คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1179 ตำแหน่งในเรือกบฏขาดเพียงเจ้าแล้ว
- Home
- คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า
- ตอนที่ 1179 ตำแหน่งในเรือกบฏขาดเพียงเจ้าแล้ว
ตอนที่ 1179 ตำแหน่งในเรือกบฏขาดเพียงเจ้าแล้ว
………………..
ลมหนาวพัดเข้ามาในกระโจม พวกฉินหลิวซีหันไปมอง บุรุษใบหน้าเต็มไปด้วยเครารุงรังและร่องรอยเหน็ดเหนื่อย สวมเสื้อคลุมหนาปรากฏสู่สายตา
ไม่ใช่เฉวียนจิ่งแล้วจะเป็นผู้ใด
สีเจิงขมวดคิ้ว “เจ้ามาที่นี่ทำไมหรือ ไม่ใช่ว่าต้องเฝ้าอยู่ที่เมืองอันหรือ”
เฉวียนจิ่งมีรอยคล้ำใต้ตาและดวงตาแดงก่ำจากความเหนื่อยล้า เห็นได้ชัดว่าเขารีบมาทันทีที่ได้รับข่าว เขาถอดเสื้อคลุมหนาออกแล้วเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้ง “ลูกคลอดก่อนกำหนด แถมยังไม่ถึงเจ็ดเดือนด้วยซ้ำ ข้าจะอยู่นิ่งเฉยได้อย่างไร”
สีเจิงหัวใจอ่อนยวบ เอ่ย “ข้าก็บอกแล้วว่าแม่ลูกปลอดภัย บอกเจ้าแล้วว่าท่านเจ้าอาวาสช่วยเรา ทุกอย่างจะราบรื่น เจ้าควรไปใส่ใจกับการปกป้องเมืองปกป้องแผ่นดิน”
“หน้าที่ต้องเป็นเช่นนั้น แต่ใจของข้า ข้าเป็นห่วงแต่ภรรยาและลูกชายของข้า” เฉวียนจิ่งเดินเข้ามา จ้องไปที่เด็กในอ้อมแขนของสีเจิงด้วยแววตาอ้อนวอน มือที่ยื่นออกไปชะงักและถอยกลับเพราะกลัวจะส่งความเย็นไปยังเด็กทารก มีท่าทีลังเล
ฉินหลิวซีที่ยืนมอง หัวเราะออกมา “เมื่อกี้ยังทำตัวห่ามอยู่เลย ตอนนี้กลับลังเลขึ้นมาอย่างนั้นหรือ”
นางตวัดนิ้วร่ายอาคมใส่เขา ทำให้ฝุ่นและกลิ่นไม่พึงประสงค์ที่ติดตัวเขาหายไปในทันที แม้กระทั่งความเย็นจากลมหนาวก็จางลง
หม่าอิงที่อยู่ใกล้ๆ ได้แต่มองด้วยความตกตะลึงอีกครั้ง
สีเจิงใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เฉวียนจิ่งยกมือประสานขอบคุณฉินหลิวซี ใบหน้ามีความตื่นเต้น เอ่ย “ท่านว่าข้าเรียนวิชานี้ต้องใช้เวลากี่ปีถึงจะสำเร็จ”
เรียนได้แล้ว จะเปลี่ยนเสื้อผ้าหรือไม่ก็ไม่เป็นไร เพียงร่ายอาคม เขาก็จะสะอาดสะอ้าน
“ในฝันมีทุกสิ่งอย่าง” ฉินหลิวซีเอ่ยอย่างไม่ไยดี “รีบไปอุ้มลูกเสียสิ”
เฉวียนจิ่งหันกลับมาอีกครั้ง มองเด็กในผ้าอ้อมด้วยความไม่มั่นใจ “หรือว่า ให้ท่านอุ้ม ข้าเพียงขอดู ว่ากันว่าอุ้มหลานไม่อุ้มลูก…”
“ไร้สาระ” สีเจิงตวาดและยื่นเด็กให้เขา “ลูกยังไม่อุ้มแล้วจะไปอุ้มหลานอะไรกัน”
เฉวียนจิ่งร้องอุทาน รีบรับเด็กไว้ในอ้อมแขน แม้แรกๆ จะดูเก้ๆ กังๆ แต่ไม่นานก็กลายเป็นท่วงท่าที่คล่องแคล่ว
ฉินหลิวซีเลิกคิ้ว เอ่ยถาม “ดูเข้าท่า เคยฝึกหรือ”
จะให้บอกว่าเขาม้วนห่อผ้าแอบฝึกอุ้มทุกคืน คงเสียภาพลักษณ์แม่ทัพใหญ่หมด
ไม่อาจบอกได้ บอกไม่ได้
สีเจิงเหลือบมองใบหูที่แดงก่ำของเขา คนร่วมเตียงเคียงหมอนไหนเลยจะไม่รู้ว่าเขาคิดสิ่งใด
เจ้าเด็กนี่กำลังโกหก
ยามนี้เฉวียนจิ่งมองเห็นบุตรชายตนเอง ตกใจกับใบหน้าสดใสมีน้ำมีนวล พึมพำพลางเอ่ย “นี่คือบุตรชายข้าหรือ”
สีเจิงใบหน้าเขียว กลอกตา
“เหมือนข้า ที่แท้ข้าตอนเด็กมีน้ำมีนวลเช่นนี้หรอกหรือ” ใบหน้าเฉวียนจิ่งเต็มไปด้วยความยินดี เอ่ย “เด็กดี เด็กคนนี้รวมเอาจุดเด่นพวกเรามาหมดเลย ตาเฒ่าเห็นต้องชอบมากแน่ๆ”
สีเจิงคิดในใจว่า เจ้าคงไม่เคยเห็นหน้าลูกตอนคลอดออกมาใหม่ๆ ผิวเหี่ยวเหมือนลูกแมว ดูน่าสงสารแทบไม่รอด แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นคนละคนราวฟ้ากับเหว
เฉวียนจิ่งมองลูกด้วยความเอ็นดู ก่อนจะนึกขึ้นได้ “เด็กคลอดก่อนกำหนดมิใช่หรือ แต่ทำไมบุตรชายข้าดูดีกว่าเด็กครบกำหนดเสียอีก”
ดูแล้วก็ไม่เหมือนคลอดก่อนกำหนดนี่นา
ฉินหลิวซียิ้ม “ดังนั้นข้าจึงบอกว่า เพราะเด็กคนนี้มีวาสนากับเต๋าของข้า ตอนที่ข้าฝึกบำเพ็ญ เขาเองก็ได้รับพลังลมปรานล่อเลี้ยงบำรุงไปด้วย ไม่เลวเลย”
สีเจิงเอ่ยด้วยความโล่งใจ “ถ้าไม่ได้ท่านเจ้าอาวาส เกรงว่าลูกคงไม่รอดแล้ว”
“ถุยๆๆ ตระกูลเฉวียนของเรามีบารมี จะเสียลูกไปได้อย่างไร อย่าเอ่ยเรื่องไร้สาระเช่นนั้นอีก” เฉวียนจิ่งส่งเสียงฮึดฮัด หันไปเอ่ยกับฉินหลิวซี “เอ่อ เด็กคงไม่อาจออกบวชไปเป็นนักพรต พวกเราเป็นขุนพล สังหารไปมาก กรรมสังหารหนัก ไม่รู้ว่าจะมีลูกกี่คน ตอนนี้เขาเป็นหลานเชื้อสายหลักคนโต คงต้องสืบเชื้อสายการเป็นขุนพล นำทัพปกป้องแผ่นดิน นี่คือวิถีของตระกูลเฉวียน”
มุมปากฉินหลิวซีกระตุก เอ่ย “ใครบอกว่าข้าจะให้เขาออกบวช เจ้าคิดไปเองทั้งนั้น”
“อ๋า”
“มีวาสนากับลัทธิเต๋าไม่ได้หมายความว่าต้องออกบวชเสมอไป เขาอาจเป็นศิษย์นอกวัดก็ได้ ลัทธิของข้ายังสอนวิชาต่อสู้ที่เหมาะกับนักรบ รวมถึงวิชาค่ายอาคมล้ำลึก หากเจ้าตกลง พอเด็กอายุครบห้าขวบ ส่งไปฝึกที่อารามชิงผิง ข้ารับรองว่าเขาจะกลายเป็นแม่ทัพที่เก่งกาจในอนาคต” ฉินหลิวซีเห็นเด็กเริ่มร้องไห้ ยื่นมือออกไป “เอามาให้ข้า เขาคงจะหิวแล้ว”
ไม่ใช่สิ เขาเพิ่งอุ้มเด็กเองนะ
แต่ทว่าเด็กไม่ร้องไห้กลายเป็นสมบัติล้ำค่า แต่หากร้องขึ้นมาก็ทำเอาคนฟังขนลุกขนพอง โดยเฉพาะเมื่อเจ้าตัวน้อยเปล่งเสียงแหลมสูงพร้อมน้ำเสียงแหบพร่า ราวกับจะทุ่มพลังทั้งหมดในร่างกายให้กับการร้องไห้ครั้งนี้ กระนั้นด้วยร่างกายที่อ่อนแอ เสียงที่ออกมากลับไม่ได้ดังเท่าที่ควร ยิ่งทำให้คนมองรู้สึกปวดใจ
เมื่อเฉวียนจิ่งส่งเด็กให้ผู้อื่นอุ้ม ลูกชายไปถึงมือนางกลับหยุดร้องไห้ ทำได้เพียงน้อยอกน้อยใจ เขามองไปยังสีเจิงด้วยความไม่เข้าใจ ใบหน้าประหลาด
สีเจิงเม้มริมฝีปากแอบหัวเราะ
ลูกหิวแล้ว ต้องกินนมสิ แต่ทุกคนเห็นฉินหลิวซีหยิบชิ้นผลไม้ขนาดเท่านิ้วมือออกมาจากถุง ส่งไปยังริมฝีปากของเด็กน้อย
ทุกคนแทบจะกรีดร้องออกมา
นั่นมันผลไม้นะ เด็กแรกเกิดจะกินได้อย่างไร
เฉวียนจิ่งแทบจะเป็นบ้า คิดไม่ถึงว่าท่านเจ้าอาวาสผู้ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้เองจะมียามที่ไม่สมเหตุสมผลเช่นนี้
เขากำลังจะพุ่งเข้าไป ทว่าเห็นนิ้วมือนางร่ายอาคม จากนั้นยืนมองผลไม้แห้งลงตาปริบๆ น้ำผลไม้หยดลงไปในปากของเด็กน้อยที่อ้ารออยู่
ทุกคน “!”
เด็กแรกเกิดดื่มน้ำผลไม้ได้ แถมเขายังรู้ว่านี่เป็นของกิน อ้าปากรับเองด้วย การดิ้นรนเอาชีวิตรอดของเด็กได้มาแต่เกิดหรือ
แต่สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นก็คือ ผลไม้เพียงผลเล็กๆ น้ำแค่หยดเดียวก็น่าจะหมดแล้ว แต่เจ้าตัวเล็กยังสามารถเรอออกมาอีก ใครจะเชื่อกัน
“นี่คือผลหลิงกั่ว ผลไม้วิเศษที่เจริญเติบโตในป่าลึกที่ไม่มีมนุษย์รบกวน ถูกชโลมด้วยพลังวิญญาณแห่งฟ้าดิน เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าครั้งก่อนเจ้าจ่ายเงินมหาศาลซื้อมาเอง” ฉินหลิวซีปรายตามองเฉวียนจิ่ง เอ่ย “เขาคลอดก่อนกำหนด ร่างกายอ่อนแอ หากอยากให้เขารอด จำเป็นต้องได้รับสิ่งที่อุดมด้วยพลังวิญญาณ ผลหลิงกั่วพวกนี้เพียงพอที่จะทำให้เขาอิ่ม อีกทั้งยังช่วยปรับสมดุลเส้นพลัง และอวัยวะภายในทั้งห้า มิเช่นนั้น เจ้าไม่คิดหรือว่าเด็กคลอดก่อนกำหนดจะดูสมบูรณ์แข็งแรงถึงเพียงนี้”
เฉวียนจิ่งนึกออกแล้ว เพราะผลลูกนี้มีสีแดงจนเกือบม่วง แตกต่างจากที่เขาเคยกิน จึงไม่ได้คิดไปทางนั้น แต่ไม่คิดว่านี่คือของล้ำค่าที่ทองเป็นพันก็ไม่อาจได้มา
เขารีบหยิบผลไม้ที่แห้งเหี่ยวส่งไปให้ถึงปากของสีเจิง เอ่ย “ภรรยา แม้ว่ามันจะแห้งแล้ว แต่ก็อย่าปล่อยให้สูญเปล่า กินเถิด มันจะช่วยบำรุงร่างกายเจ้า”
นางไม่ใช่คนไร้ความรู้ เม็ดยานั้นมีกลิ่นโสมเข้มข้น หลังจากที่กินเข้าไป พลังของนางฟื้นคืนอย่างรวดเร็ว เพียงชั่วข้ามคืน นางกลับมาสดใสไม่ต่างจากก่อนคลอด
ด้วยเหตุนี้นางมั่นใจว่าเม็ดยาที่กินเข้าไปไม่ใช่ธรรมดา
เฉวียนจิ่งยังคงพยายามจะยัดเยียดให้นางกินต่อไป ฉินหลิวซีจึงเอ่ย “สิ่งที่นางกินคือเม็ดยาเม็ดโสมพันปี มีพลังวิญญาณที่เหนือกว่าผลไม้แห้งนี้หลายเท่า”
เมื่อได้ยินดังนั้น เฉวียนจิ่งจึงโยนผลไม้แห้งเข้าปากเคี้ยวทันที แม้ว่าจะไม่มีน้ำผลไม้แล้ว แต่เนื้อผลไม้ยังคงเปี่ยมไปด้วยพลังวิญญาณ ทำให้รู้สึกสดชื่นจนเขาน้ำลายสอ เขาอดไม่ได้มองไปทางฉินหลิวซี “ยังมีอีกหรือไม่ เงินไม่ใช่ปัญหา”
ฉินหลิวซีคล้ายจะยิ้มทว่าไม่ยิ้ม เอ่ย“ความร่ำรวยของตระกูลเฉวียน ต้องเก็บซ่อนสักหน่อย ปีนี้มีภัยพิบัติมากมาย ผลผลิตจากไร่นามีน้อย ผู้คนต้องรัดเข็มขัดกันหมด อีกทั้งปีนี้ยังเป็นหน้าหนาวที่หนาวเย็นกว่าเดิม จะยิ่งลำบากขึ้นไปอีก กรมคลังคงไม่มีเงินเหลือแล้วกระมัง”
สีหน้าของเฉวียนจิ่งและสีเจิงเปลี่ยนไปทันที สีเจิงส่งสายตาให้หม่าอิง ผู้ติดตามของพวกเขาจึงรีบออกไปยืนเฝ้าที่หน้ากระโจม สั่งให้ผู้คุ้มกันที่อยู่รอบๆ ถอยออกไปให้ไกลขึ้น
“ท่านเจ้าอาวาสได้รับข่าวอะไรมาหรือ” เฉวียนจิ่งขมวดคิ้ว “ทางซีเป่ยมีเผ่าต่างถิ่นบุกเขตชายแดนเข้ามาแล้ว เมืองถงเองก็เพิ่งเสียเมือง หากพ้นเมืองถงไปก็จะถึงเมืองเว่ย หากเสียเมืองเว่ยไปอีก คงยากจะรักษาด่านหยางกวนได้ ซีเป่ยคงถึงคราววิกฤติ”
ด่านหยางกวนเป็นแนวป้องกันเผ่าต่างถิ่นที่สำคัญ หากพ่ายแพ้คงไม่ต่างจากปล่อยหมาป่าเข้ากรงไก่
เฉวียนจิ่งเอ่ยต่อด้วยสีหน้าทะมึน “ไม่ปิดบังท่านเจ้าอาวาส ช่วงเดือนเก้ากับเดือนสิบ เงินเดือนทหารล้วนมาจากตระกูลเฉวียนช่วยออกไปก่อน ท่านเจ้าอาวาสบอกว่าปีนี้หน้าหนาวจะหนาวจัด กรมคลังไม่มีเงิน เช่นนี้หมายความว่าแม้แต่เงินเดือนทหารยังไม่มีหรือ เรื่องเงินเดือนนั้นไม่เป็นไร แต่เผ่าต่างถิ่นยังบุกมาไม่หยุด อีกทั้งฤดูหนาวยังขาดเสื้อกันหนาวและเสบียงอาหาร เช่นนี้จะรับมือกับศัตรูได้อย่างไร”
เขาเอ่ยจบ ดวงตาแดงก่ำ สายตาเต็มไปด้วยความแข็งกร้าว บรรยากาศรอบตัวพลันเปลี่ยนเป็นกดดัน ความสง่างามและความเด็ดเดี่ยวในฐานะแม่ทัพปรากฏออกมาอย่างเต็มเปี่ยม ขัดกับท่าทางเซ่อซ่าก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง
นี่คือแม่ทัพใหญ่ที่สืบสายเลือดแห่งการรบ ก้าวผ่านศึกสงครามมาอย่างโชกโชน มีชื่อเสียงตั้งแต่อายุยังน้อย เยือกเย็น หยิ่งทะนง เต็มไปด้วยคุณสมบัติของบรรพบุรุษผู้ยิ่งใหญ่
“เงินในกรมคลังไม่มีเป็นความจริง อย่างไรภัยพิบัติมากมาย ทำให้การเก็บเกี่ยวเสียหาย เก็บภาษีได้น้อย และทุกหนทุกแห่งต้องการการช่วยเหลือผู้ประสบภัย นอกจากนี้ฝ่าบาทเลือกเจ้าเป็นแม่ทัพ ควบคุมเมืองถง ถึงตอนนั้นรุ่ยอ๋องฉีเชียนจะส่งกองทัพมาช่วยในการรบ”
เฉวียนจิ่งตกใจ “รุ่ยอ๋อง เขาได้รับหน้าที่นี่แล้ว เขาไม่ใช่…”
เฉวียนจิ่งถอยไปหนึ่งก้าว เจ้าอย่ายิ้ม รอยยิ้มนี้น่าขนลุกยิ่งกว่ารอยยิ้มของพวกที่น่ากลัวมากนัก
“วังตะวันออกว่างเปล่า ฮ่องเต้นิ่งเงียบ ตำแหน่งรัชทายาทไม่สามารถเว้นว่าง” ฉินหลิวซีอุ้มห่อผ้าอ้อม เอ่ย “ตระกูลเฉวียนไม่สนใจทำผลงานเพื่ออำนาจหรือ”
เฉวียนจิ่งตาเบิกกว้าง
สมองของสีเจิงดึงอื้ออึง
นี่คือการชักชวนให้ตระกูลเฉวียนของพวกเขาร่วมกบฏหรือ
นางกล้าได้อย่างไร ไม่สิ นางกล้ามากจริงๆ
เฉวียนจิ่งรู้สึกปากแห้ง เดินมาที่โต๊ะ หยิบชาในถ้วยดื่มจนหมดแล้วหยุดเงียบไปสักพัก เนิ่นนานก่อนจะเอ่ยปาก “ท่านคงไม่ได้ชอบรุ่ยอ๋องกระมัง”
“ไม่ใช่ข้าชอบ แต่เป็นใต้หล้าชอบ”
เฉวียนจิ่งเอ่ย “ตระกูลเฉวียน ภักดีต่อแผ่นดิน สิ่งนี้ไม่เคยเปลี่ยนแปลง”
ผู้ใดเป็นฮ่องเต้ พวกเขาก็ภักดีต่อผู้นั้น นี่เป็นกฎของตระกูลเฉวียน
“ไม่ได้ให้เจ้าไปก่อกบฏบุกลอบสังหารในวังหลวง เพียงเลือกข้างเท่านั้น” ฉินหลิวซีเอ่ย
เฉวียนจิ่งได้ยินคำว่าลอบสังหาร เกือบทนไม่ไหว คนผู้นี้ร้ายมากจริงๆ
“ดวงดาวฮ่องเต้มัวหมอง เป็นความจริงหรือ”
ฉินหลิวซีพยักหน้าพลางเอ่ย “ไม่เกินสามปี ดวงดาวฮ่องเต้จะตกต่ำ”
สามปีนี้เป็นช่วงปกป้องระมัดระวัง ไม่แน่ปีหน้าฮ่องเต้ผู้สะสมพิษในร่างกายผู้นั้นอาจจะลาโลกก็เป็นได้
เฉวียนจิ่งรู้สึกขนลุกเล็กน้อย ไม่ใช่เขาไม่เชื่อคำของฉินหลิวซี แต่เมื่อเชื่อแล้วกลับรู้สึกกลัว เพราะตอนนี้คลังเงินของแคว้นว่างเปล่า สงครามเกิดบ่อย ชนเผ่าภายนอกพยายามบุกรุกดินแดนจงหยวน หากฮ่องเต้สิ้นพระชนม์ ความวุ่นวายทั้งภายในและภายนอกจะทำให้ประชาชนตกอยู่ในความทุกข์ยาก
สีเจิงฉลาด มองหน้าฉินหลิวซีที่เต็มไปด้วยความนิ่งสงบ เอ่ย “ท่านเจ้าอาวาสเห็นด้วยหากรุ่ยอ๋องจะขึ้นครองบัลลังก์ เตรียมตัวกันแล้วหรือ”
“เรื่องนี้ไม่ใช่ข้าสามารถตัดสินได้ ท่านปู่จงรักภักดีต่อต้าเฟิงเป็นที่สุด กองทัพตระกูลเฉวียน ยังเป็นเขาที่ตัดสินใจ” เฉวียนจิ่งเอ่ย “ข้ายังยืนยันประโยคนั้น ตระกูลเฉวียนของเรา ซื่อสัตย์ต่อผู้เป็นฮ่องเต้ตลอดมา”
ฉินหลิวซีหัวเราะหึ
เฉวียนจิ่งเอ่ยต่อ “ในเมื่อเป็นคนที่ท่านเจ้าอาวาสมองว่าดี เช่นนั้นก็เป็นสหายของตระกูลเรา สำหรับเพื่อนแล้ว แน่นอนต้องช่วยเหลืออำนวยความสะดวก”
ฉินหลิวซีเหลือบมองเขา เอ่ย “ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าทำสิ่งใด เพียงต้องการให้เจ้าหนุนหลังในยามที่จำเป็น”
“เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว”
ฉินหลิวซีหยิบผลไม้ล้ำค่าสองลูกออกมามอบให้เขา “กินหนึ่งลูกแล้วกลับไปที่ค่ายทหารเถิด คิดว่าราชโองการฝ่าบาทคงใกล้มาถึงแล้ว สำหรับผู้ที่จงรักภักดีต่อแผ่นดิน ความรักใคร่ของบุรุษสตรีอาจทำให้เจ้าถูกตำหนิ โดยเฉพาะยามนี้ ฤดูหนาวกำลังมาถึง สงครามซีเป่ยมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น เจ้าจะเผชิญกับความยากลำบากที่ยากจะคาดคิด สำหรับเงินทองควรเก็บไว้ เตรียมเสบียงและเสื้อผ้าหน้าหนาวให้พร้อม ป้องกันไม่ให้เกิดความวุ่นวาย”
เฉวียนจิ่งหน้าตึง
ฉินหลิวซีอุ้มเด็กออกไป ทิ้งพื้นที่ให้เขาและภรรยา
เฉวียนจิ่งกลืนผลไม้ลูกแรกลงไป ลูกที่สองจะให้สีเจิง แต่สีเจิงขยับตัวหนีไป “ข้าไม่เอาท่านเจ้าอาวาสจะให้ใบสั่งยาข้า เจ้าต้องการมันมากกว่า เก็บไว้กินระหว่างทาง ขึ้นมา หลับสักเค่อค่อยกลับไป”
เฉวียนจิ่งรู้จักนิสัยของนางดี จึงไม่รีรอ ถอดรองเท้าแล้วขึ้นเตียง นอนลงข้างๆ นาง เอ่ย “เจ้าคิดว่า ตระกูลเฉวียนของเราควรจะเสี่ยงทำผลงานด้วยหรือไม่
สีเจิงลูบหัวเขาเบาๆ ท่าทางอ่อนโยน “ข้าเชื่อท่านเจ้าอาวาส นางไม่มีทางทำร้ายข้า และไม่มีทางทำร้ายเจ้าและลูก”
มิเช่นนั้นฉินหลิวซีคงเมินเฉยพวกเขา จะมาเสียเวลาเช่นนี้ทำไม
เฉวียนจิ่งส่งเสียง อืม หลับตาลง เอ่ย “ที่นอนเจ้าอุ่นจัง…”
เขายังไม่เอ่ยจบก็มีเสียงหายใจสม่ำเสมอ
สีเจิงมองเขาที่หน้าหมองคล้ำและผิวแห้งจนแทบจะแตกออก รู้สึกปวดใจขึ้นมา
เวลาหนึ่งเค่อผ่านไปอย่างรวดเร็ว เฉวียนจิ่งถูกสีเจิงสะกิดให้ตื่น ความเหนื่อยล้าเติมเต็มด้วยพลังใหม่ สวมเสื้อคลุม เอ่ย “ข้าจะให้เฉวียนอันคุ้มกันพวกเจ้ากลับเมือง พักผ่อนให้ครบเดือนแล้วค่อยกลับจวน”
“ไม่ต้องหรอก ข้าจะคุ้มกันพวกเขากลับเอง” ฉินหลิวซีอุ้มเด็กกลับเข้ามาพร้อมเอ่ย “พวกเขาสองแม่ลูก ข้าจะคุ้มกันไปส่งที่จวนตระกูลเฉวียน ที่นี่มียันต์อยู่ไม่กี่แผ่น เอาติดตัวไว้ กำจัดความหนาวได้”
เฉวียนจิ่งรีบรับมันไว้
“สองแผ่นนี้ เมื่อเจ้าเจอสถานการณ์ที่ยากลำบาก จะช่วยให้เจ้าแคล้วคลาด ต้องถึงเวลาจนหนทางจริงๆ จึงจะใช้ได้” ฉินหลิวซียื่นไปอีกสองแผ่น
สีเจิงใจเต้นแรง “หมายความว่าเขาจะต้องเจอกับเหตุการณ์อันตรายกว่าสองครั้งเลยหรือ”
เฉวียนจิ่งส่งสายตาให้นางเพื่อให้นางมั่นใจ “เจ้าดูแลลูกให้ดี จริงสิแล้วลูกข้าชื่ออะไร”
“เฉวียนซี แสงแห่งรุ่งอรุณ เป็นท่านเจ้าอาวาสตั้งให้ หมายถึงความแข็งแรง อดทน เติบโตและก้าวหน้า”สีเจิงเอ่ย
เฉวียนจิ่งหันไปคารวะฉินหลิวซี เอ่ย “หลังกลับเมือง เจิงเอ๋อร์จะให้ค่าน้ำมันตะเกียงแก่ท่าน”
ฉินหลิวซี “ไปเถิด มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ จะเจอเรื่องดีๆ”
เฉวียนจิ่งตาเป็นประกาย แต่ก็ไม่คิดว่าอีกสามชั่วยามต่อมา เขาฟันดาบลงไปจนศีรษะของชาวทูเจวี๋ยคนสุดท้ายขาดสะบั้น ก่อนจะล้มลงกับพื้น มือจับบาดแผลจากลูกธนูที่ไหล่ ความเจ็บปวดทำให้เขาถึงกับกัดฟันกรอด
ให้ตาย นี่มันเรื่องดีที่ว่าหรือ
การต่อสู้ยืดเยื้อ เกือบทำให้เขาตายไปครึ่งชีวิต
แต่เมื่อเขาเห็นลูกน้องลากม้ามงคลรูปร่างกำยำ ขนเป็นมันเงา แข็งแรงกว่ายี่สิบตัวกลับมา เขายิ้มกว้าง อ่า นี่สินะ เป็นเรื่องดีจริงๆ
………………..