คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1175 ไม่มีอะไรต้องพูดกับเจ้า มาสู้กัน
ตอนที่ 1175 ไม่มีอะไรต้องพูดกับเจ้า มาสู้กัน
………………..
สายลมเย็นเยียบพัดพาทรายเหลืองฟุ้งกระจายไปทั่ว คว้าจับวิญญาณอาฆาตที่พยายามดิ้นรนหลบหนีจากหินเก้าตา ฉินหลิวซีเงื้อหมัดซัดลงไปไม่หยุด หากวิญญาณอาฆาตนั้นมีเลือดเนื้อ เสียงที่ได้ยินคงดังปึงปังราวกับชนกำแพงหินใหญ่
การโจมตีฝ่ายเดียวของนาง ทำให้วิญญาณอาฆาตกรีดร้องเสียงแหลมแทงทะลุแก้วหู เสียงนั้นปนเปจนวุ่นวาย บ้างเหมือนเสียงร่ำไห้ของชายหญิงคนแก่และเด็ก บ้างคล้ายเสียงครวญครางของสัตว์ป่า ทุกชีวิตที่ถูกเจดีย์ผีกลืนกินไม่อาจหลุดพ้น เมื่อตายไปจึงเต็มไปด้วยความอาฆาต ก่อเกิดเป็นร่างรวมของวิญญาณเหล่านั้น
ลองคิดดูสิ วิญญาณนับพันหมื่นร่ำไห้ครวญครางพร้อมกัน ช่างโศกเศร้าสลดเสียจนจิตใจแทบแตกสลาย พวกมันยังเผยให้เห็นสภาพขณะที่ตาย แต่ละร่างดูพิสดารน่าสยดสยอง บีบคั้นหัวใจผู้พบเห็นให้สิ้นหวัง
ทว่าฉินหลิวซีกลับเลือกปิดหูปิดตา นางไม่ได้ยิน ไม่ได้มองเห็น หรือถึงจะเห็นก็ทำเหมือนมองไม่เห็น นางกดวิญญาณอาฆาตไว้และซัดมันอย่างไม่ปรานี
วิญญาณอาฆาตมองดูหญิงสาวตรงหน้าที่กำลังอาละวาดอย่างสิ้นหวัง หญิงสาวที่ดูเรียบร้อย ทำไมถึงรุนแรงเพียงนี้
มันพยายามใช้อำนาจแห่งความอาฆาตของตนโจมตีนาง แต่พลังนั้นกลับถูกแรงกดดันแห่งเต๋าของนางสะท้อนกลับมา แรงสะท้อนทำให้พลังอาฆาตของมันพังทลาย พลังในตัวก็พลอยลดลง
หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป วิญญาณอาฆาตซึ่งดำรงอยู่ด้วยพลังลบก็จะสลายหายไป
วิญญาณอาฆาตกรีดร้อง “พอแล้ว อย่าตีเลย”
รู้ความรู้เวลาเป็นผู้มีไหวพริบ มันยกธงขาวยอมแพ้ไม่ได้หรือ
ฉินหลิวซีหัวเราะเย็นชา ดึงศาสตราวุธที่พกติดตัวออกมาแล้วเอ่ย “เจ้าเข้าไปเอง”
ศาสตราวุธนี้ไร้วิญญาณกระบี่ นางยังหาไม่ได้ ตอนนี้ได้โอกาสพอดี วิญญาณอาฆาตนี้เป็นตัวเลือกเหมาะสม นำมันเข้าไปในศาสตราวุธ จากนั้นนางจะหลอมใหม่อีกครั้ง ศาสตราวุธก็จะมีทั้งวิญญาณและจิตวิญญาณ
วิญญาณอาฆาตนี้เดิมเป็นจิตวิญญาณที่หลอมขึ้นโดยราชาผีซีฟาง เมื่อครั้งยังมีชีวิตเคยเป็นแม่ทัพผู้เกรียงไกร ฆ่าคนมานับหมื่น หลังความตายกลายเป็นปีศาจผีร้าย มีชื่อเสียงในด้านความอำมหิต ถูกซื่อหลัวหลอมจนเป็นแก่นจิตวิญญาณบริสุทธิ์ ยามนี้เมื่อมันได้ดูดซับวิญญาณอาฆาตจำนวนมาก กลายเป็นวิญญาณอาฆาตที่เต็มไปด้วยพลังลบ แต่หากนางปราบได้ก็ยังนำมาใช้ประโยชน์ได้ นับประสาอะไรกับการหลอมอีกขั้นเพื่อขจัดพลังลบ
ทันใดนั้นศาสตราวุธก็แผ่กลิ่นอายอาฆาตสังหารออกมาอย่างรุนแรง สั่นสะเทือนอย่างบ้าคลั่ง กลิ่นอายดุร้ายพุ่งทะลุไปทุกทิศ หากมีใครพบเห็นย่อมต้องบาดเจ็บ
ฉินหลิวซีใช้เลือดแต้มลงบนตัวศาสตราวุธ ก่อนใช้นิ้วสองนิ้ววาดอักขระสะกดจิตวิญญาณอาฆาตไว้
“อย่ากำเริบ ไม่เช่นนั้นข้าจะเผาเจ้า”
ศาสตราวุธสั่นอีกครั้งแล้วสงบลง ไม่กล้าท้าทายอีกต่อไป
ความอ่อนแอ ไร้หนทาง ไม่กล้าเสี่ยง
ฉินหลิวซีแค่นเสียงเย็นชา ก่อนลงคาถาปิดผนึกบนศาสตราวุธเพื่อป้องกันความเสียหายต่อของอื่นๆ ในถุงเฉียนคุนของนาง
นางจุดเปลวไฟเผากองกระดูกที่เฟิงซิวรวบรวมไว้ กำจัดพลังอาฆาตและสิ่งอัปมงคล
ไม่ใช่ว่าฉินหลิวซีโหดร้าย เพียงแต่กระดูกเหล่านี้เต็มไปด้วยพลังลบและพลังอาฆาต หากทิ้งไว้ก็จะก่อเกิดวิญญาณอาฆาตอีก
เมื่อไร้จิตวิญญาณแล้ว จะยึดติดกับกระดูกไปไย
ให้ฝุ่นคืนสู่ดินย่อมเป็นจุดจบที่เหมาะสมที่สุด
นางมองดูกระดูกกลายเป็นเถ้าถ่าน ปลิวไปตามสายลม พลังอาฆาตถูกไฟนรกเผาผลาญจนสลาย จากนั้นร่ายมนต์บทหนึ่งเพื่อส่งวิญญาณ ขณะกำลังจะจากไป ทว่าพลันร่างตึงเครียดขึ้นมา
นางหมุนตัวอย่างรวดเร็จ ใช้ไม้จินกังฟาดไปในอากาศก่อนแล้วจึงถอยหลังสองสามก้าว
เสียงหัวเราะดังขึ้น
ฉินหลิวซียืนมองความว่างเปล่าที่นางได้ฟันผ่านไป ในที่สุดเงาดำร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้น ดวงตานางหดเกร็ง เคลื่อนสายตาไปยังเงานั้น เอ่ยด้วยเสียงเยือกเย็น “มารเอ้อฝูซื่อหลัว”
ซื่อหลัวหัวเราะขึ้นมา เอ่ย “ที่แท้ ข้าได้เปลี่ยนจากปีศาจร้ายกลายเป็นเอ้อฝู[1]แล้วหรือ ก็ถือว่าไม่เลว พระ ยังน่าฟังกว่าปีศาจอยู่บ้าง เจ้าตัวน้อย เจ้าดูน่าสนใจกว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก”
“เป็นเจ้าจริงๆ ด้วย” ฉินหลิวซีกำด้ามไม้จินกังในมือแน่น จับจ้องเงาดำใต้ผ้าคลุมดำสนิทซึ่งกลมกลืนไปกับท้องฟ้า หัวเราะเย็น “ช่างขี้ขลาดเกินกว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก ถึงกับไม่กล้าเผยโฉมหน้า เจ้าไม่กล้าพบผู้คนหรือไร”
ซื่อหลัวมองไม้จินกังในมือนางเพียงแวบเดียว พลางหัวเราะในลำคอ “ปากดีเสียจริง”
“แต่การลอบโจมตีไม่ใช่สิ่งที่สตรีดีงามพึงกระทำ” เขาถอยหลบไม้จินกังที่ฟาดเข้ามาอย่างรวดเร็ว เอ่ย “ของวิเศษแห่งพระกษิติครรภ์ยังตกมาอยู่ในมือเจ้า รวมถึงหินเก้าตาของมหาเทพ ดูท่าบรรดาผู้เฒ่าแห่งนรกนั้นคงฝากความหวังไว้ที่เจ้า หวังใช้เจ้ามาจัดการข้าสินะ โอ้ แต่อย่าเพิ่งรีบใช้พลังวิญญาณจนสิ้นเปลืองไปนัก ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อสู้กับเจ้า เราสองคนยังไม่ถึงเวลาต้องประลองเป็นตายกัน แน่นอนว่าหากวันใดเจ้ามีความสามารถเดินทางขึ้นมาพบข้าบนจุดสูงสุด ข้าก็ยินดีรอ”
“อ้อ ฟังจากคำพูดของเจ้า ดูเหมือนเจ้ามั่นใจว่าจะไปถึงวันที่เจ้าคิดไว้จริงๆ สินะ” ฉินหลิวซีหรี่ตาลง เอ่ยด้วยน้ำเสียงแฝงเย้ยหยัน “ข้าลองคิดดู วันที่เจ้าว่านั้น คงหมายถึงวันที่เจ้าจะได้บรรลุเป็นเทพกระมัง”
ซื่อหลัวลอยตัวอยู่กลางอากาศ ประสานสายตากับนางจากระยะไกล เอ่ย “เจ้าก็เดาได้อยู่แล้วไม่ใช่หรือ เจ้ายังสามารถทะลวงค่ายอาคมที่ข้าวางไว้จนพังไปสองจุด เจ้าย่อมสังเกตเห็นบางสิ่ง ไม่ฉะนั้นคงไม่อาจทำลายดวงตามันได้สำเร็จ”
“โมโหหรือ โกรธก็ถูกแล้ว” ฉินหลิวซีกุมไม้จินกังในมือ ขณะมืออีกข้างไพล่ไปด้านหลัง เอ่ย “แผนร้ายของเจ้าถูกข้าดูออกแล้ว เจ้าร้อนรน ถึงขนาดต้องมาเองเช่นนี้”
ซื่อหลัวส่ายนิ้วช้าๆ “เปล่าเลย ข้ามาก็เพียงแค่มาดูเจ้าเท่านั้น สำหรับแผนการที่เจ้าว่า มันไม่ใช่แผนร้าย แต่เป็นแผนเปิดเผย แต่เจ้าเด็กน้อย เจ้าจะทำอะไรได้ เมื่อห้าพันปีก่อน พลังวิญญาณยังคงสมบูรณ์เหลือเฟือ บรรพชนของเจ้าจึงร่วมมือกันผนึกข้าไว้ในมหาอเวจีนรกลึก แต่บัดนี้ สถานการณ์ไม่เหมือนเดิมแล้ว ข้าไม่กลัวที่พวกเจ้าจะล่วงรู้แผนการของข้า ข้าต้องการเป็นเทพ เป็นผู้ปกครองหนึ่งเดียว แล้วพวกเจ้าจะทำอย่างไร พวกเจ้ารู้ทั้งรู้ว่าข้าจะทำอะไร แต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้ ได้แต่อดทนดิ้นรนอย่างสิ้นหวัง ข้าชอบเห็นสีหน้าพวกเจ้าเมื่อเจ็บแค้นข้าแต่ไม่สามารถกำจัดข้าได้”
“พูดจาไร้สาระยืดยาวเช่นนี้ ต้องการโอ้อวดความยิ่งใหญ่ของเจ้าหรือ” ฉินหลิวซีหัวเราะเยาะ “ในเมื่อเจ้าวิเศษนัก อยากเป็นเซียนเป็นพระพุทธเจ้าเป็นเทพ การฝึกฝนบำเพ็ญเพียรตามปกติก็ย่อมสามารถบรรลุธรรมได้แล้ว เหตุใดเจ้าจึงต้องใช้ชีวิตมนุษย์บูชายัญสร้างค่ายอาคมนี้เพื่อบรรลุความเป็นเทพเล่า”
“นั่นเพราะว่าฟ้าดินไม่ยอมให้ข้าบรรลุธรรม บัดนี้พวกเจ้าเรียกข้าว่าเอ้อฝู แต่เมื่อหลายพันปีก่อน พวกเขาเรียกข้าว่าปีศาจร้าย นักบวชปีศาจ มารแห่งธรรมะ ก็เพียงเพราะพลังของข้านั้นแข็งแกร่ง แต่ข้ากลับไม่เห็นด้วยกับความคิดของพวกเขา ข้าจึงถูกประณามด้วยชื่อเหล่านี้
เสียงซื่อหลัวเย็นยะเยือก “พวกเขากลัวว่าข้าจะกลายเป็นเทพมาร จึงกดขี่ข้าด้วยความอคติ ข้าหวังจะบรรลุธรรมเพื่อเป็นเทพอันแท้จริง แต่ทั้งฟ้าดินและสองนิกายพุทธเต๋ากลับไม่ยอม พวกเขาต้องการพลังของข้า ทั้งกลัวพลังของข้า ดังวลีที่ว่า ต้องการ อยากได้ และยังต้องการอีก เสแสร้งลวงโลกเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง น่ารังเกียจยิ่งนัก และฟ้าดินนี้ หากไม่อนุญาตข้า ข้าก็จะฝืนลิขิตสวรรค์ไปให้สุด แล้วมันผิดตรงไหนเล่า ส่วนชีวิตมนุษย์นั้นไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับข้า หากจะโทษก็โทษฟ้าดินที่ไม่ยุติธรรมเถิด”
ใจของฉินหลิวซีจมลึก
ฉินหลิวซีไม่ได้ฟังไม่ออกถึงความโกรธแค้นและไร้ความปรานีของชายผู้นี้ หากแต่เขาได้เปิดไพ่แล้ว นั่นหมายถึงวันที่เขาจะบรรลุถึงจุดสูงสุดคงไม่ไกลนักไม่ใช่หรือ
ซื่อหลัวเงยหน้าขึ้นมองฟ้า “ดังนั้นถึงต้องบูชายันต์อย่างไรเล่า มันไม่อนุญาต ข้าก็จะทำลายมันทิ้งเสีย โลกนี้พังทลายแล้ว สวรรค์ก็อยู่ไม่ได้แล้ว”
“เจ้าเป็นบ้าจริงด้วย”
“ต่างกันตรงไหนเล่า” ซื่อหลัวมองไปที่นาง “เจ้าและข้าก็มีจิตวิญญาณเช่นเดียวกัน เกิดมาเป็นคนบ้า หากเจ้าต้องการก็เข้าร่วมกับข้า เราจะทำลายฟ้าแห่งนี้และสร้างโลกใหม่ขึ้นมาใหม่ กลายเป็นผู้ปกครองไม่ต้องถูกห้าโทษสามวิบัติไม่ถูกกฎเกณฑ์ใดๆ บังคับ เป็นอย่างไร”
“ไม่เป็นอย่างไร วิถีแตกต่างกันก็ไม่ควรร่วมมือกัน” ตั้งแต่วันที่เขาสังหารอาจารย์ของนาง พวกเขาก็เป็นศัตรูจนวันตาย
ซื่อหลัวเอ่ย “เจ้าฉลาดนัก ทำไมต้องยอมรับการควบคุมจากผู้อื่น”
“เจ้าก็เคยเป็นมนุษย์มาก่อน ยังมีผู้ชี้ทางให้เจ้าเข้าฝึกฝน ไม่รู้หรือว่าหากไร้ระเบียบย่อมไร้กฎเกณฑ์ การฝึกฝนที่ไร้ขอบเขตย่อมสูญเสียจุดมุ่งหมายในใจ”
ซื่อหลัวนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนจะหัวเราะออกมา “ถ้าอย่างนั้น เจ้าคงไม่อาจกลายเป็นผู้แข็งแกร่งได้”
ฉินหลิวซีเอ่ยด้วยเสียงเย็นชา “ดังนั้นข้าทำลายแผนของเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า เจ้าก็ไม่กลัวว่าข้าจะทำลายค่ายอาคมสำเร็จเป็นเทพของเจ้า ทำให้เจ้าไม่สำเร็จอีกครั้ง เพราะเจ้ามีไพ่สุดท้ายที่เหนือกว่าแล้วอย่างนั้นหรือ”
ซื่อหลัวไม่ได้ตอบโดยตรง เอ่ย “การเล่นโดยไม่มีคู่แข่งย่อมเหงาและน่าเบื่อ เจ้าทำให้ข้าล้มในที่เดิมได้หรือไม่ ข้าจะจับตารอชม”
ใบหน้าของเขาเย่อหยิ่งกว่าของนางเสียอีก
“มุมมองแตกต่าง ไม่มีอะไรต้องคุยกับเจ้า มาสู้กัน” ฉินหลิวซีเคลื่อนไหวรวดเร็ว พุ่งเข้าหาเขา
“ช่างเป็นเด็กน้อยที่ไม่ยอมฟังคำสั่งจริงๆ” ซื่อหลัวยกมือร่ายอาคม เป็นวิชาพายุฝนฟ้าคะนองแห่งเต๋า
เสียงดังสนั่น พายุทรายสีเหลืองฟุ้งกระจายไปทั่ว
ฉินหลิวซีฝ่าทะลวงพายุทรายออกมาอย่างรวดเร็ว ในชั่วพริบตาก็มาถึงตัวเขา ใช้ไม้จินกังฟาดออกไป แสงทองสว่างจ้า ส่งเป็นอักขระโจมตีเขา
“ไม้จินกังนี้เป็นของดี แต่ข้าเองก็รู้เกี่ยวกับคัมภีร์พุทธอยู่บ้าง” ซื่อหลัวยิ้มบาง มือทั้งสองทำสัญลักษณ์มือแบบพุทธ ส่งไปยังแสงสีทองนั้น แม้แสงสีทองจะไม่ถูกทำลาย แต่ก็ไม่อาจทำร้ายเขาได้แม้เพียงนิด
“กระแสจิตเจ้าเป็นเช่นนี้ ไต้ซือผูเซิงน่าจะชื่นชม” เสียงของฉินหลิวซีเย็นยะเยือก
ผูเซิง
ฉินหลิวซีคว้าศาสตราวุธ นิ้วมือซ้ายสัมผัสที่ศาสตราวุธ เลือดไหลออกมา เสริมอำนาจแก่ศาสตราวุธโจมตีไปยังซื่อหลัว
เมื่อศาสตราวุธออกมา พลังปีศาจยิ่งรุนแรง
แม้จะถูกฝังอยู่ใต้ดินมานานหลายพันปี แต่พลังดวงจิตอาฆาตที่ถูกผนึกในศาสตราวุธพร้อมกับพลังของซื่อหลัวทำให้เกิดพลังที่น่ากลัวและปั่นป่วน
ซื่อหลัวถูกแสงทองที่เป็นราวกับมังกรและเสือกัดทำลายจนถูกกลืนหายไป
เขาหัวเราะในขณะที่ลมหายใจของเขาหยุดลงเอ่ย “ข้าคาดเดาผิดแล้ว ว่าเจ้าจะไม่สามารถมาถึงจุดสูงสุดที่ข้าคิดว่าจะเจอกับข้าได้ เจ้าตัวเล็ก ข้ารอเจ้าอยู่ เมื่อถึงเวลานั้น ข้าจะไปเอาของคืนจากเจ้าเอง”
เสียงของเขาหายไปจากโลกนี้ทันที
ฉินหลิวซีคุกเข่าลงบนพื้น ศาสตราวุธปักลงที่เนินซ้ายด้านข้าง นางเช็ดเลือดที่มุมปาก สีหน้าไม่น่ามอง
แม้กระทั่งจิตวิญญาณยังไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นเขา เขาเพียงแบ่งพลังส่วนหนึ่งออกมาเผชิญหน้ากับนาง และไม่สังหารนาง เป้าหมายเพื่อมาก่อกวนนางหรือ
ฉินหลิวซีมองไปที่นิ้วชี้ข้างซ้ายของตน ท่าทางครุ่นคิด เขารู้ดีว่ากระดูกของเขาอยู่กับนาง แต่ไม่เอาคืนไป ทว่ารอวันที่เหมาะสม น่าเสียดายจริงๆ
ซื่อหลัวรวบรวมจิตวิญญาณกลับคืนสู่ร่างกาย หลายส่วนของเขาปวดร้าวจากพลังสะท้อนกลับ เขาหัวเราะขึ้นมา “เริ่มจากทำลายใจ แล้วใช้พลังของข้ามาทำลายข้า หากเจ้ามีเวลา เจ้าจะเติบโตไปถึงขั้นใดกัน”
เขาเริ่มรู้สึกตื่นเต้นแล้ว
[1] เอ้อฝู ก็คือพระชั่ว พระมาร