิด ดังนั้นจึงใช้พลังจากกระดูกพุทธะของซื่อหลัวในการเคลื่อนพลังเลือดปลายนิ้วเพื่อวาดอักขระเลือดกับรูปสลักสัตว์หินเฝ้าสุสานนี้เพื่อทดสอบ
ผลก็คือ สัตว์หินนี้ถูกทำลายแล้ว แต่ภัยธรรมชาติที่ท่วมท้นและความตายของสิ่งมีชีวิตมากมายตามที่พวกเขาคาดการณ์ ไม่ได้เกิดขึ้น
ดังนั้นจึงสามารถเอ่ยได้ว่า อักขระดวงตาค่ายอาคมที่ซื่อหลัววาดเอาไว้บนตัวสัตว์หินใช้กำลังของตัวเขาในการควบคุมและทำลาย ไม่ขัดแย้งต่อกัน
ก็เหมือนกับตนวาดยันต์ขึ้นมาหนึ่งยันต์ วาดเสร็จแล้ว ก็สามารถทำการแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้
“เป็นไปได้หรือไม่ว่านี่เป็นเพียงกลลวงเท่านั้น” เฟิงซิวรู้สึกว่าสัตว์หินนี้ทำลายง่ายเกินไปสักหน่อย
ฉินหลิวซีถามกลับหนึ่งประโยค “เช่นนั้นการตาบอดของฟ่านคงจะอธิบายอย่างไร”
“จะเป็นการหลอกล่อหรือไม่ไม่ต้องเอ่ยถึง การมีอยู่ของมันย่อมมีเหตุผลในตัว แต่เจ้าพูดเหมือนง่าย ข้ากลับไม่เห็นด้วย เก้าเก้าแปดสิบเอ็ดค่ายเล็ก นั่นก็หมายถึงต้องมีหินสัตว์เฝ้าสุสานถึงแปดสิบเอ็ดตัว ซึ่งยังหาไม่เจอเลย แม้หาเจอก็ยังต้องทำลายทีละตัว ทั้งเสียเวลาและสิ้นเปลืองแรง” ฉินหลิวซีเอ่ย “เขาเตรียมการดี เราต้องเป็นฝ่ายรับมือ ค่ายอาคมบูชาสวรรค์สำเร็จเป็นเทพในทะเลทรายดำนั่นข้ายังต้องศึกษาให้ละเอียด สำคัญที่สุดคือค่ายอาคมกักเซียน จะสร้างจะควบคุมค่ายอาคมนี้ นี่ต่างหากถึงเป็นสิ่งที่ต้องทุ่มเท จำเป็นต้องปิดด่านไม่ถูกรบกวนจากภายนอกถึงจะได้”
เขาสำเร็จเป็นเทพ นางจะต้องกักเทพ
เขาสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า นางจะทำลายพระพุทธเจ้า
เฟิงซิวรู้สึกไม่พอใจอย่างยิ่ง “นี่ราวกับเขาสร้างภัยพิบัติเล็กๆ น้อยๆ เพื่อดึงเวลาของเรา ให้เขามีเวลามากขึ้น”
เมื่อคำพูดนี้หลุดออกมา ทั้งสองมองหน้ากัน
เพื่อหลอกล่อซื้อเวลา ซื่อหลัวต้องการเวลามากมาย สิ่งที่เขาทำคือการถ่วงเวลา เขากลัวว่าพวกเขาจะค้นพบช่องทางที่จะทำลายเทพจริงๆ น่ะหรือ
“ไม่เป็นไร สวรรค์มีการจัดการของมันเอง มันจะจัดการตามทางของมัน” ฉินหลิวซีตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
เฟิงซิว”?”
ฉินหลิวซียิ้มเย็น “ทุกสิ่งที่ข้าพบ ทำให้ข้าฝึกฝน สั่งสมบุญกุศล จนข้ากลายเป็นผู้ช่วยชีวิต ถ้าจะผลักดันข้าไปข้างหน้า ให้ข้าเป็นผู้นำช่วยกอบกู้โลกจากน้ำและไฟ ป้องกันการทำลายล้าง สวรรค์จะต้องอยู่ข้างเรา ถ้าไม่เช่นนั้น เราก็จะแยกทาง ขอความช่วยเหลือจากที่อื่น”
ถ้าท้องฟ้าไม่เมตตาข้า ให้ข้าลงสู่ทะเลทุกข์ ข้าก็ไม่ยอม นางเกิดมาก็ไม่ชอบความทุกข์ทรมาน
ถ้าท้องฟ้าเมตตาข้า เช่นนั้นเส้นชีวิตนี้จะต้องหันมาทางข้า แม้เพียงเล็กน้อย ก็ยังเป็นรางวัลที่หวานหอม
เฟิงซิว ตอนนี้ข้าเห็นเจ้าเหมือนเด็กขี้โกงที่ทำตัวเป็นจอมหลอกลวง
แต่ว่า ความขี้โกงนี้เขาชอบมาก
ในเมื่ออยากให้ม้าวิ่ง ทั้งอยากให้ม้าไม่กินหญ้า โลกนี้มีเรื่องเช่นนี้จริงหรือ ถ้าสวรรค์อยากให้โลกใบนี้สงบสุข ก็ต้องให้ทุกอย่างอยู่ร่วมกัน ลำเอียงสักหน่อยถึงจะได้
ถึงไม่ช่วยกันอย่างชัดเจน อย่างน้อยก็ต้องทิ้งเครื่องมือใช้ปราบมารปีศาจอันใดสักอย่างไว้บ้างเพื่อป้องกันตัวใช่หรือ
แค่จะฟาดแส้ไปยังหลังม้า แต่รู้หรือไม่ว่าม้าก็มีช่วงที่มันคลุ้มคลั่ง บางทีอาจจะล้มลงทำท่าหมดแรงก็ได้
“เมื่อครู่เจ้าลงมือเร็วเกินไป ของเล่นนี่ถูกเจ้าพังไปแล้ว จะไปหาของอื่นมาแทนได้อย่างไร” เสียงของเฟิงซิวถามขณะชี้ไปยังกองหินที่แตกกระจาย
ฉินหลิวซีหันมามองเขาด้วยท่าทางไม่พอใจ “ผู้เป็นถึงราชาปีศาจ ไม่รู้หรือว่าอะไรคือการคัดลอก ถอนขนเอาพลังมันมาก็เปลี่ยนได้แล้ว”
เฟิงซิวหน้าเขียวเล็กน้อย ขนของข้าก็มีค่ารู้หรือไม่ ส่งเสียงหึ “ถ้าเป็นคนอื่นมาสั่งข้าเช่นนี้ ข้าคงกลืนนางไปตั้งนานแล้ว”
เขาโวยวายไป แต่ก็ดึงขนสุนัขจิ้งจอกหลายเส้นไปด้วย โยนไปยังกองหินที่แตกละเอียด
งูเหลือมดำที่ม้วนตัวอยู่บนก้อนหินใหญ่พลันเหลือบมองมา เห็นขนของสุนัขจิ้งจอกที่ปาออกไปเปล่งประกายพลังปีศาจสีแดง เรียวยาวดั่งขน ห่อหินที่แตกละเอียดเอาไว้
ทันใดนั้น ขนจิ้งจอกเหมือนถูกมือที่มองไม่เห็นดึงไป แยกออกราวกับเส้นด้ายหลายเส้น สร้างรูปสลักสัตว์หินเฝ้าสุสานเหมือนตัวก่อนหน้านี้ขึ้นมา อักขระบนรูปสลักก็มองเห็นชัดเจน
ปีศาจสามารถแปลงร่างได้สารพัด ไม่ว่าจะเป็นการแปลงเป็นวัตถุใดหรือแปลงร่างเป็นมนุษย์ก็สามารถทำได้อย่างแนบเนียนจนยากจะแยกแยะออกจากของจริง หากไม่มีดวงตาอันเฉียบคมที่สามารถมองทะลุปรุโปร่งได้
ยิ่งไปกว่านั้น ศาสตร์แห่งการแปลงร่างนี้ยังมาจาก ราชาปีศาจเองด้วย
ยังไม่ทันที่มันจะเลื้อยหนีไปได้ รูปสลักสัตว์หินเฝ้าสุสานตัวหนึ่ง ไม่ใช่สิ ขนเส้นหนึ่งก็ลอยเข้ามาหาตนคำของเฟิงซิวก็ลอยตามมา “จงจดจำกลิ่นอายนี้ไว้ รวมถึงสัญลักษณ์บนตัวสัตว์เหล่านี้ด้วย ไปบอกเพื่อนพ้องของเจ้าและเหล่าปีศาจตัวอื่น หากพบเห็นสัตว์หินแบบเดียวกันนี้ ให้ส่งข่าวมาหาข้า เพียงเผาขนจิ้งจอกเส้นนี้ก็พอ”
“ขอรับ ท่านราชา”
งูเหลือมดำไม่กล้าปฏิเสธคำสั่งนั้น
ในขณะที่เขาสั่งงานงูเหลือมดำอยู่ ฉินหลิวซีได้จัดการทำความสะอาดพื้นที่รอบๆ สุสานของแม่ทัพถอนวัชพืชออกจนหมด จัดตำแหน่งป้ายหลุมศพใหม่ให้ตรง และฝังยันต์วิญญาณกับหยกไว้ในหลายจุดรอบสุสาน จากนั้นก็แขวนกระจกเล็กๆ ไว้บนยอดไม้สูง เพื่อให้แสงอาทิตย์สะท้อนผ่านกระจกมายังหุบเขาที่ไร้แสงแดดแห่งนี้
สถานที่ที่เต็มไปด้วยพลังหยินและความอัปมงคลเช่นนี้ ควรถูกทำลายเพื่อป้องกันไม่ให้พลังชั่วร้ายกระจายตัวออกไป เพราะหากปล่อยไว้ อาจเป็นภัยต่อฮวงจุ้ยของภูเขาทั้งลูก และชาวบ้านที่อาศัยอยู่เชิงเขาก็จะต้องเดือดร้อนตามมา
เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ฉินหลิวซีและเฟิงซิวก็พากันลงจากเขา ก่อนจะไปแจ้งข่าวกับเจียงเหวินหลิว ออกจากเมืองตูกลับไปยังเขาด้านหลังของอารามชิงผิง
“การศึกษาค่ายอาคมสิ้นเปลืองพลังมาก เรื่องตามหาสัตว์หินเหล่านี้ยกให้ข้าจัดการเอง ข้าคงไม่กลับเข้าอารามแล้ว” เฟิงซิวรับหน้าที่ตามหาสัตว์หินเหล่านี้โดยไม่รีรอ
ฉินหลิวซีพยักหน้า คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ย “ก็ดี แต่รูปสลักสัตว์หินเฝ้าสุสานมีรูปร่างหลากหลาย ไม่ได้เป็นเพียงสัตว์ที่มีเขาเดียวตัวเดียวเท่านั้น ให้พวกมันสังเกตสัญลักษณ์บนตัวสัตว์จะง่ายกว่า รอข้าเดี๋ยว”
นางหยิบกระดาษสีเหลืองออกมาหนึ่งปึก ก่อนจะกรีดนิ้วชี้ซ้ายให้เลือดไหลอีกครั้ง เริ่มวาดยันต์
เฟิงซิวหนังตากระตุก ดวงตาเต็มไปด้วยความกังวล อยากจะห้าม แต่เมื่อคำพูดมาถึงปากกลับไม่เปล่งออกมาแม้แต่คำเดียว เขาทำได้เพียงหยิบผลหลิงกั่วจากมิติส่วนตัวยื่นมายังปากนาง
คำพูดหวานเลี่ยนไม่มีประโยชน์ในตอนนี้ บางเรื่องก็เลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงเลือกเงียบและช่วยนางอย่างเต็มกำลัง
ฉินหลิวซีวาดยันต์ด้วยเลือดไปทั้งหมดสามสิบแผ่น กระทั่งนิ้วของนางไม่สามารถบีบเลือดออกมาได้อีก นางจึงหยุดและยัดยันต์ทั้งหมดใส่มือของเฟิงซิว เอ่ย “ถ้าหาเจอ ใช้ยันต์เลือดนี้สะกดเอาไว้ ถ้าใช้หมดแล้วก็มาหาข้าอีก”
เฟิงซิวขมวดคิ้วมองใบหน้าของนาง เอ่ย “จำเป็นต้องวาดทีเดียวเยอะเพียงนี้เลยหรือ ดูหน้าตอนนี้ของท่านซีดจนเหมือนผีตายหลายวันแล้วเลยนะ เกินไปแล้ว”
นางหยิบเหล้าหลายไหออกมาจากถุงเฉียนคุนแล้วตั้งแท่นบูชาเล็กๆ ขึ้นมา จากนั้นปักธงห้าธงในห้าทิศ จุดธูปและเผายันต์ เริ่มพิธีเรียกราชาผี
ในขณะที่เมฆดำปกคลุมทั่วท้องฟ้า ลมพัดกระโชกรุนแรง พลังวิญญาณน่ากลัวทำให้ดวงวิญญาณเร่ร่อนกรีดร้องแตกกระเจิงไปทุกทิศทุกทาง ราชาผีตงฟางและเป่ยฟางปรากฏตัวต่อหน้าฉินหลิวซีอย่างรวดเร็ว
ฉินหลิวซีขมวดคิ้วใบหน้าเคร่งขรึม “แค่พวกเจ้าแค่สองคนหรือ”
แค่กบดานในนรกไม่กี่ปี หน้าตาของนางใช้ไม่ได้แล้วหรือ
ฉินหลิวซีคิดว่า นางในตอนนี้ ระดับบำเพ็ญเพียรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และตอนเรียกราชาผีนางยังใช้หินเก้าตาของราชาเทพเฟิงตูด้วย ราวกับนางถือไม้ขนนกเป็นคำสั่ง อย่างไรผู้ถูกเรียกก็ไม่กล้าขัดขืนอยู่แล้ว
ทว่าความเป็นจริง มีเพียงราชาผีสองคนจากตะวันออกและเหนือเท่านั้นที่มาปรากฏตัว และดูจากท่าทางห่อเหี่ยวของพวกเขาแล้ว คนไม่รู้คงคิดว่ามีผีที่ไหนมายึดอำนาจไปแล้ว
ราชาผีตงฟางเมื่อเห็นนางถึงกับพุ่งเข้ามาหา น้ำตาผีไหลพราก เขาร้องไห้เสียงดัง “ท่านมีเวลามาสนใจพวกเราแล้วหรือ ถ้ายังไม่โผล่มา อีกหน่อยท่านคงไม่เห็นแม้แต่พวกเราสองคน…แล้วท่านต้องการอะไรหรือ”
ฉินหลิวซีหยิบขวดหยกขึ้นมาเก็บน้ำตาผีของเขาอย่างระมัดระวัง เอ่ย “น้ำตาราชาผีหายากเพียงใด เจ้ารู้หรือไม่ เอาไปทำอะไรก็มีค่า เจ้าอุตส่าห์ร้องมาแล้ว ช่วยร้องให้ดังๆ หน่อย ข้าจะได้เก็บเพิ่มอีกสักหน่อย”
ราชาผีตงฟาง “…”
เฮอะ นางไม่เคยเปลี่ยนเลยจริงๆ ยังไม่มีความเป็นคนเช่นเคย
ราชาผีเป่ยฟางควงซานเดิมคิดจะร้องไห้เหมือนกัน แต่พอเห็นเหตุการณ์นี้ เขาก็ฝืนกลั้นน้ำตาที่เกือบจะร่วงออกมาจนแห้งสนิท ร้องไม่ออกเสียแล้ว
“ไม่ร้องแล้วหรือ” ฉินหลิวซีมองราชาผีตงฟางด้วยความเสียดาย เอ่ย “หรือไม่ ให้ข้าช่วยอีกแรงดีหรือไม่”
ราชาผีตงฟางโกรธจนพลังวิญญาณลุกโชน นางกล้าเอ่ยเช่นนี้ออกมาได้อย่างไรกัน
เฟิงซิวส่งจิตสอดส่องออกไป เมื่อเห็นดวงวิญญาณพเนจรอ่อนแอเหล่านั้นถูกแรงกดดันจนร่างวิญญาณสั่นไหว แทบแตกสลาย เขาจึงปลดปล่อยพลังปีศาจออกมา สร้างพื้นที่แห่งหนึ่งให้กลายเป็นเขตแดนเฉพาะ
เมื่อราชาผีทั้งสองสัมผัสถึงพลังของเขา หันไปมองสุนัขจิ้งจอกตัวนั้น สายตามีความหวาดระแวง มันก้าวขึ้นเป็นราชาปีศาจแล้ว พลังงานนี้ยิ่งใหญ่เกินไปแล้ว
คิดว่าเขาอยากอวดอำนาจราชาปีศาจหรือ มิใช่เพราะเขาสงสารผีตัวน้อยเหล่านั้นหรือ
ราชาผีตงฟางส่งเสียงฮึดฮัด ก่อนจะเก็บพลังของตัวเองลงไปไม่น้อย เขามองไปยังฉินหลิวซีอีกครั้ง เห็นนางยืนตัวตรงมั่นคงดั่งต้นสนเก่าแก่ แฝงด้วยรัศมีพร่างพรายดุจหมอกไกลของภูเขา ลักษณะสง่างามจนใครก็ไม่กล้าลบหลู่
เทพอสูรใหญ่เติบโตขึ้นแล้ว งดงามขึ้น ทรงอำนาจขึ้น ความเป็นคนหรือ น้อยลงเรื่อยๆ ยิ่งทำให้เหล่าวิญญาณยากที่จะคาดเดา
ตอนนี้นางคงเข้าสู่ขั้นของกึ่งเซียนแล้วกระมัง ดูแล้วเข้าใจยากขึ้นกว่าเดิมมาก เมื่อก่อนนางยังอยู่ใต้ปีกของอาจารย์ เป็นเหมือนพยัคฆ์น้อยจอมเกเร ท่องไปทั่วโลกมนุษย์ ปากร้ายใจดี แม้ดูเย็นชาแต่ก็ยังมีกลิ่นอายของความเป็นคนอยู่
ยามนี้เจ้าอาวาสชื่อหยวนสิ้นแล้ว นางกลายเป็นที่พึ่งพาของตัวเองได้ กลายเป็นคนแข็งแกร่งขึ้น แต่ก็ดูหนักอึ้งขึ้น ความเฉยเมยจากวันวานเลือนหายไปหมดแล้ว
เฮ้อ
ราชาผีตงฟางถอนหายใจ
“เจ้าถอนหายใจทำไมหรือ ข้าเรียกราชาผีสี่ทิศ แต่มีแค่พวกเจ้ามาเพียงสองคน ทำไมหรือ หรือว่าชื่อเสียงฉินหลิวซีของข้าตอนนี้ไม่ดังพอ” ฉินหลิวซีเลิกคิ้วยิ้มหยัน “ราชาผีใต้และตะวันตก คงต้องให้ข้าไปสอนพวกเขาเสียหน่อยกระมังว่าควรทำตัวเป็นผีอย่างไร”
สองราชาผีหันมองหน้ากัน สีหน้าผีของพวกเขาเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย เอ่ย “ในโลกมนุษย์ ผีนับหมื่นที่ใดกล้าไม่ให้เกียรติท่านเล่า ต่อให้ไม่ให้เกียรติท่าน จะไม่ให้เกียรติราชาเทพเฟิงตูเลยหรือ”
พวกเขามองไปที่หินเก้าตาในมือของนาง สายตาเต็มไปด้วยความเคารพและชื่นชม ใครจะคิดว่าราชาเทพเฟิงตูจะใจกว้างถึงขั้นมอบอาวุธวิเศษเช่นนี้ให้กับนาง ลูกแท้ๆ ของเขายังไม่น่าได้รับขนาดนี้กระมัง
ราชาเทพเฟิงตู ข้าบอกว่านางปล้นจากข้าไป พวกเจ้าจะเชื่อหรือไม่
ฉินหลิวซีมองสีหน้าผิดปกติของพวกเขา ขมวดคิ้วเอ่ยถาม “พวกเขาเป็นอะไรหรือ”
ควงซานสูดจมูก เอ่ย “พวกเขาถูกหลอมไปหมดแล้ว”
ฉินหลิวซีหันมาสบตากับเฟิงซิว ทั้งสองเปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจัง เอ่ยถาม “พวกเขาสองคนเป็นถึงราชาผี แม้พลังจะไม่ถึงขั้นสุด แต่ก็เป็นผู้ปกครองพื้นที่ส่วนหนึ่ง บนโลกใบนี้ มีนักพรตคนใดร้ายกาจเพียงนี้ กล้าจับพวกเขาไปหลอมได้”
ราชาผีจัดเป็นผีผู้บำเพ็ญเพียร พวกเขาฝึกฝนบำเพ็ญตบะจนแข็งแกร่ง แม้จะไม่ได้เป็นอมตะ แต่การจะจับตัวและหลอมพวกเขา ไม่ใช่เรื่องที่ผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดาจะทำได้
“ซื่อหลัวหรือ” ฉินหลิวซีตกใจไม่น้อย “เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อใดกัน”
“เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ ราชาผีหนานฟางตายตอนเดือนหก ราชาผีซีฟางตายไปต้นเดือนเก้า” ราชาผีตงฟังมองฉินหลิวซี เอ่ย “ไม่รู้เมื่อใดจะมาถึงข้าและควงซานแล้ว มีเรื่องใดสั่งการ ท่านรีบสั่งเถิด หากพวกเราถูกจับตัวไปแล้ว ท่านคงเรียกไม่ได้แม้แต่ตนเดียว”
เฟิงซิวเอ่ย “พวกเจ้ารู้ได้เช่นไรว่าพวกเขาถูกซื่อหลัวจับไปหลอม”
ราชาผีตงฟางเอ่ยตอบ “ปีศาจมีทางปีศาจ ผีมีทางผี เป็นราชาผีเช่นกัน แม้ยามปกติจะต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงอาณาเขตจะเป็นจะตาย แต่ในเรื่องใหญ่เรื่องโต เราสามารถพูดคุยกันได้ เป็นดั่งมิตรสหายที่แบ่งปันข้อมูล เหมือนกับขุนนางในโลกมนุษย์ ขุนนางบุ๋นบู๊ที่แย่งชิงตำแหน่งกัน”
ควงซานพยักหน้าเห็นด้วย “พวกเรารู้เรื่องนี้ แน่นอนเพราะเราตรวจสอบหลายทาง” เขาปรายตามองเฟิงซิว เอ่ยอย่างภาคภูมิใจ “เอ่ยถึงผี พวกเรามีมากกว่าปีศาจมาก”
ปีศาจในโลกนี้ ต้องบำเพ็ญจนได้สติปัญญาถึงจะมีจำนวนมากขึ้น แต่ผีนั้นต่างออกไป คนตายเมื่อใดก็กลายเป็นผีทันที
ราชาผีตงฟางตบหัวควงซานเบาๆ เอ่ย “โง่จริงๆ ชอบอวดเก่ง ผีมากมีอะไรน่าภาคภูมิใจ นั่นหมายความว่าคนตายจำนวนมากคิดว่ามันดีอย่างนั้นหรือ เจ้าโง่หรือไม่”
ควงซานไม่ยอมแพ้ “คนตายแล้วยังมีลูกหลาน ปีศาจให้กำเนิดปีศาจ แต่จะง่ายเพียงนั้นเลยหรือ ได้ยินว่าปีศาจบางตน ตั้งครรภ์ร้อยปีกว่าจะให้กำเนิดปีศาจน้อยสักตนได้”
เฟิงซิวมุมปากกระตุก ลอบมองไปทางฉินหลิวซีเงียบๆ ท่านแน่ใจหรือว่าเจ้าพวกนี้จะช่วยอะไรท่านได้
ฉินหลิวซีเองก็จนวาจา กระแอมไอหนักๆ เอ่ย “เอาล่ะ พวกเจ้าเอ่ยเรื่องไร้สาระกันมาจนจะเสียเรื่องแล้ว เอ่ยเรื่องสำคัญเถิด รู้หรือไม่ซื่อหลัวเอาพวกเขามาหลอมเพื่ออะไร”
ราชาผีตงฟางเอ่ยเสียงทุ้ม “ซีฟางถูกหลอมเป็นเจดีย์ผี เจดีย์นั้นตั้งอยู่ที่ประตูด่านอวี้เหมิน หนานฟางนั้นยังไม่รู้”
“ในเมื่อหลอมเจดีย์ผี ไยต้องตั้งไว้ที่นั่น” ฉินหลิวซีไม่เข้าใจนัก “ไม่ได้ทำไว้เพื่อเป็นเครื่องมือพลังงานหยินหรอกหรือ”
แต่ด้วยความสามารถของเจ้านั่น เขาคงไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือพลังงานหยินพวกนี้กระมัง
“พวกเราก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ในบริเวณนั้น พอค่ำลงจะกลายเป็นแดนผีทันที หากผู้ใดผ่านไป วิญญาณที่ยังไม่ตายจะต้องตายอย่างแน่นอน ยิ่งคนตายมากเท่าไร อำนาจชั่วร้ายและพลังของเจดีย์ผีก็ยิ่งแรงขึ้น” ราชาผีตงฟางเอ่ย “จริงสิ ที่แห่งนั่น เป็นสถานที่ของตระกูลทหาร ถ้ามีการรบเกิดขึ้น ไม่จำเป็นต้องสู้กัน วิญญาณที่ยังมีชีวิตจะกลายเป็นอาหารของเจดีย์ผีทั้งหมด ท่านไม่เรียก พวกเราก็ต้องหาทางมาหาท่านเอง หนึ่งคือเพราะเจดีย์ผีนี้ สองคือพวกเราไม่รู้ว่าจะตกตามรอยซีกับหนานไปหรือไม่ ยิ่งไม่รู้ว่าเขามีจุดประสงค์อันใด”
“ไม่มีสัตว์มงคล แต่บนเจดีย์ผีมีสัตว์ร้ายฉงฉี[1]หนึ่งตัว ดังนั้นเจดีย์นี้เต็มไปด้วยพลังอาฆาต เดิมทีราชาผีซีฟางก็เป็นคนอารมณ์รุนแรง เมื่อก่อนเขาคือเทพสงครามที่ทำให้เด็กๆ ร้องไห้ด้วยความหวาดกลัว เขามาพร้อมกับพลังชั่วร้ายอยู่แล้ว ตอนนี้พอถูกหลอมเข้าไปในเจดีย์ผี ยิ่งเพิ่มความรุนแรงและพลังอาฆาตเข้าไปอีก”
ฉินหลิวซีตกใจ นางหยิบเหรียญจักรพรรดิ[2]ออกมาเพื่อทำนาย นิ้วมือเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็เอ่ยเสียงเข้มออกมา “ซีเป่ยจะเกิดภัยใหญ่ สงครามใหญ่กำลังจะเกิดขึ้น ทหารไม่เห็นดาบ วิญญาณที่ตายจะไร้ที่พึ่ง”
[1] สัตว์ร้ายฉงฉี สัตว์ในตำนานที่ชั่วร้าย สนับสนุนคนพาล ขัดขวางคนดี
[2] เหรียญจักรพรรดิ หรือ เงินตราจักรพรรดิ ซึ่งในบริบททางวัฒนธรรมและความเชื่อจีนมักเป็นเหรียญที่ใช้ในพิธีกรรมหรือการเสี่ยงทาย เช่น การดูดวง การเสี่ยงโชค หรือการขอคำตอบจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ โดยเฉพาะในพิธีกรรมทางลัทธิเต๋า
………………..