คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1178 เขากับข้าล้วนมีวาสนาในวิถีเดียวกัน
ตอนที่ 1178 เขากับข้าล้วนมีวาสนาในวิถีเดียวกัน
………………..
ฉินหลิวซีสีหน้านิ่งสงบเยือกเย็น เอ่ยเล่าเรื่องการปะทะกับซื่อหลัวเพียงสามประโยคสั้น ๆ กระชับไร้คำเกินความจำเป็น
เฟิงซิวขมวดคิ้วเอ่ย “ตามที่ท่านว่า นั่นหมายความว่าเขารู้อยู่แล้วว่าท่านสำรวจม่านอาคมนั้น อีกทั้งยังยอมรับว่าจุดนั้นคือดวงตาของค่ายอาคม แต่แม้พวกเราทำลายไปถึงสองแห่ง เขากลับมิได้มีท่าทีร้อนรน เหมือนกับว่าไม่ได้ใส่ใจอะไร”
ฉินหลิวซีระลึกถึงท่าทีของซื่อหลัว เอ่ยเบาๆ “เป็นเช่นนั้นจริง”
“หากเขาไม่ใส่ใจ เช่นนั้นเหตุใดจึงต้องตั้งค่ายอาคมขึ้นมาให้เสียแรงเสียพลัง” เฟิงซิวยิ่งคิดยิ่งไม่เข้าใจ “อย่างเช่นครั้งนี้ ไยเขาต้องยอมเสียพลังวิญญาณ มีเวลาว่างเช่นนี้มิสู้เก็บพลังไว้เผชิญเคราะห์สวรรค์มีดีกว่าหรือ”
“เว้นเสียแต่เขายังมีแผนลับบางอย่างที่เป็นไพ่ตายที่เตรียมไว้” ฉินหลิวซีไกวอ้อมแขนปลอบทารกในห่อผ้า กล่าวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง เอ่ย “ค่ายอาคมเล็กเหล่านี้ แม้ดูเผินๆ จะเหมือนไร้ผลประโยชน์ แต่แท้จริงกลับสร้างหายนะดุจโรคระบาดแก่พื้นที่โดยรอบ อย่างเช่นที่เมืองหนานซานเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ หรือที่ทางซีเป่ยซึ่งสงครามมิได้เว้นว่าง พวกเราทำลายเจดีย์ผีแล้ว พลังอาฆาตกลับแผ่ซ่านจนทำให้เหล่าทหารเสียสติ และบางส่วนถึงขั้นตายโดยไร้ศึก เช่นเดียวกับเด็กน้อยผู้นี้ที่คลอดก่อนกำหนดเพราะมารดาของเขาเผชิญพลังอาฆาตโดยตรง จนแม้แต่ร่างกายของเขาก็ยังติดไอร้ายนี้มา”
ฉงฉี ดวงตาค่ายอาคมที่นี่ เป็นเหมือนสัตว์ร้าย กลืนกินพลังวิญญาณไม่ขาด หากพวกเขาไม่รู้ ปล่อยให้มันอยู่ต่อไป พลังอาฆาตกระจายไม่ขาดสาย หลายแห่งคงกลายเป็นเมืองร้าง กลายเป็นเมืองผี
เฟิงซิวฟังพลางประมวลเรื่องราว ดวงตาค่ายอาคมมากมายเพียงนี้ไม่รู้อยู่ที่ใดบ้าง หากเหมือนเจดีย์ผี เช่นนั้นทั่วทั้งใต้หล้าคงไม่อาจสงบได้
นี่อย่างไรก็ไม่ใช่การบูชายันต์
“ไพ่ลับใบสุดท้ายที่แท้จริงของเขาคืออะไรกัน” เฟิงซิวเอ่ยพึมพำ
ฉินหลิวซีเอ่ย “ปริศนาทุกประการย่อมมีวันที่จะถูกเปิดเผย ดวงตาค่ายอาคมเหล่านี้ยังต้องหาต่อไป หากมีค่ายที่ร้ายแรงเหมือนเจดีย์ผี คนที่จะต้องสังเวยชีวิตคงมากมาย อีกทั้งฤดูหนาวปีนี้ก็จะหนาวยิ่งกว่าปีก่อน หายนะจากหิมะถล่มอาจเกิดขึ้น และคงต้องดูว่าสิ่งเหล่านี้เกี่ยวข้องกับค่ายอาคมหรือไม่”
“เขาเป็นคนบ้าจริงๆ” เฟิงซิวเดินกลับไปกลับมาในกระโจม หันไปเอ่ยกับนาง “อีกทั้งยังรู้อยู่แล้วว่ากระดูพุทธะชิ้นนั้นอยู่ที่ท่าน แต่กลับไม่คิดทวงคืน เขาต้องการทำสิ่งใดกันแน่”
ฉินหลิวซีลดสายตามองนิ้วชี้ของตน เอ่ย “ใช่แล้ว เหลือเพียงอีกสามแห่งที่ยังไม่ถูกทำลาย แต่เขาก็ไม่เร่งร้อน ทั้งที่เขาบอกเป็นนัยอย่างชัดเจนแล้วว่าวันที่เขาจะกลายเป็นเทพเจ้าใกล้เข้ามา”
นั่นย่อมหมายความว่ากลียุคกำลังจะมา เพราะสัญญาณทั้งหลายได้ปรากฏแล้ว
เฟิงซิวรู้สึกอึดอัดเหมือนมีก้อนหินกดทับหัวใจ
“ที่นี่ไม่มีเรื่องอื่นแล้ว เจ้าจงไปทำหน้าที่ของเจ้าเถิด” ฉินหลิวซีเอ่ย “เพียงมุ่งมั่นค้นหาดวงตาค่ายอาคมเหล่านี้ ส่วนเรื่องอื่นไม่ต้องใส่ใจนัก ผลลัพธ์แม้ไม่อาจสมบูรณ์ แต่ก็คงไม่ถึงกับล่มสลายทั้งใต้หล้า”
เฟิงซิวตะลึงงัน “เหตุใดจึงมั่นใจเช่นนั้น”
ฉินหลิวซีชี้แตะที่กระหม่อมของเด็กน้อย เอ่ย “เพราะข้ามองเห็นฟ้าลิขิตในชะตาของเขา เด็กผู้นี้เมื่อถึงวัยที่ชะตากำหนดเขาจะกลายเป็นผู้ปกครองโลกหล้า”
หากใต้หล้าถึงกาลดับสูญ เด็กน้อยผู้นี้จะยังมีชะตากำหนดได้อย่างไร
เฟิงซิวมองนางที่ยิ้มอ่อนละมุน แต่กลับรู้สึกถึงความหนักอึ้งในใจ
ใต้หล้าจะไม่ดับสูญ แต่ต้องแลกด้วยการเสียสละที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งอาจเป็นเขา นาง หรือแม้แต่สำนักพุทธและเต๋าทั้งปวง ตลอดจนเหล่าผู้บำเพ็ญตนทั้งหลาย
ใต้หล้าอาจอยู่รอด แต่ผู้ปกป้องกลับมิอาจปกป้องตนเองได้
เฟิงซิวหันหลังเดินจากไป
ฉินหลิวซีอุ้มเด็กทารกในผ้าอ้อม พึมพำเบาๆ ว่า “คนผู้นั้นมักเอ่ย ยุคสมัยนี้ไม่ได้เต็มไปด้วยพลังลมปราณเหมือนเมื่อห้าพันปีก่อน จึงทำให้พวกเราเหล่าผู้ที่บำเพ็ญตนทางธรรมต้องพากันทำไปอย่างไร้ผล แต่เขากลับมองแค่เพียงจุดนี้เพียงอย่างเดียวเท่านั้นหรือ เขาลืมไปหรือไม่ว่า ยุคสมัยจริงๆ ได้เปลี่ยนไปแล้ว ยุคที่เต็มไปด้วยพลังลมปราณในอดีต เขายังสามารถเรียกพายุฝนได้ เรียกมังกรได้ ต้องการรวมพลังของทั้งสองศาสนาคือพุทธและเต๋าจึงจะครอบครองได้ แต่ในยุคที่พลังลมปราณบางเบาเช่นนี้ เขากลับยังต้องพึ่งพาผู้อื่นเพื่อรักษาร่างกายและบรรลุการเป็นเทพ แล้วการเป็นเทพ ไหนเลยจะง่ายเพียงนั้น”
เหตุผลล้วนเหมือนกัน ในยุคที่พลังลมปราณแข็งแกร่งเขาคือผู้ยิ่งใหญ่ แต่ในยุคที่พลังลมปราณบางเบา เขาจะเป็นเพียงแค่ผู้ยิ่งใหญ่ที่เสื่อมถอยลงมิเช่นนั้นไยเขาต้องสร้างเรื่องราวมากมายเช่นนี้ หนีออกมาจากมหานรกอเวจีแล้วไยต้องรอเวลาด้วย
นี่แหละคือกฎเกณฑ์ของสวรรค์ที่กดขี่ลงมา
ดังนั้น สุดท้ายแล้วมันก็เป็นเรื่องของชีวิตหรือความตาย ต้องเลือกกันเอง
“ข้าพูดถูกหรือไม่ เฉวียนซีน้อย” ฉินหลิวซียิ้มให้ พร้อมกับจิตใจที่รู้สึกเบาสบายมากขึ้น
เมื่อจิตใจของนางรู้สึกเบาสบาย พลังลมปราณในร่างนางก็หมุนเวียนรอบๆ ตัวนาง พลังที่ไม่ใหญ่แต่กลับเปล่งประกายจากภายใน เหมือนดั่งดาวน้อยๆ ที่กะพริบอยู่เต็มท้องฟ้า
เฉวียนซีน้อยในอ้อมแขนของนาง เหลือบตามองและพยายามลืมตาขึ้น ปรากฏว่าเห็นดวงตาคู่นั้นที่เหมือนกับท้องฟ้ากว้างใหญ่เต็มไปด้วยดาวคอยหมุนรอบ เขายังไม่เข้าใจสิ่งที่เห็นในตอนนี้ แต่เขารู้สึกถึงจักรวาลที่อยู่รอบตัวเขานั้น ปากเขายิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
พลังลมปราณถูกเขาดูดซับไปบ้าง ฉินหลิวซีบ่นพึมพำ “เจ้าช่างมีวาสนากับเต๋าของข้า”
นางก็ทำเหมือนที่เฟิงซิวเคยทำ ยื่นมือไปแตะที่จุดแท่นวิญญาณของเขา แล้วส่งพลังวิญญาณเข้าไป ยามนี้เมื่อตบะของนางแข็งแกร่งยิ่งขึ้น พลังวิญญาณนี้เข้าสู่ร่างกายปกป้องร่างกาย ดีกว่าเครื่องรางอาวุธวิเศษทั้งหลายทั้งปวง พลังชั่วร้ายทั้งหลายไม่เข้ามาทำร้าย เผชิญเรื่องอันตรายก็สามารถพลิกสถานการณ์ได้ แน่นอนว่าเขาต้องรู้จักตั้งใจและไม่รนหาที่ตาย
ฉินหลิวซีวางเด็กลงบนตักของนาง แล้วจับมือทั้งสองข้างรวมกัน เริ่มเดินลมปราน เรียกพลังจากธาตุทั้งห้าในโลกมาไหลเวียนภายในร่าง นางใช้พลังลมปราณบางเบาครอบคลุมทั้งตัวนางและเด็กทารก จนทั้งคู่เข้าสู่ภาวะนิ่งสงบ
วันถัดมาฉินหลิวซีอุ้มเฉวียนซีน้อยไปหาสีเจิง สีเจิงเองเพิ่งตื่นขึ้นมากินข้าวเช้า มองเห็นนาง ดวงตาพลันวาวขึ้น
“ท่าน…ไม่ใช่ ตอนนี้ข้าควรเรียกท่านว่าเจ้าอาวาสแล้ว” ดวงตาสีเจิงมีความรู้สึกห่วงใจ เป็นห่วงฉินหลิวซี นางจะต้องเศร้าใจไม่น้อยเป็นแน่
ฉินหลิวซียิ้มบางๆ เอ่ย “เพียงคำเรียกขานเท่านั้น ตามสบายเถิด สีหน้าเจ้าดูไม่เลวเลย”
สีเจิงเอ่ย “ข้าฟังมาจากหม่าอิงแล้วว่าท่านคือผู้ที่ช่วยข้าฝังเข็ม ท่านเจ้าอาวาส ท่านช่วยชีวิตข้าอีกครั้งแล้ว”
นางตั้งใจจะลุกขึ้นเพื่อคารวะขอบพระคุณอย่างยิ่ง แต่ฉินหลิวซีห้ามไว้ “ไม่ต้องขยับแล้ว อย่าให้ข้าต้องเสียพลังการฝังเข็มไปเปล่าๆ ให้เจ้าอุ้มลูกดู”
สีเจิงยื่นมือไปรับเด็กทารกในผ้าอ้อม เมื่อมองพลันชะงัก “นี่ นี่คือลูกของข้าหรือ”
หม่าอิงมองมา ส่งเสียงร้องตกใจ “นี่ไม่ใช่คุณชาย เจ้าเปลี่ยนตัวคุณชายของเราหรือ”
“หม่าอิง อย่าเอ่ยเหลวไหล” สีเจิงขมวดคิ้วเคร่งขรึม ดุเสียงดัง “เจ้ามองทารกให้ดีๆ ก่อน”
หม่าอิงมองดูอีกครั้ง แล้วรู้สึกอับอายหน้าแดง ผ้าอ้อมนั้นเต็มไปด้วยเด็กทารกที่มีผิวพรรณเนียนนุ่ม ดวงตาของเขาแม้จะยังปิด แต่ตาเขาเรียวเหมือนกับตาของสีเจิงอย่างแท้จริง ใบหน้ารูปหน้าเด่นชัดว่าเหมือนเฉวียนจิ่ง
คุณชายน้อย มีส่วนดีของบิดามารดามารวมกัน
พวกนางรู้สึกตกใจ เพราะเด็กที่พวกเขาเห็นเมื่อคืนนี้นั้นทั้งอ่อนแอและตัวเล็กมาก เหมือนกับลูกแมวที่เปียกน้ำ แต่เพียงแค่ข้ามคืน เด็กทารกดูเหมือนจะเติบโตขึ้นทันที ผิวพรรณสดใสและหน้าตาดูสดชื่นขึ้นมาก ไหนแลยจะเหมือนคลอดก่อนกำหนดแล้ว
หม่าอิงคุกเข่าลง “ข้าน้อยเอ่ยผิดไป ขอท่านเจ้าอาวาสยกโทษให้ข้าด้วย”
สีเจิงก็ช่วยแก้ตัว “เขานิสัยดื้อรั้น ไม่ค่อยคิดอะไร ขอโทษแทนเขาด้วย”
ฉินหลิวซียิ้มและโบกมือ “ทหารผู้ปกป้องบ้านเมืองย่อมดีทั้งนั้น ลุกขึ้นเถิด” นางมองไปที่ทารกแล้วเอ่ยต่อ “ไม่แปลกใจหรอกที่พวกเจ้าจะตกใจ เพราะเมื่อคืนข้าใช้พลังฝึกฝนเข้าเดินลมปราณทั้งคืน ทำให้ลมปราณบางเบามาบ่มให้เขา อีกทั้งเขายังได้กินของดีๆ หลังจากนั้นจึงกลายเป็นเช่นนี้ เฉวียนซีน้อย เขามีวาสนากับเต๋าของข้า”
“อะไรนะ ท่านจะพาลูกของข้าไปเป็นนักพรตหรือ” เสียงแหบแห้งและตื่นตระหนกดังขึ้นทันที ผ้าม่านถูกกระชากเปิดออก มีคนที่ท่าทางเย็นชาเดินเข้ามาพร้อมกับลมเย็นๆ