คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1180 นาง ไม่เห็นกระต่ายไม่ปล่อยนกอินทรีย์
………………..
ฉินหลิวซีคุ้มกันพาสีเจิงสองแม่ลูกกลับถึงจวน พอดีเด็กถึงวันพิธีสรงสาม[1] นางเขียนใบสั่งยาอาบให้บ่าวรับใช้ไปจัดเตรียม อาบน้ำอวยพรให้เฉวียนซีน้อยด้วยตนเอง
สีเจิงรู้สึกสบายใจและยินดี บุตรชายของนางเป็นเด็กที่เกิดก่อนกำหนด ด้วยความรู้สึกผิดที่ทำให้ลูกเกิดก่อนเวลา นางเองเข้าใจดีว่าการที่ตนเองท้องแก่และออกไปรบในสงครามนั้นเป็นเรื่องที่เสี่ยง ทว่าใครจะคาดคิดว่าจะบังเอิญเช่นนี้ ระหว่างที่นางเดินทางกลับจากค่ายใหญ่เพื่อพักฟื้นและบำรุงครรภ์ ได้ผ่านหมู่บ้านแห่งหนึ่งเข้าโดยบังเอิญ พบกับกลุ่มชาวทูเจวี๋ยที่กำลังปล้นสะดมและเข่นฆ่าชาวบ้าน ทั้งยังหมายมุ่งจะไปก่อกรรมในหมู่บ้านถัดไป นางจึงนำทัพทหารสามพันนายเข้าต่อกรทันที
นางไม่เพียงเป็นสะใภ้แห่งตระกูลเฉวียนเท่านั้น นางยังเป็นแม่ทัพหญิงผู้เกรียงไกรอีกด้วย ตำแหน่งนี้และชุดเกราะที่นางสวมใส่ล้วนมีไว้เพื่อปกป้องแผ่นดินและพิทักษ์ประชาชนที่อยู่เบื้องหลัง หาใช่เพื่อความงามสง่าเท่านั้นไม่
ศัตรูพ่ายถอยกลับไปแล้ว แต่ตัวนางกลับคลอดก่อนกำหนด โชคยังดีที่แม่ลูกปลอดภัยไร้เหตุร้าย เพราะในขณะนั้นฉินหลิวซีอยู่ใกล้บริเวณนั้น หากไม่มีนาง ทั้งมารดาและบุตรคงเอาชีวิตไม่รอด
ยามนี้ฉินหลิวซีกำลังจะจากไป สีหน้าของสีเจิงแสดงความอาลัยอย่างยิ่ง นัยน์ตาเปี่ยมไปด้วยความเสียดายและวิงวอนคล้ายเด็กที่กำลังจะถูกทอดทิ้ง ช่างดูน่าสงสารยิ่งนัก
“ดูแลร่างกายให้ดี เลี้ยงดูลูกตามที่ข้าสั่งไว้ให้ครบถ้วนเถิด” ฉินหลิวซีวางเฉวียนซีน้อยลงข้างกายนางแล้ว เอ่ย “เมื่อเด็กอายุห้าขวบ หากเจ้าทั้งสองเต็มใจ ก็ส่งเขาไปเลี้ยงที่อารามชิงผิงสักสองสามปี”
“เจ้าค่ะ”
ราวกับเด็กน้อยสัมผัสได้ ร้องไห้เบาๆ ออกมา ศีรษะหันมาทางนาง เปิดเปลือกตาขึ้น เผยให้เห็นนัยน์ตาคู่โตดำขลับ สะอาดใสเหมือนกระจก แววตาชุ่มฉ่ำไปด้วยหยาดน้ำตา
ฉินหลิวซีลูบหน้าผากเด็กน้อยเบาๆ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เป็นเด็กดีนะ จงเติบโตมาอย่างแข็งแรง”
นางหันหลังเดินจากไป
สีเจิงตกอยู่ในภวังค์พักใหญ่ กระทั่งนัยน์ตาเริ่มพร่ามัว จึงรู้ตัวว่าหยาดน้ำตาได้เอ่อคลอเต็มดวงตาแล้ว
ไปเช่นนี้หรือ
นางยังไม่ได้กล่าวคำขอบคุณเลย ขอบคุณที่มอบชีวิตให้ตนอีกครั้ง ล้างมลทินให้ตระกูลสี บิดาของนางไม่ใช่แม่ทัพหลบหนี ตระกูลสีไม่เคยคิดกบฏต่อแผ่นดินต่อกองทัพ
ขอบคุณนางที่ชี้ทางในตนมาอยู่ข้างเฉวียนจิ่ ทำให้นางมีสามีมีลูก มีชีวิตที่สมบูรณ์
สีเจิงโอบอุ้มลูกชายไว้ ซบหน้าผากเข้ากับหน้าผากของเด็กน้อยเบาๆ แล้วกระซิบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เฉวียนซี เจ้าจงจำไว้ให้ดี ผู้ที่มอบชีวิตให้เจ้ามิใช่เพียงมารดา แต่ยังมีท่านเจ้าอาวาสปู้ฉิว เจ้าอาวาสอารามชิงผิง ชื่อเดิมของนางคือฉินหลิวซี นางคือศรัทธาชั่วชีวิตของแม่และเจ้า”
นอกบ้าน หิมะเริ่มโปรยปรายลงมาช้าๆ พร่างพรมเต็มผืนแผ่นดิน
ฉินหลิวซีสัมผัสได้ถึงพลังศรัทธาอันบริสุทธิ์ที่หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณของนาง มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย เผยรอยยิ้มบางเบา
…
ภูเขาเทียน ขาวโพลนไปด้วยหิมะ
ฟ่านคงยังคงมีผ้าผูกดวงตาไว้ เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนกล่าวอย่างจนใจ “ไยท่านจึงมาอีกแล้วเล่า”
“ดูท่าทางรังเกียจของท่านสิ ไม่ใช่เพราะข้ากลัวว่าท่านจะตาบอดจริงๆ หรอกหรือ มาตรวจอาการท่านไง” ฉินหลิวซีส่งเสียงหึในลำคอ พลางเอ่ยต่อ “ไม่รู้จักเห็นคุณค่าเอาเสียเลย”
ฟ่านคง “ถึงบอดจริง ก็ใช่ว่าจะมองไม่เห็น”
“ใช่ๆ รู้แล้วว่าท่านบรรลุเข้าสู่ขั้นสมบูรณ์แล้ว ใช้จิตสัมผัสแทนดวงตาได้” ฉินหลิวซีเดินเข้ามาใกล้ คว้ามือเขามาโดยไม่รั้งรอ เอ่ยด้วยน้ำเสียงหยันๆ “แต่ในเมื่อมีดวงตา เหตุใดจึงไม่ใช้ หรือท่านคิดว่าการมีผ้าผูกดวงตาดูสูงส่งล้ำลึก ราวกับเป็นยอดฝีมือสูงส่งอย่างนั้นหรือ”
ฟ่านคง “…”
ปรมาจารย์ช่วยด้วย สวดมนต์ให้นางไปได้หรือไม่
ฉินหลิวซีตรวจชีพจรให้เขา หยิบยาหนึ่งเม็ดจ่อที่ริมฝีปากเขา
สีหน้าของฟ่านคงพลันเปลี่ยน “ทุกสรรพสิ่งมีวิญญาณ ปีศาจโสมพันปีถูกท่านเอามาทำยาแล้วหรือ”
“กินเถิด เอาแต่พูดมาก” ฉินหลิวซีบีบคางเขา ยัดยาลงคอไป ไม่นานก็ละลายหายไป
ฟ่านคงสัมผัสได้ถึงฤทธิ์ของยา สองมือตวัดท่าร่ายคาถา นำพลังงานนั้นเคลื่อนผ่านเส้นลมปราณทั่วร่าง
ฉินหลิวซีส่งเสียงบ่น “ปากบอกไม่ต้องการ ร่างกายกลับซื่อสัตย์นัก”
ฟ่านคงเกือบสำลักอากาศ
ของวิเศษที่แท้จริง สมดังคำล่ำลือ สินทรัพย์เช่นนี้มิใช่สิ่งที่มนุษย์ทั่วไปจะเข้าใจได้ หากไม่ใช่สมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการบ่มเพาะปราณวิเศษมายาวนาน อันที่จริงแล้วไม่แปลกใจที่ตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ทุกครั้งที่ผู้คนพบเจอกับสิ่งที่มีพลังเช่นนี้ ทุกคนจะรู้สึกถึงความอยากได้และความโลภ
ไม่ถูกสิ คนตรงหน้าถ้าไม่เห็นนกอินทรีย์ไม่มีทางทิ้งกระต่าย นางใจกว้างป้อนยาชั้นยอดให้ตนเช่นนี้ ต้องมีแผนการอย่างแน่นอน
ฟ่านคงเริ่มรู้สึกระมัดระวัง เขาหันไปมองฉินหลิวซี เอ่ย “ท่านเจ้าอาวาสมาครั้งนี้ เจอดวงตาค่ายอาคมเล็กแล้วหรือ”
“ไม่เพียงหาเจอ ข้ายังได้สู้กับซื่อหลัวอีกด้วย”
ฟ่านคง “?”
ฉินหลิวซีเริ่มเล่าเรื่องหายนะที่เกิดจากดวงตาค่ายอาคม รวมไปถึงการเผชิญหน้ากับซื่อหลัว ฟ่านคงขมวดคิ้ว
“อาตมามองเห็นดวงตาค่ายอาคมระเบิด สรรพสิ่งไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือวิญญาณต่างๆ ล้วนแต่ร้องโหยหวนและกลายเป็นวิญญาณที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้น ทุกที่ที่มันผ่านไป ทุกสิ่งทุกอย่างดับสูญ” ฟ่านคงสองมือพนม ท่องบทสวด ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ตามที่ท่านว่า สัตว์หินเหล่านั้นมีพลังชั่วร้ายแฝงอยู่ ทำลายฮวงจุ้ยโดยรอบ ทำให้คนเสียสติ ทำให้เกิดภัยพิบัติ”
“ก็อาจจะใช่” ฉินหลิวซีเอ่ยตอบ “ตอนนี้เฟิงซิวให้สัตว์ปีศาจเหล่านั้นไปตามหา ข้าเองก็ให้ราชาผีสองตนช่วยตามหา แต่สัตว์หินเจ็ดสิบเก้าตัว ต่อให้หาเจอแล้ว อาศัยข้าเพียงคนเดียวใช่ว่าจะกำจัดได้ทั้งหมด ต่อให้ทำได้ ก็ถ่วงเวลาข้าศึกษาค่ายอาคมใหญ่นั่นรวมถึงฝึกค่ายอาคมกักเซียนอีก ข้ากำลังคิดว่า ออกคำสั่งให้สำนักเต๋าและพุทธทุกแห่งช่วยกันออกค้นหาดีหรือไม่”
ใต้หล้านี้ไม่ใช่ของนางเพียงผู้เดียว อาศัยนางและสมุนของนาง สิ้นเปลืองคนเกินไปแล้ว ถึงเวลาต้องยิงธนู อ้อ ไม่ใช่ ต้องออกคำสั่ง ให้ทุกคนเข้ามาร่วมด้วยแล้ว
ฟ่านคงเอ่ย “จะเป็นผลตรงกันข้ามหรือไม่ หากตกไปในกับดัก…”
“เป็นถึงไต้ซือขั้นสูง เอ่ยเช่นนี้ได้เช่นไร เอ่ยวาจาเป็นมงคลน่าฟังบ้างไม่ได้หรืออย่างไร” ฉินหลิวซีเอ่ยขัดคำพูดของเขาอย่างหงุดหงิด
ฟ่านคงจนปัญญา “ตามที่ท่านว่า เขาอาจไม่ได้สนใจค่ายอาคมเล็กๆ พวกนี้ มิเช่นนั้นคงไม่มีทางนิ่งได้ทั้งๆ ที่ท่านทำลายไปแล้วถึงสองที่ เมื่อคนในพุทธและเต๋าต่างเข้ามาร่วมด้วย ตกเข้าไปในกับดักของเขา เช่นนั้นก็เป็นการเสียท่าตามศัตรูไปแล้ว”
ฉินหลิวซีเหลือบมองเขา “พระเช่นท่านนี่นะ ถึงแม้จะได้ฝึกในที่แห้งแล้งอย่างนี้ แต่วาจาของท่านก็มีความสมจริงไม่เลว”
ขมับของฟ่านคงกระตุกสองครั้ง
“พระนะพระ วิธีนี้เสี่ยง แต่เขาชักกระบี่แล้ว พวกเรายังหดหัวอยู่ในกระดองก็เล่นต่อไม่ได้แล้ว เรามีเวลาไม่มากแล้ว ข้าต้องชิงเวลามาบ้าง” ฉินหลิวซีเอ่ย “ตั้งแต่เขาออกมาจากมหานรกอเวจี พวกเราก็อยู่ในที่แห่งนี้แล้ว ดิ้นรนสักหน่อย ก็ต้องทำบ้างนะ”
“ข้าให้ยันต์กับเฟิงซิวไป สัตว์หินพวกนั้นทำลายได้ก็ทำลาย ถึงทำลายไม่ได้สะกดเอาไว้ก็ยังดี แต่ไม่อาจปล่อยเอาไว้ แม้จะจัดการซื่อหลัวได้ คงต้องเผชิญกับความเสียหายมากมาย ไม่รู้ต้องใช้เวลานานเพียงใดถึงจะฟื้นฟูสภาพกลับคืนมาได้”
อีกอย่างหากเกิดความวุ่นวายขึ้น ผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก วิญญาณอาฆาตก็จะเพิ่มพูนขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น หากพลังอาฆาตแพร่กระจายดุจโรคระบาด เมื่อถึงขั้นเกิดเป็นอาณาเขตปีศาจร้าย แล้วภาพที่ปรากฏจะเป็นเช่นไรเล่า ไม่ใช่ว่ามนุษย์โลกจะกลายเป็นดั่งนรกอเวจีหรอกหรือ
เนื่องจากเหตุแผ่นดินไหวที่ผ่านมา บ้านของแอดคนเดิมที่รับผิดชอบอัพเดทใน มม.ได้พังถล่ม จึงเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นขอออภัย จนกว่าแอดจะกลับมาเราจะรับหน้าที่แทนก่อน
ความหวังแห่งชีวิต ไม่อาจขาดสิ้น
“ช่างเถิด เช่นนั้นก็เอาตามที่ท่านว่า อาตมาจะเดินทางไปวัดอวี้ฝอ ร่วมออกคำสั่งกับไต้ซือ” ฟ่านคงเอ่ย
“เช่นนั้นข้าจะไปหาปรมาจารย์ไท่เฉิง” ฉินหลิวซีเอ่ย “ปรมาจารย์เป็นปรมาจารย์แล้ว ถึงเวลาต้องออกกำลังแล้ว”
ปรมาจารย์ไท่เฉิง รู้สึกถึงความวุ่นวาย เกิดอะไรขึ้น
ฟ่านคนเห็นว่าตกลงได้แล้ว ใครบางคนยังไม่ไป จึงเอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้ “ท่านยังไม่ไปหรือ”
ฉินหลิวซีพุ่งเข้าหาด้วยใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ยาโสมที่ให้ไปอร่อยหรือไม่ ปรุงมาจากปีศาจโสมพันปีสมุนไพรชั้นดีเลยนะ มีค่านับหมื่นทองเลยทีเดียว”
[1] พิธีสรงสาม เป็นประเพณีโบราณของจีนที่เกี่ยวข้องกับการดูแลทารกแรกเกิดในวันที่สามหลังจากคลอด โดยมีความหมายสำคัญทั้งในด้านสุขภาพและความเป็นมงคล ประกอบด้วยการอาบน้ำ การอวยพร การมอบของขวัญ