คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1177 ตั้งชื่อ เขาชื่อเฉวียนซี
ตอนที่ 1177 ตั้งชื่อ เขาชื่อเฉวียนซี
………………..
ฉินหลิวซีอุ้มเด็กทารกที่ทำความสะอาดเรียบร้อย ห่อไว้ด้วยผ้าฝ้ายเนื้อนุ่ม ยื่นให้กับสีเจิงพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ดูเถิด เป็นเด็กชาย”
สีเจิงมองลูกชายตัวน้อยด้วยแววตาเปี่ยมด้วยความรัก เห็นร่างเล็กผอมบางราวลูกแมว จึงเอ่ย “เกิดมาในยามไม่เหมาะสม เกือบจะสูญเสียเขาไปแล้ว โชคดีที่เขาเป็นเด็กมีบุญ”
หากไร้ซึ่งบุญวาสนา เด็กคนนี้ซึ่งคลอดก่อนกำหนด ทั้งมิใช่ทารกเจ็ดดวงดาว ยังต้องเผชิญวิกฤติขณะคลอดอีก ไหนเลยจะได้มีโอกาสมาเกิดในโลกนี้
เพราะมีบุญวาสนาจึงได้มาเจอกับฉินหลิวซีในช่วงเวลานี้ และรอดชีวิตมาได้
อีกทั้งยังเป็นนางที่ช่วยชีวิตตนอีกครั้ง ครานี้ไม่ใช่เพียงหนึ่งชีวิต แต่ถึงสองชีวิต
สีเจิงหันมองฉินหลิวซีด้วยแววตาเปี่ยมไปด้วยความซาบซึ้งและเชื่อมั่น เอ่ย “ท่านช่วยตั้งชื่อให้เขาที”
ฉินหลิวซีคำนวณเวลาและตรวจดูดวงชะตา มองเด็กทารกอีกครั้งเอ่ย “ตั้งชื่อว่า ‘ซี’ ซึ่งหมายถึงแสงอาทิตย์ยามรุ่งอรุณ ออกเสียงเหมือนกับ ‘ซี’ ในชื่อฝูซี[1] ตัวอักษรนี้สง่างามเปี่ยมด้วยชีวิตชีวา สื่อถึงการก้าวหน้า อีกทั้ง ‘ซี’ ยังหมายถึงแสงสว่างแห่งดวงอาทิตย์ เด็กคนนี้คลอดก่อนกำหนดเพราะกระทบกระเทือนจากพลังอาฆาตอันเย็นยะเยือก เมื่อเกิดมาก็ยังคงมีพลังหยินหลงเหลืออยู่ ซึ่งเป็นสิ่งที่อันตรายต่อเด็กที่เกิดก่อนกำหนดเช่นนี้ ทั้งหยินทั้งอ่อนแอ ไม่ง่ายที่จะเติบโต ดังนั้นชื่อ ‘ซี’ จึงเหมาะสมที่สุด”
แท้จริงแล้ว ชื่อ ‘ซี[2]’ ก็ใช้ได้เช่นกัน แต่เพราะชื่อ ‘ซี’ นี้สัมพันธ์กับฮ่องเต้ในตำนาน และเขาคือทายาทตระกูลเฉวียนผู้ถือครองอำนาจทหาร หากใช้ชื่อดังกล่าว อาจตกเป็นเป้าความระแวงของราชวงศ์ สุดท้ายอาจนำภัยพิบัติมาสู่ตระกูล เกินกว่าจะคุ้มค่า
อีกทั้งดวงชะตาเด็กคนนี้ บ่งบอกถึงการจุติของดวงดาวแห่งเสือขาวในโลกมนุษย์ เขาจะต้องรับหน้าที่รักษาชายแดน ถือครองอำนาจทหาร ซึ่งจะยิ่งกระตุ้นให้ราชวงศ์ระแวง หากผู้ครองแผ่นดินยุคนั้นมิใช่ฮ่องเต้ผู้รอบคอบ อาจเป็นภัยร้ายแรงในอนาคต
แม้ในยุคของฉีเชียนแผ่นดินจะยังมั่นคง แต่สำหรับรุ่นลูกหลานใครเล่าจะรู้ได้ว่าอาจเกิดอะไรขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดวงชะตาเด็กคนนี้ยังเผยให้เห็นถึงความลับแห่งสวรรค์ ราชวงศ์ฉีจะเปลี่ยนมือในอีกหนึ่งศตวรรษ
การใช้ชื่อ ‘ซี’ ซึ่งหมายถึงรุ่งอรุณดวงอาทิตย์จึงเป็นสัญลักษณ์แห่งแสงสว่าง ในวันหนึ่งข้างหน้าหากเขาถูกบีบจนมืดมนไร้ทางออก ชื่อ ‘ซี’ นี้จะชี้ทางสู่แสงแห่งความหวัง
แต่ฉินหลิวซีมิได้เอ่ยความลับนี้ในที่แห่งนี้
สีเจิงพึมพำชื่อดังกล่าว แย้มยิ้มอ่อนแรงพลางเอ่ย “ชื่อที่ดี”
ฉินหลิวซีเอ่ย “การคลอดบุตรทำให้สูญเสียพลังชีวิต อีกทั้งร่างกายของเจ้าก็มีบาดแผลเรื้อรัง อย่าฝืนอีกเลย หลับตาพักผ่อนเถิด เด็กคนนี้ไม่ได้นับว่าเป็นทารกเจ็ดดวงดาว อีกทั้งยังโดนพลังอาฆาตเย็นยะเยือกมากระทบ ข้าจะพาเขาไปดูแลก่อน”
หม่าอิงชะงักไปครู่หนึ่ง พลางมองไปยังสีเจิงด้วยความลังเล ทว่าอีกฝ่ายกลับมีสีหน้าแสดงความซาบซึ้งยิ่งขึ้น เอ่ย “มีท่านดูแล เป็นบุญของเด็กคนนี้ ขอบคุณที่เมตตา รบกวนท่านแล้ว”
“พักผ่อนเถิด” ฉินหลิวซีกดจุดสะกดหลับ สีเจิงจึงเข้าสู่ห้วงนิทราในทันที
ฉินหลิวซีวางเด็กไว้ข้างเตียง หันไปสั่งหม่าอิง “ให้คนต้มน้ำแกงไก่ ใส่ขิงให้มากหน่อยเพื่อขับความเย็น เมื่อนางตื่นขึ้นมาแล้วให้ดื่มเสีย ร่างกายของนางมีบาดแผลเรื้อรัง ข้าจะฝังเข็มอีกครั้งและเขียนใบสั่งยาสำหรับฟื้นฟูหลังคลอด อากาศหนาว อย่าให้เจอลม”
“แล้วคุณชายน้อยเล่า” หม่าอิงมองทารกตัวน้อยอย่างลุ้นระทึก
ฉินหลิวซีหยิบเข็มเงินออกมา พลางเอ่ย “เขาอ่อนแอเกินไป คลอดก่อนกำหนด ร่างกายยังเปราะบางยิ่งกว่าแก้วเจียระไน พวกเจ้าไม่อาจดูแลเขาได้ด้วยตัวเอง”
หม่าอิงเอ่ยอย่างระมัดระวัง “แต่ต้องให้นมไม่ใช่หรือ”
“ข้ามีวิธี”
จากนั้นฉินหลิวซีเริ่มตรวจชีพจรของสีเจิง ก่อนลงเข็มตามจุดสำคัญ ใช้พลังเดินผ่านเส้นชีพจรเปิดลมปราณ
เมื่อเข็มปักตามจุดครบถ้วน นางจึงจรดพู่กันเขียนใบสั่งยา มอบให้หม่าอิง ฉินหลิวซีมองใบหน้าของสีเจิงด้วยรอยยิ้มบางเบา เมื่อนึกถึงสายใยวาสนาที่เคยเห็นระหว่างนางกับเฉวียนจิ่งในอดีต ในที่สุดสิ่งที่คาดไว้ก็กลายเป็นจริง
บัดนี้คิ้วของนางผ่อนคลาย จุดสามีภรรยาสมบูรณ์ คิดว่าเรื่องราวที่บ้านนางคงสงบ มิเช่นนั้นคงไม่สบายเช่นนี้ ยิ่งไม่มีทางแต่งกับตระกูลเฉวียนแล้ว
ดีจริงๆ
“เพิ่งจะเข้าเดือนสิบเอ็ดแท้ๆ ไฉนหิมะตกแล้วเบ่า” เสียงร้องอุทานดังมาจากด้านนอก
ฉินหลิวซีปลดปล่อยพลังจิตออกไปตรวจดู พบว่าท้องฟ้ายามค่ำที่มืดสนิทเริ่มโปรยปรายเกล็ดหิมะเล็กๆ ลงมา อากาศในกระโจมเย็นลงอีกหลายส่วนจนนางต้องขมวดคิ้วแน่น
เมื่อคิดถึงภัยพิบัติจากหิมะที่เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว นางก้มหน้าลงใช้นิ้วคำนวณ พอเห็นปรากฏในผังชะตาก็ต้องเคร่งเครียดขึ้นทันที
ฤดูหนาวปีนี้ยังหนาวเย็นยิ่งกว่าปีก่อน
เจ้ากำลังใช้แรงทั้งหมดที่มีอยู่นี่เอง
ฉินหลิวซีอุ้มเขาขึ้นมา พบว่าผ้าอ้อมนั้นเย็นเยียบ จึงวาดยันต์ไฟขึ้นมาสองแผ่น แผ่นหนึ่งใส่ไว้ในผ้าอ้อม อีกแผ่นวางในที่นอนของสีเจิง
นางเก็บเข็มที่ปักไว้ สีเจิงยังคงไม่รู้สึกตัว ฉินหลิวซีจึงอุ้มเด็กน้อยออกจากกระโจมไปยังกระโจมเล็กข้างๆ
เฟิงซิวกำลังเอนกายอยู่ในนั้น พอเห็นนางเข้ามาก็รีบลุกขึ้นยืนทันที พอเหลือบเห็นเจ้าตัวเล็กในอ้อมแขนนางเพียงครั้งเดียว ใบหน้าของเขาก็เผยความรังเกียจ
“ไฉนเหมือนลูกแมวผอมๆ เช่นนี้เล่า เล็กเกินไป แถมยังน่าเกลียดอีก”
“ยังไม่ครบกำหนดคลอด อีกไม่กี่วันถึงจะครบเจ็ดเดือน รอดมาได้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว” ฉินหลิวซีเอ่ยเสียงไม่พอใจ “เอาผลหลิงกั่วของเจ้ามา”
“คนแบบนี้ยังได้เจอท่านด้วย ถ้าไม่รอดนับว่าดวงซวยที่สุดในสามโลกแล้ว” เฟิงซิวพึมพำพลางล้วงผลหลิงกั่วออกมา ก่อนจะถามด้วยความสงสัย “ไม่ใช่ แม้ข้าจะไม่ใช่คน แต่มนุษย์ที่เพิ่งคลอดไม่ใช่ต้องกินนมหรือ ท่านให้เขากินสิ่งนี้น่ะหรือ”
“เขาอ่อนแอเกินไป น้ำจากผลหลิงกั่วจะช่วยเสริมสร้างร่างกาย ไม่มีปัญหาแน่นอน” ฉินหลิวซีรับผลมา นางไม่ได้บีบคั้น แต่เอาผลไปจ่อที่ปากเด็กก่อนจะร่ายคาถา น้ำจากผลหลิงกั่วราวกับถูกดูดออกมาเองไหลเข้าไปในปากเด็กโดยที่เขาไม่ต้องออกแรงดูดเลย
ผลหลิงกั่วขนาดเท่านิ้วก้อยสูญเสียน้ำไปจนแห้งเหี่ยวในชั่วพริบตา ขณะที่เจ้าตัวน้อยมีสีหน้าแดงเรื่อขึ้น พร้อมกับเลียริมฝีปากเหมือนยังติดใจ
เฟิงซิวมองเด็กที่แม้ดวงตายังไม่ลืม แต่ก็ได้ลิ้มรสสิ่งที่แม้แต่ฮ่องเต้ยังหาได้ยาก จึงเอ่ย “ท่านไม่กลัวเขาติดรสเลิศเกินไปหรือ”
“เป็นเด็กที่ดีคนหนึ่ง” ฉินหลิวซียื่นเด็กให้อีกฝ่ายอุ้มแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อย่างน้อยก็เฝ้าอยู่ เจอกันครั้งแรก ทำตัวเป็นผู้อาวุโสหน่อย อย่างไรก็ต้องให้ของรับขวัญกระมัง”
สิ่งเล็กๆ เย็นเยียบโผล่มาในมือเฟิงซิวอย่างไม่ทันตั้งตัว มือเขาถึงกับแข็งทื่อ ใบหน้าหล่อเหลาซึ่งมักนิ่งสงบกลับซีดขาวทันที
“เอาคืนไป เอาคืนไปเร็ว” เฟิงซิวร้องเสียงดัง
ฉินหลิวซีหัวเราะพลางอุ้มเด็กคืนมา เฟิงซิวค่อยหายใจโล่งอก แต่พอนึกได้ว่าตนเพิ่งจับเด็กแค่เดี๋ยวเดียว แผ่นหลังยังเปียกชุ่มด้วยเหงื่อ อดไม่ได้ที่จะคิดว่า เด็กอ่อนช่างน่ากลัวยิ่งนัก
“เขาชื่ออะไรหรือ” เฟิงซิวจิ้มที่จุดสำคัญบนหน้าผากเด็กก่อนจะเอ่ยขึ้น “อย่างอื่นไม่มี ขอแค่คุ้มครองให้เขามีชีวิตรอดก็แล้วกัน”
“แสงแห่งรุ่งอรุณ เขาชื่อ เฉวียนซี”
เปลือกตาของเฉวียนซีกระตุกเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ ลืมตา พอแสงสว่างเลือนลางผ่านเข้ามาในสายตา เขาเห็นเพียงรางๆ ว่ามีจิ้งจอกสีแดงเพลิงตัวใหญ่โตหางเก้าหางอยู่ตรงหน้า ก่อนจะปิดตาลงอีกครั้ง
ฉินหลิวซียิ้มอ่อนโยน “เด็กคนนี้รู้จักมองคนดีคนเลว”
รอยยิ้มของนางอ่อนหวานนุ่มนวลยิ่ง เฟิงซิวเลิกคิ้ว เอ่ย “ดูเหมือนท่านจะดีใจมาก”
รอยยิ้มของฉินหลิวซียิ่งชัดเจนขึ้น “สิ่งใหม่ที่กำเนิดขึ้น ย่อมทำให้คนรู้สึกสุขใจเสมอ”
นั่นสินะ
รอยยิ้มของเฟิงซิวหายไป เอ่ย “กลับมาเข้าเรื่อง ก่อนหน้านี้ท่านหมายความอย่างไร ท่านสู้กับซื่อหลัวอย่างนั้นหรือ”
[1] ฝูซี เป็นเทพและบุคคลในตำนานจีนที่มีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมจีนโบราณ ถือว่าเป็นหนึ่งใน สามกษัตริย์ ผู้สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับมนุษย์ในยุคเริ่มต้น โดยในตำนานฝูซีมีสถานะเป็นปฐมกษัตริย์และผู้นำในยุคดึกดำบรรพ์ บางครั้งยังถูกยกย่องว่าเป็น “บิดาของมนุษยชาติ”
[2] ซี (羲) แต่ชื่อของเฉวียนซีจะมีตัวอักษร 日 ที่แปลว่าดวงอาทิตย์อยู่ด้วย เขียนว่า ซี (曦)
………………..