คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1174 ทำลายเจดีย์ผี วิญญาณแค้น
ตอนที่ 1174 ทำลายเจดีย์ผี วิญญาณแค้น
………………..
ตามที่ราชาผีตงฟางเอ่ย ฉินหลิวซีก็สัมผัสได้ถึงพลังอาฆาตรุนแรงที่พุ่งเข้ามา ดุจดั่งคมดาบน้ำแข็งอันแหลมคมที่กรีดแทงทั่วร่าง พลังเย็นเยือกซึมลึกเข้าสู่เส้นชีพจร ทะลุถึงกระดูกทุกชิ้นในร่างกาย
ฉินหลิวซีส่งเสียงหึเย็นชา พลังจิตสะกิดเคลื่อนไหว ไฟนรกพลันพุ่งเข้าสู่เส้นชีพจร พลังหยินมลายหายไป บางครั้งอาจเพราะพลังของนางร้อนเกินไป รอบข้างนาง พลังอาฆาตนั้นไม่กล้าย่างกรายเข้ามาใกล้
ราชาผีตงฟางที่เดิมกำลังหลงใหลในพลังหยินนี้ เดิมเขาก็เป็นผี แน่นอนว่าสำหรับเขาพลังหยินเป็นของบำรุงได้ดี ดังนั้นจึงมัวเมาอยู่บ้าง แต่ทันทีที่พลังของฉินหลิวซีกระจายออกมาเขาพลันมีสติ เขาก็รู้สึกตัวว่าเกือบจะถูกพลังของเจดีย์ผีดึงดูดให้หลงใหล
เขามองฉินหลิวซีด้วยความหวาดหวั่น สบสายตาเย้ยหยันของนาง เอ่ย “มันเป็นฝ่ายล่อลวงข้าเอง”
“ระวังตัวไว้ หากเจ้าถูกมันดูดกลืนไป ข้าก็ทำได้เพียงหลอมเจ้าเสีย” ฉินหลิวซีเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์
ฟังสิ นี่มันคำพูดของคนจริงหรือ
ราชาผีตงฟางเอ่ย “ข้านำทางมาถึงแล้ว ขอตัวไปก่อนแล้ว อย่างไรท่านก็ไม่จำเป็นต้องใช้งานข้า รูปสลักสัตว์หินเหล่านั้นข้าจะให้ผีเล็กๆ เบื้องล่างไปตามหา”
เขาเอ่ยจบก็รีบหายตัวไปทันที
ฉินหลิวซีหัวเราะเบาๆ แต่ไม่ได้ว่าอะไร ต่อให้ราชาผีตงฟางไม่หนี นางก็จะไล่เขาไปอยู่ดี บรรยากาศของที่นี่แม้จะดึงดูดวิญญาณผีร้าย แต่หากใครหลงใหลในพลังอันอาฆาตนี้เข้า วิญญาณที่อ่อนแอจะกลายเป็นอาหารให้เจดีย์ผี
ฉินหลิวซีมองไปข้างหน้า เห็นกลางทะเลทรายรกร้าง มีเจดีย์สูงเจ็ดชั้นดำสนิทตั้งตระหง่านขึ้นจากเนินทราย แม้จะปลดปล่อยพลังน่ากลัวและชั่วร้าย แต่ในสายตาของคนธรรมดา มันกลับดูงดงามราวกับความฝัน ช่างบริสุทธิ์ไร้ที่ติ ดุจดังดอกลำโพงที่เย้ายวนให้ผู้คนเข้าใกล้
แต่ในสายตาของฉินหลิวซี มันเต็มไปด้วยดวงวิญญาณที่กรีดร้องโหยหวน พยายามดิ้นรนหลบหนี ยิ่งดิ้นรนก็ยิ่งถูกบดขยี้จนแหลกสลาย ความแค้นที่ไม่ได้รับการปลดปล่อยหลังความตายกลายเป็นพลังอันอาฆาตที่แผ่ซ่านปกคลุมไปทั่ว
เรียกได้ว่า หากคนธรรมดายืนอยู่ในพื้นที่นี้ พลังอาฆาตจะบีบบังคับให้พวกเขาคลุ้มคลั่งจนตายอย่างแน่นอน
“เจดีย์ผีนี้ช่างน่ากลัวนัก” เฟิงซิวเอ่ย “ข้าสัมผัสได้ถึงพลังของสิ่งมีชีวิตอันชั่วร้ายอยู่ในนั้น”
ฉินหลิวซีเอ่ย “มันแปลงวิญญาณภูตผีปีศาจทั้งปวงให้กลายเป็นพลังอาฆาต ยิ่งดูดกลืนมาก มันก็ยิ่งแข็งแกร่ง พลังอาฆาตที่แผ่ออกไปเปรียบดั่งรากของต้นไม้ใหญ่แห่งความตาย ที่ใดที่มันแผ่ขยายไป สิ่งมีชีวิตทั้งหลายย่อมไม่มีทางรอด วิญญาณของพวกมันถูกดูดกลืนมาเสริมพลัง และรากนั้นก็ยิ่งแผ่ขยาย…”
เฟิงซิวขมวดคิ้ว เอ่ย “ไม่ใช่ว่ายังไม่ถึงเวลาหรือ เหตุใดจึงตั้งจุดศูนย์กลางค่ายอาคมไว้ที่เจดีย์ผีนี้ หรือว่าเขาต้องการรีบดูดกลืนวิญญาณเพื่อทำพิธีบูชาสวรรค์”
ฉินหลิวซีครุ่นคิดถึงพลังอาฆาตที่กำลังแผ่ขยาย ความคิดบางอย่างแวบผ่านในหัวของนาง “บางครั้งพวกนักพรตร้ายก็ใช้วิธีหลอกลวงชาวบ้านผู้โง่เขลา ล้างสมองพวกเขาให้เชื่อว่าการอุทิศตนแก่ศาสนาจะมอบสิ่งที่พวกเขาปรารถนา ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงยอมอุทิศทรัพย์สิน ชีวิต และจิตวิญญาณด้วยความสมัครใจ เพื่อบูชาสิ่งที่พวกเขาเชื่อมั่น เจ้าต้องรู้ว่าวิญญาณที่อุทิศตนโดยสมัครใจนั้นมีพลังยิ่งกว่า และเปี่ยมด้วยความศรัทธา”
“ท่านหมายความว่า เจดีย์ผีนี้คือกับดักที่ล่อลวงให้ผู้คนอุทิศตนโดยสมัครใจหรือ”
“ราชาผีตงฟางเพียงแค่ยืนอยู่ตรงนี้ยังเกือบถูกพลังนี้ครอบงำ นี่แสดงว่ามันไม่ได้เป็นเพียงพลังอาฆาตธรรมดา แต่ยังเจือด้วยพลังมาร คนธรรมดามองไม่เห็นอันตราย เกรงว่าในสายตาของพวกเขา กลับคิดว่ามันเป็นเจดีย์สวรรค์ที่ศักดิ์สิทธิ์ หลังจากลุ่มหลง พวกเขาถูกหลอกให้ยอมตายเพื่อมัน ยิ่งเจดีย์ผีมีพลังมากขึ้น การแผ่ขยายยิ่งรุนแรง หากปล่อยไว้ ดวงตาของค่ายอาคมนี้เพียงขยับ พลังอาฆาตจะแพร่กระจายราวกับพิษ เจ้าคิดว่าผู้คนในดินแดนซีเป่ยจะเป็นเช่นไร พวกเขาย่อมถูกครอบงำจิตใจแล้วอุทิศตนโดยไม่รู้ตัวใช่หรือไม่” ฉินหลิวซีหลุบตาลง สัมผัสนิ้วชี้มือซ้าย น้ำเสียงเย็นยะเยือกดุจน้ำแข็ง เอ่ย “กระบวนการเป็นเช่นไรไม่สำคัญ เขาต้องการเพียงผลลัพธ์ก็พอแล้ว”
เฟิงซิวเข้าใจแล้ว เอ่ย “หมายความว่า เจดีย์ผีนี้คือ ‘ต้นไม้กินคน’ ที่เขาปลูกไว้ ยิ่งมันดูดกลืนสิ่งมีชีวิตมากเท่าใด มันก็ยิ่งแผ่ขยาย พลังอาฆาตดั่งรากต้นไม้ที่เลื้อยพัน มันต้องการทำลายทั้งซีเป่ยก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้”
ฉินหลิวซีพยักหน้าเบาๆ
แม้จะรู้สึกตกใจเล็กน้อย แต่เฟิงซิวก็อดที่จะถามไม่ได้ เอ่ย “สมองของเขานี่มันเป็นอย่างไรกัน มีมากกว่าพันแผนการเลยหรือ”
“นั่นคือพระที่มาเกิดใหม่ในยุคที่ผู้คนต่างฝึกบำเพ็ญเซียนและปฏิบัติทั้งพุทธและเต๋าในเวลาเดียวกัน เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า”
“เกินจริงไปหน่อยหรือไม่ หรือว่าน้ำแกงยายเมิ่งถูกเจือจางจนเสียคุณภาพแล้วหรือ” เฟิงซิวเอ่ยอย่างไม่พอใจ เขาในตอนนี้แม้จะเป็นเพียงปีศาจตนหนึ่ง แต่ในยุคฝึกเซียนก็อาจเคยเป็นปีศาจที่ทรงพลังที่สุดเหมือนกัน การกลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง คงไม่น่าจะเก่งเพียงนี้
ฉินหลิวซีเอ่ย “ความจริงก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร หากพวกเราอยากทำก็สามารถทำได้เช่นกัน เพียงแต่มีสิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำเท่านั้น”
การดึงพลังชีวิตของผู้อื่นมาใช้ประโยชน์สำหรับตัวเองนั้น ไม่ใช่ว่าเต๋าจะทำไม่เป็น แต่เป็นเพราะพวกเขาเลือกที่จะไม่ทำเท่านั้น
เฟิงซิวถอนหายใจ “ไม่มีศีลธรรมจริงๆ ชนะขาดลอยไปเลย”
“ไปเถิด ไปดูสักหน่อย”
ก่อนหน้านี้นางใช้วิชาการเดินซึ่งทำให้ย่อระยะทางเป็นเพียงไม่กี่ชุ่น ระยะทางของเจดีย์ผีดูแล้วไม่ไกลเพียงนั้น นางใช้วิชานี้ก็ควรถึงแล้ว แต่ความเป็นจริงพวกเขากลับยังอยู่ที่เดิม
เฟิงซิวก็สังเกตเห็นถึงความผิดปกติ เขาหัวเราะเย็น “นี่เป็นเพราะเขาวางค่ายกลลวงตาไว้ หรือเป็นวิชาลวงตาของเจดีย์ผีนี้”
“คำถามที่ไม่มีคำตอบ ลงมือก็จบแล้ว” ฉินหลิวซีหยิบไม้จินกังออกมา ก้าวเท้าอย่างมั่นคง พลางพึมพำคาถา นิ้วทั้งสองลากผ่านไม้จินกัง มีแสงสีทองส่องประกาย นางกระทืบเท้าแรงๆ พร้อมยกไม้ฟันเฉียงลงไปด้วยพลังและตะโกนอย่างดุดัน “จงแตกสลาย”
แสงทองเปล่งประกายเจิดจ้า พื้นดินสั่นสะเทือน
ม่านอาคมที่มองไม่เห็นถูกทำลาย พลังเย็นยะเยือกและอาฆาตอันหนาแน่นพุ่งออกมาเหมือนพายุหมุน พยายามจะโอบล้อมทั้งสองคน แต่กลับเหมือนเจอพลังที่น่ากลัวจนต้องหลีกทางเอง
ทั้งสองมองเห็นภาพเบื้องหน้าอย่างชัดเจน เจดีย์ผีที่ตอนแรกดูเหมือนอยู่ไกล ตอนนี้กลับอยู่ใกล้แค่เอื้อม และใต้เท้าของพวกเขาคือกระดูกขาวโพลนซึ่งเต็มไปด้วยพลังอาฆาตเย็นยะเยือกที่แผ่ออกมาจากกระดูกเหล่านั้นจนหนาวจับขั้วหัวใจ
ฉินหลิวซีเงยหน้ามองเจดีย์ผีตรงหน้า เอ่ย “แท้จริงแล้วนี่คือโฉมหน้าที่แท้จริงของเจดีย์ผี มันถูกเรียกว่าเจดีย์ผี ก็นับว่าเหมาะสมแล้ว”
เฟิงซิวเงยหน้ามองเพียงแวบเดียว ก่อนจะดึงตัวนางถอยหลังไปหนึ่งก้าว
บ้าเอ๊ย น่าขยะแขยงชะมัด
นี่จะเรียกว่าเจดีย์อะไรอะไร มันชัดเจนว่าเป็นหอที่สร้างจากกระดูกมากมายซ้อนกันเป็นชั้นๆ กระดูกเหล่านี้ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตายมานานปีหรือถูกพลังอาฆาตกลืนกินจนกลายเป็นสีดำปนแดง และสีแดงนั้นก็คือร่องรอยของเลือดที่รดลงบนกระดูก กระดูกเหล่านี้ยังคงมีเศษเลือด เนื้อ และอวัยวะติดอยู่ บนกระดูกยังมีวิญญาณหลงเหลืออยู่ กรีดร้องด้วยความทุกข์ทรมานและเต็มไปด้วยความอาฆาต
เจดีย์ผีกินคน
มันกลืนกินคนมากมาย ใช้เลือดเนื้อของพวกเขาเป็นอาหารหล่อเลี้ยงเจดีย์ กระดูกของพวกเขากลายเป็นวัสดุ และวิญญาณถูกกักขังจนหนีไม่พ้น สุดท้ายก็กลายเป็นพลังอาฆาต พอมองดูใกล้ๆ เหมือนมีหัวมนุษย์นับไม่ถ้วนที่เปิดปากใหญ่ กำลังเคี้ยวเนื้อ เลือด และร้องโหยหวน เศษเนื้อร่วงหล่นจากปากพวกมัน น่าขนลุกเป็นที่สุด
เฟิงซิวถอยหลังไปอีกก้าว เสียง กรอบแกรบ ดังขึ้น เมื่อเขาก้มลงมอง ก็เห็นว่าเขาเหยียบกะโหลกศีรษะจนแตก และใต้เท้าของพวกเขา ยังคงเป็นกระดูกสีขาวที่เต็มไปด้วยพลังอาฆาตหนาวยะเยือก
เฟิงซิว “…”
ถ้าเขาตอนนี้แกล้งทำเป็นตกใจกลัว แล้วโผเข้าไปกอดฉินหลิวซีพลางร้องโหยหวน จะดูเล่นใหญ่เกินไปหรือไม่
“ดังนั้น เมื่อคนพวกนี้เห็นเจดีย์ผีแล้วเดินเข้าไปหา ก็เท่ากับก้าวเข้าสู่กรงขังสำหรับล่าของมันโดยสมบูรณ์ ช่างชั่วร้ายสิ้นดี” น้ำเสียงของนางเย็นยะเยือก ราวกับพลังอาฆาตที่แผ่ออกมาจากเจดีย์
เฟิงซิวมองเจดีย์ผีที่ปลดปล่อยพลังชั่วร้ายออกมาทุกทิศทางด้วยความรังเกียจพลางเอ่ย “ถ้าปล่อยให้มันกลืนกินแบบนี้ต่อไป เกรงว่าบริเวณนี้คงกลายเป็นแดนผีไปทั้งแถบ”
ฉินหลิวซีเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ฝันไปเถิด”
นางดีดปลายเท้าขึ้น ทะยานไปด้านบน ใช้กะโหลกบางอันเป็นจุดพักเท้าแล้วไต่ขึ้นไปเรื่อยๆ
ขณะเดียวกัน เฟิงซิวดีดนิ้วเบาๆ รวบรวมกระดูกสีขาวที่กระจัดกระจายรอบๆ ให้มารวมกันเป็นกองอยู่ด้วยกัน
ยิ่งไต่ขึ้นไปสูงเท่าไร ฉินหลิวซียิ่งสัมผัสได้ถึงพลังอาฆาตที่ดุดันและโหดเหี้ยม นางไต่ขึ้นไปจนถึงยอดสูงสุดอย่างรวดเร็ว พบกับฉงฉี สัตว์อสูรโบราณแสนดุร้าย มันจ้องมองนางด้วยสายตาอาฆาต ก่อนพุ่งเข้าใส่พร้อมอ้าปากกว้าง
เจดีย์ผีก็เริ่มขยับเคลื่อนไหวเช่นกัน
พลังอาฆาตแปรเปลี่ยนเป็นคมดาบ แผ่ขยายออกโดยไร้ความปรานี หมายสังหารสิ่งมีชีวิตในรัศมีหลายลี้
เฟิงซิวสะบัดแขนเสื้อ ปล่อยพลังจิตออกไปเพื่อกั้นพลังอาฆาต พร้อมกับใช้พลังปีศาจสร้างมิติพิเศษขึ้นมาปิดกั้นพื้นที่ทั้งหมด
แต่สิ่งที่เขาไม่คาดคิดคือ การกระทำของเขาทำให้เจดีย์ผีเกิดอาการปั่นป่วน เสียงกระดูกดังกรอบแกรบ พร้อมปรากฏเงาผีขนาดมหึมาโผล่ออกมา พุ่งเข้ามาครอบคลุมตัวเขาไว้ พลังผีแปรเปลี่ยนเป็นคมลมล้อมรอบตัวเขา
เฟิงซิวสัมผัสได้ถึงพลังผีที่แฝงด้วยพลังปีศาจซึ่งเต็มไปด้วยความอาฆาตของเผ่าพันธุ์เดียวกัน ใบหน้าที่งดงามของเขาแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม “เจ้ากินทุกอย่างจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ ปีศาจ หรือผี เจดีย์ผีหรือ เรียกเจ้าว่าเจดีย์ปีศาจยังจะเหมาะสมกว่า”
พลังปีศาจของเขาพุ่งสูงขึ้น เขาเงยหน้าร้องคำรามยาว เสียงร้องแหลมเสียดแทงแปรเปลี่ยนเป็นคลื่นเสียง โจมตีไปยังลมที่มีความคม
เมื่อพลังที่ไร้รูปร่างปะทะกัน เจ้ามีคมลม ข้ามีเสียงโจมตี มาดูกันว่าผู้ใดจะเหนือกว่า
พลังแห่งราชาปีศาจ ย่อมไม่ใช่สิ่งที่มองข้ามได้
เพราะเสียงโจมตีจากคลื่นเสียงนั้น พลังลมของผีที่ก่อตัวเป็นคมลมถูกทำลายจนกระจัดกระจายออกไปทุกทิศทาง
ขณะนั้นเอง ฉินหลิวซีถูกเจ้าสัตว์หินฉงฉีโถมใส่ นางไม่รอช้าชกสวนไปหนึ่งหมัดจนมันชะงักนิ่ง
เจดีย์ผีเริ่มสั่นสะเทือน ความอาฆาตแผ่ขยายไปทั่ว เจ้าสัตว์หินที่ถูกโจมตีเริ่มบ้าคลั่ง
ฉินหลิวซีเองก็ได้ยินเสียงกรีดร้องแหลมเล็กแฝงความทุกข์ทรมาน แม้ไม่มั่นใจว่ามีความเกี่ยวข้องกับเจดีย์ผีหรือไม่ แต่นางกลับหันเข้าประจันหน้ากับสัตว์หินโดยไม่คิดถอย
“มดปลวกเช่นเจ้า กล้าท้าทายดวงอาทิตย์และจันทรา ขัดขวางภารกิจสำคัญของข้าหรือ” เสียงเจ้าสัตว์หินเปล่งออกมาเป็นคำพูด พร้อมทั้งความอาฆาตที่กลายเป็นสายเส้นบางเฉียบแผ่ซ่านดั่งงูเลื้อยเข้าหานาง
เพียะ
ฉินหลิวซีใช้ไม้จินกังฟาดเข้าเต็มปากของมันจนมุมปากแตก นางหัวเราะเยาะ “เจ้าหินโสโครก คิดว่าพูดได้สองสามคำก็คิดว่าตัวเองเป็นคนหรือ”
เสียงคำรามอันเกรี้ยวกราดของสัตว์หินดังก้อง เจดีย์ผีสั่นไหวราวกับภูเขาใหญ่ถล่มใส่นาง
ทันใดนั้นพลังแห่งเต๋าที่แผ่จากร่างฉินหลิวซีกลายเป็นแสงทองเจิดจ้า เจดีย์กรีดร้องอย่างเจ็บปวด พาเอาดวงวิญญาณที่สิงสถิตในนั้นส่งเสียงคร่ำครวญ รัศมีไปไกลนับร้อยลี้
ในสนามรบที่ห่างออกไปนับร้อยลี้ สองกองทัพกำลังปะทะกันอย่างดุเดือด จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวนน่ากลัวจากเจดีย์ผี ท้องฟ้าที่เคยเป็นสีส้มยามเย็นกลับมืดมิดราวกับมีบางสิ่งปกคลุม สายลมเย็นยะเยือกทำให้เหล่าทหารต่างขนลุก เจ็บปวดหู
ทหารบางนายที่จิตใจอ่อนแอ ถึงกับหันปลายหอกแทงตัวเอง พลางกรีดร้องว่ามีผี
“เทพสวรรค์โกรธแล้ว” ชายร่างใหญ่ในชุดต่างเผ่านั่งอยู่บนหลังม้าสูงใหญ่สีหน้าตึงเครียด เมื่อเห็นพวกพ้องในกองทัพถูกเสียงร้องทำให้วิปลาสจนปลิดชีพตัวเอง เขาเป่าแตรสัญญาณสั่งถอนทัพทันที
ทหารในชุดทหารต้าเฟิงไม่ทันสนใจศัตรูถอนทัพ รีบคว้าตัวสหายที่กำลังทำร้ายตัวเองไว้
ในกองทัพ แม่ทัพผู้หนึ่งซึ่งมีใบหน้าที่เยือกเย็นดุดันดึงเครื่องรางหยกที่ร้อนผ่าวจากลำคอออกมา เมื่อมองเห็นว่ากระบวนทัพปั่นป่วนไร้ระเบียบ ทหารพากันทำร้ายตัวเองราวกับต้องมนตร์สะกด ท่ามกลางความเย็นเยียบที่แทงลึกถึงกระดูก จึงควบม้าพุ่งไปยังรถศึกที่บรรทุกกลองสงคราม กระโดดขึ้นไปยังรถศึก นำเครื่องรางหยกไปแขวนไว้ที่ขอของกลองศึก จากนั้นหยิบไม้ตีขึ้นมาเตรียมการ
ตึง ตึงตึง
เสียงไม้กระทบกลองดังก้องต่ำลึก ราวกับเสียงฟ้าร้อง ยามที่กลองสั่นสะเทือน เครื่องรางหยกก็สั่นไปด้วยเช่นกัน อักขระคาถาที่สลักเปล่งแสงสีทองแทรกลงกับเสียงกลองที่ดังกระหึ่ม
บรรดาทหารที่ได้ยินเสียงกลองเหมือนกับได้ฟังพระธรรมไล่ปีศาจจากฟากฟ้า จิตใจที่ฟุ้งซ่านคลุ้มคลั่งค่อยๆ สงบลง พวกเขาเริ่มมองไปรอบกายอย่างงุนงง
“ท่านแม่ทัพ ท่าน…” ทหารหญิงผู้หนึ่งร้องขึ้นด้วยความตกใจ มองไปยังชายเสื้อคลุมแม่ทัพ
ทุกสายตาในที่นั้นหันไปมองเช่นกัน เห็นได้ชัดเจนว่าบริเวณหน้าท้องของแม่ทัพหญิงนางนั้นนูนสูงขึ้นจนผิดปกติ สีหน้าของนางซีดขาวราวหิมะ เลือดสีแดงสดไหลหยดจากชายเสื้อคลุม ทว่าผู้เป็นแม่ทัพกลับเพียงแค่กัดริมฝีปากแน่น คุกเข่าข้างหนึ่งลงบนรถศึก ใช้สองมือเก็บเศษเครื่องรางหยกที่แตกออกเป็นสามส่วนอย่างเรียบร้อย เอ่ยเสียงเย็น “สั่งถอยทัพ กลับเมืองเดี๋ยวนี้”
และฝั่งเจดีย์ผี ฉินหลิวซีตกใจเล็กน้อยมองออกไปไกล สีหน้าเย็นเยียบ
“จิ้งจอก เจ้าไปดูห่างออกไปร้อยลี้ มีคนใช้เครื่องรางของข้า ปกป้องนาง รอข้า”
เฟิงซิวดึงมิติกลับ ก่อนจะแปรเปลี่ยนร่างเป็นลำแสงวาบออกไปในทันที
ฉินหลิวซีรวบรวมพลังแห่งเต๋าแปลงเป็นเชือกผูกพันเจ้าสัตว์หินที่เปี่ยมด้วยพลังชั่วร้ายและพลังแห่งความอาฆาตไว้แน่น ยิ่งมันดิ้นรน เชือกยิ่งรัดแน่นจนพลังโหดร้ายของมันพลุ่งพล่าน
นางใช้เล็บกรีดนิ้วชี้ซ้ายจนเลือดไหลออกมาหนึ่งหยด ปลดปล่อยพลังวิญญาณรวมกับพลังอันศักดิ์สิทธิ์ของกระดูกพระพุทธะ กดลงบนตัวสัตว์หินด้วยท่าทีดุดัน
เจ้าสัตว์หินพลันชะงัก “เจ้ารู้วิชานี้ได้อย่างไร”
ฉินหลิวซีไม่ได้ตอบ แต่กลับเร่งมือวาดยันต์ลงบนตัวมันอย่างรวดเร็ว แสงสีทองฉายวาบขึ้น สัตว์หินส่งเสียงคำรามอย่างเกรี้ยวกราด แต่เสียงกลับค่อยๆ ลดลงจนในที่สุดมันก็ไร้การเคลื่อนไหว
ต่อจากนั้น นางออกแรงกดลงบนตัวสัตว์หินอีกครั้ง
เพล้ง!
สัตว์หินแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ ร่วงลงพื้น
ในขณะเดียวกัน พลังอาฆาตอันหนาแน่นที่ห่อหุ้มเจดีย์ผีกลับพุ่งกระจายไปทั่ว พลังวิญญาณร้ายทั้งปวงไหลลงใต้ดิน ฉินหลิวซีใช้นิ้วดีดหนึ่งครั้ง เปลวไฟนรกลุกพุ่งใส่โครงกระดูกเจดีย์ผี
โครม
เปลวเพลิงลุกโชนจากฐานขึ้นสู่ยอด เผาไหม้จนเจดีย์ผีกลายเป็นเจดีย์เพลิง พลังชั่วร้ายถูกไฟกลืนกินจนสิ้น
ผืนแผ่นดินสั่นสะเทือน ม่านทรายเหลืองปลิวว่อน
วิญญาณนับหมื่นแสนแปรเปลี่ยนเป็นประกายเล็กๆ ลอยเลือนหายไปในความว่างเปล่า
ฉินหลิวซีเคลื่อนไหวชั่วพริบตา เงื้อมือฟาดไม้จินกังลงพื้น โยนหินเก้าตาของราชาเทพขึ้นไปในอากาศ หินเก้าตากระจายพลังอำนาจออกมา ตรึงร่างหนึ่งเอาไว้
ร่างนั้นคือพลังอาฆาตที่รวมตัวกันจนเกิดเป็นวิญญาณร้าย แม้ถูกตรึงไว้ด้วยหินเก้าตายังดิ้นรนไม่หยุด จะเรียกว่าวิญญาณก็หาใช่ไม่ เรียกว่าดวงจิตแห่งความพยาบาทจะดีกว่า
มันคือลูกแก้ววิญญาณที่ซื่อหลัวสร้างขึ้นโดยการหลอมวิญญาณของราชาผีซีฟาง ทั้งยังกลืนกินวิญญาณอาฆาตและพลังชีวิตมากมายจนเกิดเป็นดวงจิตพยาบาท
ตราบใดที่มันยังอยู่ เจดีย์ผีย่อมกลับมาฟื้นคืนชีพ กลืนกินทุกสิ่งได้อีกครั้ง
“จะไปไหนหรือ” ฉินหลิวซีกวักมือเรียก เรียกหินเก้าตากลับมา จากนั้นก็ยกมือกำหมัดขึ้นมา
อยากหนี ถามหมัดข้าแล้วหรือ