คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1173 ดวงดาวฮ่องเต้หมองมัว แผ่นดินกำลังจะวิบัติ
- Home
- คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า
- ตอนที่ 1173 ดวงดาวฮ่องเต้หมองมัว แผ่นดินกำลังจะวิบัติ
ตอนที่ 1173 ดวงดาวฮ่องเต้หมองมัว แผ่นดินกำลังจะวิบัติ
………………..
ภัยหนึ่งยังมิทันคลาย ภัยใหม่ก็ประดังเข้ามาอีกแล้ว
เดิมทีฉินหลิวซีตั้งใจเรียกตัวเหล่าราชาผีมา เพื่อมอบหมายเรื่องตามหารูปสลักสัตว์หินให้เสร็จสิ้น แต่ไม่คาดคิดว่าจากคำบอกเล่าของราชาผีตงฟางทั้งสอง จะได้ทราบข่าวว่าราชาผีสองตนแห่งทิศตะวันตกและทิศใต้ กลับตกอยู่ในเงื้อมมือของซื่อหลัว
ในเวลานี้ซีเป่ยกำลังจะเกิดศึกใหญ่ ทางนั้นยังมีเจดีย์ผีที่คอยล่อลวงดวงวิญญาณทำเรื่องชั่วช้า คาดว่าสถานการณ์ครั้งนี้จะต้องมีผู้คนล้มตายไม่น้อย
ฉินหลิวซีรีบใช้คาถา ส่งนกกระเรียนกระดาษตัวหนึ่งเข้าเมืองหลวงไปแจ้งข่าว ส่วนตัวนางเองกลับอารามเพื่อกินยาบำรุงเลือดหนึ่งชุด หยิบกระดาษเหลืองติดตัวมาจำนวนหนึ่ง ภายใต้สายตาเจือด้วยความเคืองขุ่นของคนในอาราม ก่อนจะรีบร้อนออกเดินทางตามราชาผีตงฟาง มุ่งหน้าสู่ซีเป่ย
ยามนี้ใกล้เข้าสู่เดือนสิบเอ็ดแล้ว ปีนี้ภัยธรรมชาติเกิดบ่อยครั้ง ฤดูกาลผันผวนผิดแปลกไปมาก ยังไม่กล่าวถึงดินแดนทางใต้ ที่แม้จะเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงในเดือนสิบซึ่งควรเก็บเกี่ยวผลผลิต กลับยังคงมีฝนกระหน่ำหนักในทุกพื้นที่ จนเกิดน้ำป่าทะลักในแถบหลิ่งหนาน ผู้คนภายนอกไม่ทราบสาเหตุ ต่างทำได้เพียงมองว่าสภาพอากาศแปรปรวนผิดปกติ อันที่จริงแล้ว ทางทิศเหนือกลับดูราวกับเข้าสู่ต้นฤดูหนาวก่อนเวลา ชาวเมืองเซิ่งจิงต่างเริ่มสวมเสื้อกันหนาว บางคนถึงขั้นคลุมเสื้อคลุมหนาในยามเช้าและค่ำเพื่อกันความหนาว
ชาวบ้านทั่วไปต่างทุกข์ระทม ปีที่แล้วเผชิญภัยหิมะตกหนัก ชีวิตก็ไม่เคยได้สงบสุข ปีนี้กลับหนาวเย็นเร็วยิ่งกว่าปกติ ผู้คนหวาดกลัวว่าอาจเกิดภัยหิมะครั้งใหญ่กว่าปีก่อน
ด้วยความวิตกเช่นนี้ พวกเขาจึงไม่กล้าใช้สอยข้าวปลาอาหารอย่างสิ้นเปลือง บางคนที่รอบคอบถึงกับคิดสะสมเสบียงอาหารไว้ ทว่าเมื่อไปดูจึงพบว่า ราคาข้าวในเมืองได้พุ่งสูงจนไม่อาจเอื้อมถึง เพราะปีนี้ภัยธรรมชาติร้ายแรงนัก แห้งแล้งในบางที่ น้ำท่วมในบางแห่ง ยังไม่ทันเอ่ยถึงโรคระบาดที่เกิดจากการจัดการภัยธรรมชาติที่ผิดพลาด จำนวนขอทานและผู้ลี้ภัยในเซิ่งจิงเพิ่มมากขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาอย่างเห็นได้ชัด
เหตุปัจจัยต่างๆ ทำให้ปริมาณผลผลิตลดลงอย่างฉับพลัน แน่นอนว่าราคาข้าวสารจึงสูงขึ้นตามไปด้วย ไม่เพียงแค่ข้าวสาร แม้แต่ราคาผ้า เกลือ น้ำมัน ต่างก็พุ่งสูงขึ้น
แม้แต่ชาวเมืองที่ไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ก็ยังมองเห็นชัดว่าปีนี้จะไม่ใช่ปีที่จะผ่านไปง่ายดาย อีกทั้งอากาศที่หนาวเร็วยิ่งขึ้นทำให้พวกเขาต้องเร่งสะสมเสบียงอาหารและของใช้กันหนาว
ราษฎรทั่วไปยังคิดหนักถึงเพียงนี้ เหล่าขุนนางในราชสำนักยิ่งต้องปวดหัว กรมทั้งหกต่างล้วนประสบปัญหาอย่างเลี่ยงไม่ได้
ปีนี้เพราะภัยธรรมชาติและโรคระบาด ทำให้ปริมาณผลผลิตลดลง ราคาสินค้าสูงขึ้น ภาษีจากแต่ละพื้นที่ที่เก็บมาได้ก็ไม่เหมือนปีก่อนๆ ในขณะที่รายได้ลดลง ค่าใช้จ่ายกลับพุ่งสูง ไม่ว่าจะเป็นการบรรเทาทุกข์ภัยพิบัติ หรือจัดสรรงบประมาณให้กรมก่อสร้างสำหรับการจัดการน้ำท่วม อีกทั้งกองทัพก็ยังต้องการเสบียงและยุทโธปกรณ์
กล่าวได้ว่า ขุนนางกรมพระคลังที่รับผิดชอบดูแลเงินในท้องพระคลังต่างมีเส้นผมร่วงมากขึ้นทุกวัน รอยคล้ำใต้ตายิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนต่างเคร่งเครียดเพราะปัญหาการเงิน ขาดทั้งเงิน ขาดทั้งข้าว ใครเล่าจะไม่หวาดหวั่น
กรมทหารก็ไม่ต่างกัน ทั่วทุกหัวเมืองล้วนต้องการเบี้ยหวัดและเสบียงสำหรับกองทัพ แต่ท้องพระคลังกลับว่างเปล่า เห็นอยู่ว่าฤดูหนาวกำลังใกล้เข้ามา ปีนี้สภาพอากาศแปรปรวนมาก สำนักโหรหลวงต่างบอกว่านี้จะเป็น ‘ฤดูหนาวที่หนาวเย็นเป็นพิเศษ’ จะไม่รีบจัดหาผ้ากันหนาวและเบี้ยหวัดให้ทหารชายแดนได้อย่างไร
ห๊า ไม่มีเงิน ไม่มอบเบี้ยหวัด ก็จะผลักดันให้เกิดกบฏขึ้น ผู้ใดรับผิดชอบเรื่องนี้ได้
กรมทหารต้องถกเถียงกับกระทรวงพระคลังแทบทุกวัน พวกเขาถึงกับเสนอให้จัดงานประมูลการกุศลเพื่อหาเงิน แต่เรื่องนี้ทำได้เพียงหนึ่งหรือสองครั้งเท่านั้น เมื่อทำมากไป ผู้คนย่อมตระหนักได้ว่านี่เป็นสัญญาณของการขาดแคลนอย่างชัดเจน เป็นการขุดเงินออกจากกระเป๋าผู้คนในช่วงเวลาที่ลำบาก ผู้ใดเล่าจะอยากกลายเป็นผู้ถูกหลอกให้เสียทรัพย์เล่า
ส่วนกรมอาญา ก็ปวดหัวเช่นกัน มีคำกล่าวที่ว่า “ประเทศมั่งคั่ง ประชาชนเข้มแข็ง” เมื่อราษฎรมีบ้านอยู่ มีข้าวกิน มีไร่นาให้ทำ อยู่กันอย่างสงบสุข เช่นนี้ผู้ใดจะคิดก่อกบฏเป็นโจรเล่า
แต่ด้วยภัยพิบัติบ่อยครั้ง หลายคนต้องกลายเป็นผู้ลี้ภัยและถูกบีบบังคับให้เป็นโจรพเนจร บางคนถึงขั้นก่อเหตุอันโหดร้าย เรือนจำของกรมอาญาจึงแทบไม่เหลือที่ว่าง
กรมโยธาก็มีข้อโต้แย้งของตน การสร้างเขื่อนและพัฒนาระบบชลประทานย่อมต้องใช้เงิน หากไม่มีเงินแล้วจะสร้างอะไรได้
กรมการปกครองต้องยุ่งอยู่กับการตรวจสอบและลงโทษเจ้าหน้าที่ฉ้อโกง รวบรวมตัวอย่างคดี และจัดการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ
ส่วนกรมพิธีการดูจะเงียบสงบที่สุด เพราะในปีนี้ไทเฮาสวรรคต และองค์รัชทายาทก็ถูกถอดถอน ฮ่องเต้ไม่ได้จัดงานเลี้ยงงานมงคล อีกทั้งสนมในวังหลวงก็ไม่กล้าจัดงานเฉลิมฉลองใดๆ แม้แต่พิธีบูชาฟ้าดินยังถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย
แต่ใครจะอธิบายได้ว่าทำไมจู่ๆ ฮ่องเต้จึงมีพระประสงค์จะจัดพิธีบูชาสวรรค์ การบูชาฟ้าดินใช่ว่าจะไม่ใช้เงิน ยิ่งเป็นพิธีที่ใหญ่โตในยามนี้ ก็ยิ่งสร้างภาระแก่ราษฎรมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม การบูชาฟ้าดินเกี่ยวข้องกับความเป็นอยู่ของราษฎร ผู้ใดจะกล้าเอ่ยว่าพิธีนี้ไม่สมควรเล่า
ดังนั้น ทุกเช้าที่มีการประชุมราชการในราชสำนักจึงเป็นเหมือนตลาดสด บรรดาขุนนางล้วนเถียงกันจนเสียงดังประหนึ่งเสียงตะโกนในตลาด ทุกประเด็นในฎีกาล้วนหนีไม่พ้นคำว่า ‘เงิน’ เพื่อเจ้าสิ่งนี้ เหล่าขุนนางผู้ทรงคุณธรรม ที่แต่ก่อนมักพูดจาภาษาสูงส่งดูเงินทองราวกับของไร้ค่า บัดนี้แทบจะถกเถียงกันจนต้องใช้กำลังกันสักตั้ง
และคำกล่าวที่ว่า ‘กลัวสิ่งใด สิ่งนั้นย่อมมา’ ดูจะเป็นจริง เพราะเสนาบดีลิ่นกล่าวในที่ประชุมราชสำนักยามเช้าว่า บริเวณชายแดนซีเป่ยมีการปะทะเล็กน้อนเกิดขึ้นหลายครั้ง ชนเผ่าต่างถิ่นเริ่มลองรุกรานและอาจบุกรุกข้ามเขตแดนเพื่อชิงเสบียงและทรัพย์สินสำหรับผ่านฤดูหนาว ที่เป็นเช่นนี้เพราะไม่ได้มีเพียงดินแดนจงหยวน[1]ที่ประสบภัยพิบัติ ทุ่งหญ้าทางเหนือก็ประสบภาวะแห้งแล้ง หนูและแมลงกัดกินจนพืชพรรณเสียหายหนัก ส่งผลต่อการเลี้ยงสัตว์ ชนเผ่าเหล่านี้จึงขาดอาหารจนต้องบุกเข้ามาชิงของในแผ่นดินจงหยวน
เมื่อได้ยินว่าจะเกิดสงคราม ขุนนางทั้งหลายต่างตื่นตระหนก ไม่มีเงิน ไม่มีเสบียง จะทำศึกได้อย่างไร
เสนาบดีลิ่นที่ปวดหัวหนักอยู่ ตอนที่เขาเห็นนกกระเรียนกระดาษที่สามารถพูดจาฉอดๆ ต่อหน้าเขา ก็แทบจะเป็นลมด้วยความตกใจ แต่เรื่องที่ยิ่งทำให้เขาตกใจหนักกว่าเดิมก็คือเนื้อความในข่าวสารที่นกกระเรียนกระดาษนำมา
ศึกใหญ่ซีเป่ยกำลังจะเกิดขึ้น
การทำศึกในยามที่ท้องพระคลังว่างเปล่า ถือเป็นภัยพิบัติครั้งใหญ่
ความจริงแม้ฉินหลิวซีไม่เอ่ยออกมา เสนาบดีลิ่นก็รู้สึกว่าบ้านเมืองกำลังเข้าสู่ภาวะวุ่นวาย เพราะปีนี้โชคชะตาของแผ่นดินดูเหมือนจะตกต่ำลงเรื่อยๆ ภัยพิบัติเกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้แต่ท้องพระคลังที่มั่งคั่งก็ยังไม่อาจรองรับสถานการณ์เช่นนี้ได้
สถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้ ทำให้เขาหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะนึกถึงความเป็นไปได้ที่ศัตรูจากภายนอกจะฉวยโอกาสนี้รุกราน ไม่ว่าด้วยเหตุภัยพิบัติหรือด้วยความโลภที่มีมาแต่เดิม นี่ล้วนเป็นโอกาสที่ดีเยี่ยม ยิ่งไปกว่านั้นคือพวกนอกด่านกำแพง
ดั่งคำกล่าวที่ว่า “ผู้ไร้การวางแผนระยะยาว ย่อมกังวลในปัจจุบัน” เสนาบดีลิ่นในฐานะขุนนางผู้ใหญ่ มองเห็นปัญหานี้มาแต่แรก เพียงแต่เขาไม่คาดคิดว่ามันจะมาถึงรวดเร็วเพียงนี้
เมื่อเสนาบดีลิ่นกราบบังคมทูลต่อหน้าพระที่นั่งว่าเขตแดนซีเป่ยอาจเกิดศึกสงคราม รุ่งขึ้นก็มีราชสารด่วนแปดร้อยลี้ส่งมายังเมืองหลวงว่า ด่านหยางถูกชนเผ่าต่างถิ่นเข้าตี ปราการเมืองหนึ่งถูกยึด กองทัพสูญเสียกำลังพลห้าพันนาย ทั้งนี้เมื่อศัตรูเข้าประชิดเมือง ผู้รักษาการณ์อย่างหลิวอันกลับยังคงนั่งดื่มสุราเริงรมย์อยู่ในหอคณิกากับผู้ใต้บังคับบัญชา ละเลยราชการศึกจนปราสารเมืองพ่ายแก่ศัตรู
เหตุการณ์นี้สร้างความสั่นสะเทือนแก่ทั้งราชสำนัก
หลิวอันผู้นั้น คือญาติผู้พี่ของจ้าวอ๋อง บุตรชายคนโตของตระกูลหลิว รองหัวหน้าสำนักปกครองในตอนนี้ และยังเป็นหลานของพระสนมซูเฟย
จ้าวอ๋องใบหน้าซีดเผือด คุกเข่าลงกลางท้องพระโรงกราบทูลขอพระราชทานอภัยโทษ ความผิดครั้งนี้ร้ายแรงยิ่งนัก การละเลยราชการเพื่อเสพสุขจนเสียเมืองนั้น เป็นโทษหนักไม่อาจให้อภัย ไม่ง่ายเลยกว่าเขาจะจัดการวางเจ้าเด็กนั่นให้อยู่ในตำแหน่งนั้นได้ ยังไม่ทันได้ใช้งานเขา ตนก็พลอยโดนร่างแหไปด้วย เจ้าโง่นี่
เขารู้ตั้งนานแล้ว พวกคุณชายเหล่านี้มือเท้าอ่อนแรงทำได้เพียงออกแรงบนตัวสตรี เมื่อมาอยู่ในสนามรบจริง ประโยชน์อันใดก็ใช้ไม่ได้ ทำเป็นเพียงใช้อำนาจบาตรใหญ่
ถุย
ดวงตาเหยี่ยวแหลมคมของแม่ทัพอาวุโสเฉวียน กวาดมองจ้าวอ๋องเล็กน้อย ทูลขอฝ่าบาทออกรบด้วยตนเอง จะต้องขับไล่เหล่าปีศาจกลับสู่ดินแดนบรรพชน ชิงคืนแผ่นดินต้าเฟิง ไม่ปล่อยให้เสียทั้งเมืองหรือตำบลแม้เพียงแห่งเดียว
ใบหน้าของฮ่องเต้ประดับด้วยความเย็นชาราวกับย้ำแข็ง หัวใจเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว เขากำลังเตรียมพิธีบูชาสวรรค์อยู่แล้ว ตอนนี้กลับได้รับการรายงานด่วนว่าซีเป่ยมีศึกสงคราม สูญเสียปราการแก่ศัตรู นี่ถ้าไม่ส่งทหารไปชิงคืนจะไม่คิดว่าเขาขี้ขลาดหรือ
แต่จะยกทัพศึก ต้องเคลื่อนเสบียงก่อนเสมอ ปีนี้ฟ้าฝนวิปริต การเก็บเกี่ยวพืชผลไม่ดีนัก ข้าวปลาอาหารมีน้อย ทว่าศึกยังต้องรบ เงินทองจะไปหาได้จากที่ใดเล่า
เขาทำพิธีบูชาฟ้า ยังต้องใช้ทรัพย์มหาศาล ทุกแห่งหนล้วนต้องการเงินทอง เช่นนี้ใครเล่าจะมอบให้
เมืองที่เสียไปนั้น เป็นฝีมือญาติผู้พี่ของจ้าวอ๋อง ต่อให้หลิวอันนั่นไม่ถูกสังหารฟันตกหลังม้า เขาก็จะจับเขาฉีกเป็นห้าท่อนด้วยม้า ยามนี้คนตายแล้ว เช่นนี้ก็ดี จะได้ยึดทรัพย์ช่วยเติมคลังแผ่นดิน
ฮ่องเต้ด่าจ้าวอ๋องเสียจนสิ้นท่า จากนั้นมีราชโองการ หลิวอันซึ่งเป็นแม่ทัพใหญ่ปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง ทุจริต เหลวแหลกในกามารมณ์จนเสียเมือง ทหารต้องสังเวยชีพ ให้ลงโทษประจานศพ ลงโทษเฆี่ยนศพ หลิวฝู่เฉิงไม่อบรมสั่งสอนลูกหลานให้ดี ใช้อำนาจทุจริตระหว่างรับราชการ ให้ถอดยศตำแหน่งโบยสามสิบ บุรุษในตระกูลหลิวให้เนรเทศไปยังแดนกันดารไกลสามพันลี้ ส่วนสตรีในตระกูลทั้งหมดให้ส่งตัวไปเป็นนางคณิกาของทางการ ทรัพย์สินทั้งหมดริบเข้าคลังหลวง เพื่อชดเชยให้แก่ทหารที่เสียชีวิตในสนามรบ
สีหน้าจ้าวอ๋องซีดเผือด โทษริบทรัพย์และเนรเทศยังพอทน แต่การบังคับให้สตรีในตระกูลหลิวไปเป็นนางคณิกานั้น ครอบคลุมถึงท่านน้าของเขาด้วย เสด็จพ่อไม่ไว้หน้าเขาสักนิด และยังไม่ไว้หน้าแก่ตระกูลติ้งซีโหวซึ่งเป็นญาติของเสด็จแม่แม้แต่น้อย
ยังไม่ทันเอ่ยจบ ฮ่องเต้ยังให้เขานำกำลังคนไปบุกยึดทรัพย์ตระกูลหลิวด้วยตนเอง ยังเอ่ยหนึ่งประโยค ได้ยินว่าเหล่าพ่อค้าบางคนนำเงินมามอบให้หลิวฮูหยินเพื่อประจบเอาใจ เงินทองที่ส่งมาเกินห้าแสนตำลึง เขาต้องได้เห็นทรัพย์สินเหล่านั้นทั้งหมดโดยไม่ให้ขาดตกบกพร่องแม้แต่ตำลึงเดียว
ร่างจ้าวอ๋องสั่นเทา ตระกูลหลิวมีเงินทองมากมายเพียงนี้หรือไม่ ใจเขารู้ดี เสด็จพ่อบอกว่ามี นั่นคือต้องมี ถ้าไม่พอ ผู้ใดเติม แน่นอนย่อมไม่พ้นผู้ที่ถูกชี้หน้ามอบหมายภาระอันหนักหน่วงนี้เช่นเขา
ใครใช้ให้ตอนนี้พระคลังหลวงร่อยหรอขาดเงิน เครือญาติมารดาของเขาก็มาชนเข้ากับกระดานเหล็กเข้าพอดี ไม่รีดทรัพย์เขาจะไปรีดทรัพย์ใครได้อีก
เมื่อกรมคลังได้ยินคำสั่งให้ริบทรัพย์สิน เสนบดีเฉียนแห่งกรมคลังก็ส่งสัญญาณให้กับลูกน้องของตนทันที ชุยซื่อเสวียก็มิได้รีรอ เขารีบลุกขึ้น แสดงท่าทีตำหนิคนอย่างหลิวอันรุนแรง จากนั้นเขายินดีติดตามจ้าวอ๋องไปริดทรัพย์ตระกูลหลิวจะไม่ให้รอดพ้นจากคลังไปแม้แต่เหรียญทองแดงเดียวอย่างแน่นอน
สังหารคนทำลายจิตใจ
จ้าวอ๋องมองไปยังชายผู้แซ่ชุยด้วยสายตาเคียดแค้น กลัวว่าเขาจะเห็นแก่ตระกูลหลิว เก็บซ่อนสมบัติเอาไว้ให้อย่างนั้นหรือ
ชุยซื่อเสวียหันไปมองอย่างไม่ใส่ใจ เบนสายตาไปยังที่อื่นราวกับไม่เห็นสายตานั้น ล้อเล่นเถอะ ห้าแสนตำลึงเลยนะ เข้าพระคลังโดยไม่หลุดรอดแม้เพียงนิดถึงจะดี โดยเฉพาะหากต้องทำสงครามก็ต้องหาเงินเข้าพระคลังให้มากเข้าไว้ หากไม่มีเงินพวกเขาจะกลายเป็นคนไร้หัวจริงแน่
เขาแทบอยากให้ฝ่าบาทลงโทษขุนนางตะกละให้มากกว่านี้ ริบทรัพย์พวกเขาหลายตระกูล เรื่องบุกยึดทรัพย์เขาถนัดนัก
จ้าวอ๋องอยากบอกว่าไม่รบกวนกรมพระคลัง ตนจัดการเองได้ แสดงท่าทีว่าไม่มีทางเป็นพวกเดียวกับคน
แต่ว่า ฝ่าบาทมีรับสั่งมาแล้ว
เมื่อเทียบกับตระกูลหลิวเขาให้ความสำคัญกับเงินทองมากกว่า ใครจะรู้ว่าเจ้ารองจะมีความสงสารตระกูลหลิวหรือไม่ หลับตาข้างหนึ่งเพื่อทิ้งสมบัติเอาไว้ให้ ให้ชุยซื่อเสวียคอยตรวจสอบจับตาเอาไว้ดีที่สุด
ส่วนเมืองที่เสียไปนั้น เขามีพระราชโองการให้แต่งตั้งเฉวียนจิ่งเป็นแม่ทัพใหญ่ นำทัพไปที่ด่านหยางเพื่อทวงคืน
แม่ทัพอาวุโสเฉวียนสีหน้าไม่น่ามองหลายส่วน เลือกเขาให้ไปทำสงครามไม่มีปัญหา แต่เสบียงอาหารเล่า อย่างน้อยต้องเอาออกมาก่อน ไม่มีของเหล่านี้จะทำสงครามอย่างไร โดยเฉพาะยามอากาศเย็นเยี่ยงนี้ ทหารกินไม่อิ่ม มือเท้าอ่อนแรง วิ่งไม่ออก จะรบอย่างไร
เสนาบดีลิ่นเบนสายตามายังฉีเชียน จากนั้นเอ่ยถึงเสบียงอาหาร โดยเฉพาะเพิ่งทำสงครามพ่ายแพ้ สูญเสียปราการ เพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้ทหาร ต้องให้พวกเขารู้สึกว่าราชสำนักไม่ได้ทอดทิ้งเมืองในซีเป่ยทุกเมือง ดังนั้นเสบียงต้องส่งไปซีเป่ย เพื่อให้จิตใจทหารมั่นคง มีความฮึกเหิม
ฉีเชียนก้าวออกมาจากแถว ยกมือประสาน เอ่ย “ฝ่าบาท กระหม่อมยินดีนำเสบียงไปส่งให้ทหารที่ซีเป่ย เพื่อช่วยให้เหล่าแม่ทัพได้ชิงแผ่นดินของต้าเฟิงกลับคืนมา ยินดีกู้แผ่นดิน ปกปักรักษาภูผาและสายน้ำเพื่อฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
จ้าวอ๋องใบหน้ากระตุก เจ้าเด็กนี่ เจ้าลูกนอกสมรสนี้หาโอกาสจนได้ จะบอกว่าเขาไม่มีความโลภในใจ ผู้ใดจะเชื่อ
ฮ่องเต้มองหน้าฉีเชียน มองเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยของตนจากใบหน้าของเขา ยามนี้เห็นรอยยิ้มในดวงตาของเขา จากนั้นมองเจ้าสองที่คุกเข่ากัดฟันอยู่บนพื้น รวมถึงเจ้าสามที่กำลังยืนเหม่อลอย เส้นเลือดที่ขมับเต้นตุบตับขึ้นมา
ไม่รู้ฮ่องเต้กำลังคิดสิ่งใด รับสั่งอนุญาต แล้วยังให้กรมคลังให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ จากนั้นให้กรมพิธีการเตรียมตัวกับพิธีบูชาสวรรค์ นี่เป็นสิ่งจำเป็น
เสนาบดีเฉียน เราริบทรัพทย์เพิ่มอีกสักตระกูลสองตระกูลดีหรือไม่ ห้าแสนตำลึงไม่พอจริงๆ
การว่าราชการยามเช้าเสร็จเรียบร้อย จ้าวอ๋องเดินมาหยุดอยู่ข้างฉีเชียน แสยะยิ้มเย็น “เจ้าไม่พลาดโอกาสแม้เพียงเล็กน้อยจริงๆ”
ฉีเชียนเอ่ยตอบเสียงเรียบ “ตอนพี่รองริบทรัพย์ อย่าได้ปรานี มิเช่นนั้นฝ่าบาทจะยิ่งให้ท่านชดเชยมากขึ้น อย่างไรหลิวอันก็ทำให้สูญเสียปราการ ทหารตายไปถึงห้าพันคน”
“เจ้า!” จ้าวอ๋องโกรธจนแทบกระทืบเท้า
ฉีเชียนยกมือขึ้นประสาน กำลลังจะเดินหนี ทว่าถูกขันทีข้างกายฮ่องเต้เรียกเอาไว้ บอกว่าฝ่าบาทมีรับสั่งให้เข้าเฝ้า
จ้าวอ๋องเห็นฉีเชียนที่ตรงไปยังตำหนักตำหนักจงฉิน ใบหน้าทะมึนเป็นก้นหม้อ ชุยซื่อเสวียที่ตามติดเป็นเงาก็เดินเข้ามา เร่งรัดให้เขาไปริบทรัพย์
บัดซบ ไม่ได้เรื่องทั้งนั้น
ไม่ไกลนัก ฉีซานหรือก็คือเฉิงอ๋องกระทุ้งศอกเบาๆ ใส่ลูกพี่ลูกน้องลู่สวิน เอ่ย “พี่สวิน ท่านไม่รู้สึกหรือว่า พี่รองกับฮ่าวหรานชักจะดูแปลกๆ สองคนนี้ยิ่งดูยิ่งเหมือนจะไม่ลงรอยกันเสียแล้ว”
ลู่สวินหรี่ตาลงเล็กน้อย เอ่ย “เจ้าจริงๆ แล้วเป็นอ๋องผู้มั่งคั่งอยู่ว่างๆ ก็พอแล้ว อย่าไปแย่งชิงตำแหน่งอะไรนั่นเลย ไม่แน่ว่าอาจมีอายุยืนยาวถึงร้อยปีก็เป็นได้” ไม่ต้องเปลืองสมองให้เหนื่อย
รัชทายาทถูกปลดจากตำแหน่ง บรรดาพระโอรสของฮ่องเต้ที่เหลือ มีเพียงพี่รองกับพี่สาม ส่วนที่เหลือ บ้างก็สิ้นพระชนม์ บ้างก็ยังทรงพระเยาว์ ไร้ความสามารถที่จะรับภาระอันใหญ่หลวง
แต่กระนั้น ก็ยังมีอีกผู้หนึ่งที่บรรลุนิติภาวะแล้ว อีกทั้งรูปโฉมยิ่งดูยิ่งคล้ายฮ่องเต้ขึ้นทุกวัน คนในวังผู้นั้นยังคิดจะรับเลี้ยงให้เป็นบุตรบุญธรรมอีก
เฮอะ
เมื่อถูกรับเลี้ยงแล้ว ก็ย่อมหมายความว่ามีสิทธิ์อันชอบธรรมโดยสมบูรณ์มิใช่หรือ
เฉิงอ๋องเอ่ย “พี่สวิน ข้ารู้สึกว่าท่านนี่แหละดูถูกข้า ท่านคงคิดว่าข้าไร้ความสามารถสินะ”
“เปล่า”
เฉิงอ๋องแสยะยิ้ม กำลังจะเอ่ยอะไรบางอย่าง ทว่ากลับได้ยินลู่สวินเอ่ยแทรกขึ้นก่อน “เพราะเจ้าไม่มีโชคดีเท่าผู้อื่นต่างหาก”
ทุกเรื่องที่เขาสืบมาล้วนแต่ชี้ไปที่ฉีเชียนอย่างชัดเจน คนพวกนั้นแทบจะป้อนข้าวใส่ปากเขาก็ว่าได้
เฉิงอ๋องไม่ยอมรับ ในเมื่อเขาคือโอรสผู้ชอบธรรม จะเรียกว่าขาดวาสนาได้อย่างไร
ถึงจะเป็นเช่นนั้น ก็ต้องโทษเหล่าพวกนักทำนายที่คอยกำหนดชะตากรรมให้ผิดเพี้ยน
ลู่สวินหันมองไปยังตำหนักจงฉิน ดูท่าว่าเขาคงต้องกลับไปหารือกับเสด็จแม่เสียแล้ว ตอนนี้ฝ่ายต่างๆ ในราชสำนักเริ่มแบ่งแยกออกอย่างชัดเจน
ภายในวัง ความวุ่นวายในราชสำนักดำเนินต่อไป ฉินหลิวซีรู้เรื่องราวส่วนหนึ่งผ่านทางราชครูหุ่นเชิดที่ถูกทิ้งไว้ในวังหลวง ทว่าหาได้ใส่ใจไม่ กระทั่งเมื่อราชครูบอกว่าฮ่องเต้มีความตั้งใจที่จะประกอบพิธีบูชาสวรรค์ที่สิ้นเปลืองอย่างยิ่ง นางจึงเงยหน้าขึ้นมองดวงดาวฮ่องเต้พลางขมวดคิ้ว
ดวงดาวฮ่องเต้หมองมัวไร้แสง นี่เป็นลางร้าย เขากำลังรนหาที่ตายหรืออย่างไร
ถ้อยคำที่ดีไม่ควรเกลี้ยกล่อมคนสมควรตาย ทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวเขาเอง
“ถึงแล้ว นั่นคือเจดีย์ผีขอรับ” ราชาผีตงฟางดึงสติฉินหลิวซีกลับมา ชี้ไปยังเบื้องหน้า
[1] ที่ราบภาคกลาง ดินแดนตอนกลาง
………………..