คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1182 ศาสตราวุธปรากฏขึ้นบนโลก
ตอนที่ 1182 ศาสตราวุธปรากฏขึ้นบนโลก
………………..
ทองคำดำเป็นของหายาก มันเป็นวัสดุชั้นดีในการใช้หลอมอาวุธสร้างค่ายกลเหมือนหินสีน้ำเงิน แต่ทองคำดำเกิดจากอุกกาบาตที่ตกลงมาจากฟากฟ้า หากผ่านไปหลายยุคหลายสมัยบวกกับการดูดซับพลังดวงวิญญาณเข้าไป อานุภาพของมันยิ่งมีมากขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ
ทองคำดำโบราณที่เก็บไว้กับฟ่านคงชิ้นนี้สร้างความขลังโดยพระผู้มีสมณศักดิ์สูง อีกทั้งยังได้รับการสวดมนต์ปลุกเสกอย่างต่อเนื่องจึงล้ำค่ามาก ฉินหลิวซีไม่กล้าแม้แต่จะใช้มันอย่างสิ้นเปลือง หากไม่มั่นใจจริงๆ นางก็ไม่มีทางหลอมศาสตราวุธขึ้นใหม่แน่นอน
การหลอมศาสตราวุธขึ้นใหม่ต้องการผู้หลอมที่มีพลังบำเพ็ญขั้นสูง พร้อมทั้งมีพลังสมาธิและพลังจิตอย่างครบถ้วน เพราะขณะที่หลอมอาวุธต้องใช้พลังจิตสลักอักขระเต๋าอย่างต่อเนื่อง ยามจำเป็นยังต้องสังเวยดวงวิญญาณถึงจะปรากฏศาสตราวุธขึ้นมา
ฉินหลิวซีไม่ได้หลอมอาวุธเป็นครั้งแรก ตอนนั้นนางเคยใช้เกล็ดภูตปลาหลี่อวี๋หลอมเป็นกริชกิเลนและกำไลขึ้นมาให้ศิษย์ทั้งสอง ซึ่งล้วนเป็นอาวุธของขลังที่นางทำขึ้นเองทั้งนั้น แต่การหลอมศาสตราวุธขึ้นมาใหม่ เปรียบดั่งการแต่งงานขึ้นเกี้ยว เวลานี้นางจึงให้ความระมัดระวังมากเป็นพิเศษ
เหมือนตอนปรุงยาในตอนนั้น นอกจากจะจัดวางค่ายกลรวบรวมดวงวิญญาณแล้ว ยังต้องสร้างม่านอาคมไม่ให้ผู้ใดเข้ามารบกวนด้วย
เพราะซวนหนีทองคำดำเปรียบดั่งเทพอสูร นางจึงจัดโต๊ะหมู่บูชาเล็กๆ ให้พร้อมกราบไหว้กล่าวขอโทษ ในเมื่อการหลอมซวนหนีทองคำดำเท่ากับการสังหารเทพอสูรก็ว่าได้
ตอนแรกการกราบไหว้ไม่ค่อยราบรื่นนัก พอจุดธูปไม่ติด กลับทำเอาฟ่านคงรู้สึกมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นเล็กน้อย ซวนหนีชอบความสงบไม่ชอบความวุ่นวาย ถึงเขาโกรธใครไม่เป็น แต่จะถูกฆ่าอยู่แล้วยังจะมาเอาใจเขาอีกหรือ
ทำอย่างไรได้ในเมื่อบางคนเกิดมาเพื่อเดินเส้นทางนี้โดยกำเนิด อีกทั้งยังมีฝีปากที่ถนัดในวาทศิลป์ คำพูดหวานหยดย้อยดั่งน้ำผึ้งอาบพิษ อย่างเช่นศาสตราวุธที่แปรเปลี่ยนเป็นอาวุธฆ่าฟันเทพเช่นนี้ สุดท้ายจึงยอมจำนน พลันธูปก็ติดไฟอย่างรวดเร็ว
คนตัวน้อยๆ อย่างฟ่านคงลอบตำหนิในใจที่ว่า ไม่ได้เรื่อง ช่างตกหลุมพลางง่ายดายเสียจริง
พอกราบไหว้เทพเสร็จ ฉินหลิวซีก็ใช้พลังปณิธานแห่งเต๋าจัดการฟันทองคำดำซวนหนีออกเป็นสองท่อนอย่างง่ายดาย ครึ่งหนึ่งถูกนางเก็บไว้ใช้หลอมฐานค่ายอาคมในวันข้างหน้า ส่วนอีกครึ่งหนึ่งวางไว้ในเตาหลอม ก่อนใช้ไฟนรกหลอมละลาย
ฟ่านคงใช้ประสาทสัมผัสแห่งเทพมองภาพนี้ ก่อนที่มือทั้งสองจะประนมขึ้นท่องบทสวดมนต์ นับแต่นี้ภูเขาเทียนจะไม่มีสัตว์เทพอสูรซวนหนีทองคำดำอีกต่อไป
การหลอมละลายทองคำดำไม่ใช่เรื่องยาก แต่สิ่งที่ยากคือการควบคุมเปลวไฟ โดยเฉพาะฉินหลิวซีที่ใช้ไฟนรก ไฟนรกบงกชโลหิตเป็นเปลวไฟแห่งสวรรค์ จึงมีอานุภาพแรงกล้าแผดเผาสิ่งชั่วร้ายได้ทุกอย่าง หากไม่ระวังคงหลอมทองคำดำชิ้นนี้จนไม่เหลือแม้แต่เศษเถ้าธุลี
ในขณะเดียวกันนางก็หยิบศาสตราวุธนามว่าชางเจี่ยออกมา อาจเพราะสัมผัสได้ถึงเจตนาของฉินหลิวซี ดวงวิญญาณอาฆาตที่อยู่ภายในศาสตราวุธจึงดิ้นพล่าน พุ่งตัวออกมาหมายหนีเอาตัวรอด
ฉินหลิวซีดึงดวงวิญญาณอาฆาตออกมา จากนั้นก็มีเสียงดังสวบก่อนจะหนีลอยออกไปข้างนอก
ฟ่านคงเห็นเช่นนั้นก็เปล่งเสียงท่องบทสวดภาษาสันสกฤต พลันเหมือนมีเสียงกรีดร้องโหยหวนของดวงวิญญาณอาฆาตดังมาจากแดนตะวันตก ซึ่งเป็นเสียงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวของดวงวิญญาณอาฆาตนับหมื่นนับพันตนนั่นเอง
“แนะนำเจ้าว่าอย่าเหนื่อยเปล่าเลย ยอมหลอมเป็นศาสตราวุธอย่างว่าง่ายดีกว่า เป็นดวงวิญญาณอาฆาตไปแล้วจะมีประโยชน์อะไรกัน จุดจบก็แค่ถูกนักพรตผู้อยู่ในครรลองธรรมทำลายทิ้ง แต่ถ้าเป็นศาสตราวุธล่ะก็ยอมแตกต่างกัน เพราะเป็นสิ่งที่ผู้คนต่างแสวงหากันทั้งสิ้น”
ดวงวิญญาณอาฆาต เชื่อคำลวงของเจ้าก็เท่ากับสูญเสียอิสระ หากมันเป็นอิสระ ดูดซับดวงวิญญาณอาฆาตขึ้นเรื่อยๆ ย่อมมีอนุภาพแกร่งกล้าอย่างไร้ขีดจำกัด!
แต่น่าเสียดายที่พวกมันสู้คนผู้นี้ไม่ได้และยิ่งหนีไม่พ้น ต่อให้หนีออกจากม่านอาคมนี้ได้ แต่ยังมีแสงสว่างด้านนอก เสียงบทสวดสันสกฤตนั้นยิ่งน่าสยองขวัญ!
มันเป็นแค่ดวงวิญญาณอาฆาตย่อมหนีไม่พ้น
เดิมทีดาบชางเจี่ยมีรูปร่าง ทว่าบัดนี้ถูกหลอมขึ้นมาใหม่ จึงไม่ต้องหล่อสร้างรูปใดๆ แล้ว
ครั้นฉินหลิวซีมองทองคำดำหลอมละลายได้ที่แล้วถึงใช้สองมือผนึกรอยประทับอย่างรวดเร็ว พลังปณิธานแห่งเต๋าบนร่างลุกโชติช่วง จากดาบที่ห้อยอยู่กลางอากาศอย่างมั่นคงในเดิมทีพลันก็สั่นเทิ้ม ราวกับไม่เต็มใจให้หลอมขึ้นใหม่นัก
บางทีหากถูกหลอมขึ้นใหม่ย่อมไม่มีทางเป็นศาสตราวุธชางเจี่ยอันเดิมอีกต่อไป
แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ฉินหลิวซีย่อมไม่สนใจว่ามันจะยินยอมหรือไม่ นางใช้สองมือทำสัญลักษณ์ซับซ้อน จากนั้นพลังปณิธานแห่งเต๋าที่ไร้รูปร่างก็ปะทะใส่ตัวดาบชางเจี่ย ก่อนจะสั่นหนักราวกับคลุ้มคลั่ง
ทองคำดำถูกหลอมเป็นสภาวะของเหลวเรียบร้อยแล้ว ฉินหลิวซีแค่ใช้พลังจิตเรียก ดาบชางเจี่ยก็ห้อยอยู่เหนือเตาหลอม จากนั้นอาวุธก็สั่นเทิ้มพร้อมเปล่งเสียงวิ้งดังกึกก้อง
ดวงวิญญาณอาฆาตหดตัวอยู่ข้างๆ ด้วยอาการกลัวแทบตาย
มันเห็นศาสตราวุธที่ไม่เต็มใจร่วงตกลงในหม้อหลอมเต็มสองตา อาคมบนเรียวนิ้วของหญิงสาวผนึกเป็นดอกไม้ ก่อนที่พลังปณิธานแห่งเต๋าอันเย็นยะเยือกจะไหลเวียนบนร่างกายนางอย่างรวดเร็ว
ใบหน้าของฉินหลิวซีซีดเซียวถึงขีดสุด นางตกอยู่ในโลกของการหลอมอาวุธอย่างสิ้นเชิง ใช้พลังจิตทั้งหมดจดจ่อไปที่ดาบชางเจี่ย จากนั้นนางก็เห็นมันถูกของเหลวทองคำดำห่อหุ้มย้อมร่างเป็นสีดำสนิทกลายเป็นดาบทองคำดำ นางจึงเปลี่ยนคาถา พลังปณิธานแห่งเต๋าแปรเปลี่ยนเป็นอักขระเต๋าแล้วเริ่มสลักลงบนตัวดาบ
พลังปณิธานแห่งเต๋าที่ไร้รูปร่างถูกหล่อหลอมเป็นอักขระยันต์สีทองเปล่งประกายโดยที่ไม่ได้เข้าตัวดาบ อีกทั้งยังสลายหายไป แต่ดาบสีดำเล่มนั้นกลับค่อยๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงทีละนิดตามอักขระยันต์สีทองที่สลายหายไป
ฟ่านคงที่อยู่ด้านนอกค่ายอาคมมองเห็นอย่างชัดเจน พลันใจก็ดิ่งวูบ
จู่ๆ บรรยากาศก็อึมครึม พอเขาเงยหน้าขึ้นก็เห็นเมฆดำลอยอยู่เหนือศีรษะ ในชั้นเมฆมีประกายสายฟ้าปรากฏ เขาจึงอดตื่นเต้นไม่ได้
การก่อกำเนิดของศาสตราวุธต้องเกิดสายฟ้าผ่าฟาดลงมาทดสอบ มีเพียงการหลอมอาวุธที่ผ่านวิบากสายฟ้านี้ถึงจะเป็นศาสตราวุธอันแกร่งกล้าอย่างแท้จริงและสังหารเทพขจัดมารได้
ฟ่านคงมองเข้าไปในม่านอาคม ทว่ากลับเห็นเลือดสดไหลรินออกมาจากมุมปาก ใบหน้าของนางซีดขาว บนหน้าผากมีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มไปหมด
การใช้พลังจิตหล่อหลอมเป็นพลังปณิธานแห่งเต๋าสลักอักขระยันต์ สิ่งที่สูญเสียไปไม่ได้มีแค่พลังจิต แต่ยังมีพลังของสมาธิ การหลอมศาสตราวุธกลับไม่ใช่เรื่องง่ายดั่งที่ปากพูด
ฟ่านคงสูดหายใจเข้าลึก ประนมมือทั้งสองข้างพลางท่องบทสวด
เวลาค่อยๆ ล่วงผ่านไปทีละเล็กทีละน้อย ค่ำคืนอันมืดมิดคืบคลานเข้ามาอย่างช้าๆ แสงตะวันอยู่ในแนวระนาบเดียวกับพื้นดิน
รอกระทั่งอักขระยันต์สีทองตัวสุดท้ายจบลง ตู้ม ไฟนรกที่กำลังห่อหุ้มดาบสีดำเปล่งแสงก็เผาไหม้
ดาบทองคำดำหมุนตัวอย่างว่องไวท่ามกลางไฟนรกโชติช่วง ตัวดาบมีแสงสีทองเปล่งประกายวิบวับชวนให้แสบตา
รอกระทั่งไฟนรกมอดลง ฉินหลิวซีถึงคว้าดวงวิญญาณอาฆาตยัดเข้าใส่ดาบทองคำดำเล่มนั้น
ดวงวิญญาณอาฆาตยังไม่ทันต่อต้านก็ถูกลากจับใส่ลงดาบแล้ว มันคือดวงวิญญาณโหดเหี้ยมชั่วร้าย พอเข้าสิงตัวดาบ จึงทำให้ดาบทองคำดำอานุภาพแรงกล้า รังสีความโหดเหี้ยมตัดเส้นปอยผมของฉินหลิวซีร่วงกระจุกหนึ่ง
ทว่าฉินหลิวซีกลับเผยสีหน้าเรียบนิ่งพลางปิดตาทั้งสองข้างโดยไร้ซึ่งท่าทีทุกข์ร้อนเรื่องใด จากนั้นนางก็ผนึกอาคมอย่างรวดเร็ว ก่อนจะจับดวงวิญญาณประทับลงบนดาบทองคำดำ
ฟ่านคงรูม่านตาหดลงเล็กน้อย
ศาสตราวุธประกอบด้วยปัญญาอันไร้ที่สิ้นสุดและอิทธิฤทธิ์จากเทพเจ้า พอประทับดวงวิญญาณเข้าไปด้วยย่อมกลายเป็นนายของอาวุธ กระทั่งสามารถสื่อสารกับศาสตราวุธได้ และรวมร่างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องร่วมเป็นร่วมตายกับอาวุธ อย่างเช่นการทดสอบวิบากสายฟ้า!
นางบ้าไปแล้ว!
แม้นางจะสูญพลังจิตและสมาธิไปมาก แต่นางยังต้องร่วมเผชิญวิบากสายฟ้าพร้อมศาสตราวุธ หากข้ามผ่านไปไม่ได้ เกรงว่านางคงไม่มีแม้แต่โอกาสได้เจอสามบริสุทธิ์ด้วยซ้ำ!
และเป็นดั่งว่าจริงๆ พอดวงวิญญาณที่กระหายหมายคิดหลบหนีถูกจับเข้าไปในดาบทองคำดำ ตัวดาบก็สั่นหงึกๆ ตามมาด้วยสายฟ้ายักษ์ที่สะสมรอเวลาผ่าฟาดลงมา โดยครึ่งหนึ่งฟาดลงที่ศาสตราวุธ และอีกครึ่งหนึ่งฟาดลงที่ร่างของฉินหลิวซี ทำให้ผิวหนังของนางปริแตกในทันที
ฟ่านคงใจสะท้านวาบ สองดวงตาปิดสนิท นึกถึงพระธรรมในใจ สายตาจับจ้องร่างคนและอาวุธที่ถูกสายฟ้าสีม่วงฟาดใส่ ก่อนที่แสงสีทองจะไหลทะลักไปหา เพื่อปกป้องคนบ้าผู้นั้นที่ไม่สามารถเรียกว่ามนุษย์ได้อีกต่อไป
สายฟ้าขนาดมหึมานับไม่ถ้วนผ่าฟาดลงมาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งตะวันลับฟ้า จู่ๆ แสงศักดิ์สิทธิ์ก็ปะทุพวยพุ่ง กระบี่ทองคำดำสีดำแดงเล่มนั้นเคลือบด้วยประกายสีทองแดง เกิดเสียงดังสะเทือนก้องไปทั่วภูเขา ซึ่งก็คือเสียงกรีดร้องของดวงวิญญาณแห่งอาวุธนั่นเอง
มันหมุนรอบร่างของฉินหลิวซีอย่างชอบอกชอบใจ สุดท้ายถึงลอยอยู่เหนือศีรษะของนาง
ศาสตราวุธมีดวงวิญญาณ อาวุธอานุภาพแกร่งกล้าที่ใช้ในการสู้รบอย่างแท้จริงได้ปรากฏขึ้นบนโลกใบนี้อีกครั้งแล้ว!