คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1183 ตามกลิ่นอายจากอาวุธล้ำค่ามาอย่างนั้นหรือ
- Home
- คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า
- ตอนที่ 1183 ตามกลิ่นอายจากอาวุธล้ำค่ามาอย่างนั้นหรือ
ตอนที่ 1183 ตามกลิ่นอายจากอาวุธล้ำค่ามาอย่างนั้นหรือ
………………..
พอศาสตราวุธปรากฏ แสงประกายห้าสีก็พราวโรจน์ พลังจิตวิญญาณที่เปี่ยมล้นของศาสตราวุธก็สะท้อนกลับฟ้าดินเข้มข้นขึ้น ทำให้สิ่งมีชีวิตไม่น้อยที่ได้รับข่าวต่างพุ่งตัวมาทางนี้อย่างว่องไว หวังว่าจะดูดซับพลังวิญญาณจากฟ้าดิน ในขณะเดียวกันยังมีนักพรตบางคนที่สัมผัสถึงกลิ่นอาย ต่างทยอยใช้มือคำนวณ พอรู้ว่าศาสตราวุธกำเนิดขึ้นก็เผยสีหน้าตกใจในทันที
หลังจากผ่านวิบากสายฟ้า ฉินหลิวซีที่ไม่นับว่าเป็นคนอีกต่อไปเนื้อตัวปริแตกกลายเป็นมนุษย์เลือด หลังจากเมฆสายฟ้าสลายหายไป พลังจิตวิญญาณก็วนเวียนรายล้อมนางราวกับพายุหมุนน้อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นสายฝนศักดิ์สิทธิ์ตกโปรยปรายลงมา พลังจิตวิญญาณในจุดตันเถียนเปี่ยมล้น ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นน้ำวิเศษชโลมไปทั่วทั้งร่างกาย
เส้นเลือดขยายตัว เนื้อเยื่อและกระดูกงอกกลับขึ้นมาใหม่ อวัยวะภายในที่เกิดความเสียหายกลับมาเรียงตัวอยู่ในตำแหน่งเดิม ยิ่งหัวใจแทบใกล้ระเบิดออกมา ฉินหลิวซีควานหาเม็ดยาใส่ปากด้วยมืออันสั่นเทา พอความเจ็บปวดทุเลา นางถึงผ่อนคลายลงอย่างแท้จริง
วิบากสายฟ้าที่ศาสตราวุธนำพามารุนแรงกว่าตอนที่นางเลื่อนขั้นหลอมยาก่อนหน้านี้มากนัก สิ่งที่เรียกว่าวิบากสวรรค์ก็งั้นๆ แหละ
เจ็บชะมัดเลย!
โชคดีที่วิบากนี้ผ่านพ้นไปแล้ว
กระทั่งผมเส้นสุดท้ายงอกขึ้นใหม่ ฉินหลิวซีถึงเอนกายไปด้านหลังก่อนที่จะสูดเอาอากาศเข้าปอดคำโต แต่พอนางเห็นศาสตราวุธที่ลอยอยู่เหนือศีรษะ สองดวงตาก็สุกใสลุกวาวก่อนลุกขึ้น
นางหยิบเสื้อผ้าชุดใหม่จากถุงเฉียนคุนขึ้นมาสวม ในขณะเดียวกันพอยกมือขึ้น ศาสตราวุธก็ร่วงลงมาใส่มือของนาง
ศาสตราวุธดำขลับมันวาว ภายใต้สีดำกลับปรากฏอักขระยันต์สีทองแดง บวกกับแสงทองที่ประกายรำไร พลังไร้ขีดจำกัดแผ่ออกมาจากดาบ อานุภาพแรงกล้าจนน่ายำเกรง
อาวุธชิ้นนี้หล่อขึ้นมาใหม่จากเทพอสูรซวนหนีทองคำดำ นอกจากซวนหนีจะแฝงความเป็นเทพแล้วยังแฝงพลังแห่งธรรมะ เดิมทีจึงมีอิทธิฤทธิ์แกร่งกล้า บัดนี้พอหลอมละลายกลายเป็นของเหลวทองคำดำเพื่อใช้หล่อดาบชางเจี่ยขึ้นใหม่ บวกกับไฟนรกบงกชโลหิตที่พร้อมแผดเผาสิ่งชั่วร้ายทุกสิ่งซึ่งแฝงไปด้วยพลังชั่วร้ายเต็มเปี่ยม อีกทั้งดาบของมันอาบไปด้วยดวงวิญญาณอาฆาตชั่วร้ายขั้นสุด หลังจากผ่านการหล่อหลอมและวิบากทดสอบ อาวุธจึงโหดเหี้ยมร้ายกาจ อานุภาพแกร่งกล้าสุดขีด
เพราะมันมีดวงวิญญาณสถิตอยู่จึงมีความรู้สึกนึกคิด เวลานี้พอนางควงดาบในมือเป็นรูปดอกไม้ คนกับอาวุธจึงกระโดดพุ่งขึ้นรวมร่างกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน
ตู้ม
ศาสตราวุธฟันลงบนภูเขาน้ำแข็งจนปะทุเสียงดังกึกก้อง
ฟ่านคงลืมตาขึ้นพรวด ใบหน้าขรึมลง มองหนึ่งคนกับหนึ่งอาวุธ นางผู้นั้นสวมชุดลัทธิเต๋าสีกรมท่า เส้นผมยุ่งเหยิง ใบหน้าเย็นชา สง่าโดดเด่นเหนือใครก็จริง แต่ท่าทีลำพองใจเช่นนั้นกลับแฝงไปด้วยกลิ่นอายชั่วร้าย
เขาเพียงมองไปทางภูเขาน้ำแข็งที่ถูกฟันผ่าแบ่งเป็นสองส่วน บวกกับดวงวิญญาณสิ่งมีชีวิตที่วิ่งโกลาหลรอบทิศ พลันก็ปวดศีรษะขึ้นมา
“มันเกะกะลูกตาท่านหรืออย่างไร ท่านจะฟันมันไปไยเล่า” ฟ่านคงสวดมนต์ให้ดวงวิญญาณสิ่งมีชีวิตภายใต้ภูเขาน้ำแข็งอย่างเงียบๆ
ฉินหลิวซีเรียกศาสตราวุธกลับมาถือไว้ในมือ เอ่ยพร้อมสองดวงตาที่เป็นประกายแวววาว “ข้าก็แค่ลองอานุภาพของมันดูว่าเป็นอย่างไรบ้าง ดูว่าจะสามารถฟาดฟันกับเจ้าผีเฒ่าอย่างซื่อหลัวได้หรือไม่”
“เจ้าอาวาสของอารามชิงหลานกล่าวไว้ว่าอย่างไร”
พลันรอยยิ้มของฉินหลิวซีก็แข็งทื่อ ชั่ววินาทีนั้นเหมือนความดีใจถูกน้ำเย็นเชียบสาดใส่จนเสียววาบ
เจ้าอาวาสของอารามชิงหลานบอกเพียงว่าศาสตราวุธมีประโยชน์ แต่เขาก็ยังใช้สังหารซื่อหลัวไม่ได้ มิเช่นนั้นเรื่องก็คงไม่ตกมาถึงนางหรอก
ครั้นฟ่านคงเห็นนางห่อเหี่ยวเช่นนั้นจึงเอ่ย “สงบสติอารมณ์ได้แล้วหรือ”
“ท่านถนัดเรื่องสาดน้ำเย็นใส่นัก” ฉินหลิวซีเอ่ยพึมพำอย่างไร้ความร่าเริง
“อาตมากลัวว่าท่านจะเป็นคางคกขึ้นวอ ฟันภูเขาเทียนทั้งลูกจนสร้างหายนะให้ดวงวิญญาณแถบนี้จนเป็นกรรมไป” ฟ่านคงพูดจบก็เอ่ยนามพระผู้เป็นเจ้า
อมิตาภพุทธ เขาผิดศีลแล้ว ความฉุนเฉียวทวีคูณเพิ่มขึ้น หลังกลับมาจากวัดอวี้ฝอค่อยเก็บตัวฝึกบำเพ็ญแล้วกัน
ฉินหลิวซียิ้มแหย ก่อนมองไปทางดวงวิญญาณของสิ่งมีชีวิตที่หลบอยู่ในมุมลับพลางมองมาทางนางด้วยความหวาดกลัว นางเลยสะบัดแขนเสื้อส่งพลังไปให้พวกเขา ในขณะเดียวกันก็มอบเคล็ดวิชาบำเพ็ญเล็กน้อยของตนไปให้ด้วย ถือว่าชดเชยสิ่งที่เกิดขึ้นต่อพวกเขา
ฟ่านคงเห็นนางเหมือนถูกทำร้ายจิตใจ ราวตนผิดไปก็มิปานจึงเอ่ยว่า “ท่านเก่งมาก ในเมื่อท่านหลอมศาสตราวุธขึ้นมาได้ ท่านจะไม่ตั้งชื่อให้มันหน่อยหรือ”
ทันใดนั้นฉินหลิวซีก็เผยท่าทีตื่นเต้นก่อนหยิบศาสตราวุธขึ้นมาแล้วเอ่ย “หากไม่พูดถึง ข้าคงลืมไปแล้ว เรียกมันว่าอะไรดีนะ”
ฟ่านคงเอ่ย “อดีตของมันถูกหลอมขึ้นโดยดวงวิญญาณจากบรรพบุรุษอารามชิงผิงของพวกท่านสังเวย จึงใช้ชื่อจริงมาตั้งชื่อ ท่าน…”
“ดาบหลิวซีหรือ” ฉินหลิวซีส่ายหน้า “ไม่จำเป็นเลย หลอมมันขึ้นมาก็เพื่อฆ่าซื่อหลัว ชื่อว่าดาบเมี่ยหลัวแล้วกัน”
ท่านมีความสุขก็พอ
ซื่อหลัวรู้เข้าคงขำแย่ ในเมื่อสรรเสริญเขาถึงเพียงนี้
“เอ๊ะ ตาของท่านหายแล้วหรือ” เวลานี้ฉินหลิวซีถึงเห็นว่าผ้าที่พันรอบดวงตาของฟ่านคงหายไปแล้วและแทนที่ด้วยดวงตาสุกใสมองทุกอย่างทะลุปรุโปร่งดั่งพลอยเนื้ออ่อน
ฟ่านคงเอ่ยเสียงเรียบ “เมื่อศาสตราวุธถูกสร้างขึ้นสำเร็จ สวรรค์จึงส่งหยาดฝนโปรยปรายลงมาเพื่อสร้างความเป็นสิริมงคล อาตมาจึงได้รับอานิสงส์ไปด้วย ช่วยฟื้นฟูร่างกายส่วนที่บาดเจ็บได้”
บวกกับเม็ดยาเชื่อมต่อระบบอวัยวะภายในที่นางฝืนให้เขากินก่อนหน้านี้ แล้วจะไม่หายได้อย่างไร
“ดูเอาเถิด ดังนั้นยกซวนหนีทองคำดำให้ข้า ประโยชน์ก็มาให้เห็นแล้วมิใช่หรือ” ฉินหลิวซีเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “เรื่องนี้จะชักช้าไม่ได้ พวกเราไปเมืองเซิ่งจิงกันดีกว่า”
ฟ่านคงพยักหน้า แต่พอเหลือบมองอย่างไม่ใส่ใจแวบหนึ่งก็สีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย “ดาวฮ่องเต้ย้ายตำแหน่ง จื่อเวยไร้แสง นี่…นี่คือสัญญาณแห่งหายนะครั้งใหญ่”
ดาวฮ่องเต้จื่อเวยหม่นหมองไร้แสงทอประกาย ฮ่องเต้ตกอยู่ในความลำบาก เกรงว่าจะเป็นโทษจากสวรรค์
ฉินหลิวซีเอ่ย “ท้องพระคลังร่อยหรอ ทางตะวันตกเกิดศึกสงคราม แถบเหนือสุดปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งหลายพันลี้ ในสถานการณ์ที่ลำบากเช่นนี้ฝ่าบาทกลับรั้นจะบวงสรวงขอให้ช่วยปกปักตำแหน่งอย่าให้สั่นคลอน ลำบากราษฎรและสูญทรัพย์มากมาย หากจะถูกสวรรค์ลงโทษก็สมควรแล้ว”
“ท่านรู้มานานแล้วหรือ”
ฉินหลิวซีพยักหน้า “ข้าบอกแต่แรกแล้วว่าพวกเรามีเวลาไม่มาก พอโลกตกอยู่ในความวุ่นวาย คนที่ต้องตายย่อมมีมากขึ้น ดวงวิญญาณที่ตายแล้วไร้ที่พักพิง ทุกสรรพสิ่งถูกทำลาย พอกฎแห่งสวรรค์พังทลายก็คงกดข่มเขาต่ออีกไม่ได้แล้ว”
“ท่าน…” ฟ่านคงตกใจอยู่บ้าง
“พอได้รับพลังวิญญาณฟ้าดินตีสะท้อนกลับมา ไม่เพียงแค่ท่าน แต่ตอนเผชิญวิบากสวรรค์เมื่อครู่ ข้าหยั่งรู้ถึง” ฉินหลิวซีเอ่ยพลางเล่นอาวุธในมือ
เมื่อครู่ตอนที่ถูกสายฟ้าฟาดใส่ ขณะเข้าสู่สภาวะหยั่งรู้ จู่ๆ นางก็นึกถึงคำพูดของซื่อหลัวขึ้นมาได้ ตอนนั้นเขาอยากขึ้นสวรรค์ไปเป็นเทพ แต่เพราะกฎแห่งสวรรค์ไม่ยินยอม ศาสนาไม่ยินยอม บัดนี้ในสายตาของเขา ศาสนาทั้งสองจึงไม่เพียงพอจะให้เขาขลาดกลัว เช่นนั้นก็เหลือเพียงกฎแห่งสวรรค์แล้ว
ขอเพียงกฎแห่งสวรรค์พังทลาย เขาก็จะเริ่มเปิดค่ายอาคมโดยใช้พลังจิตวิญญาณตีสะท้อนกลับ แล้วใช้ดวงวิญญาณของสิ่งมีชีวิตในใต้หล้าสังเวย ครานั้นใครจะขวางเขาไว้ได้อีกหรือ
แน่นอนว่าวันที่โลกต้องตกอยู่ในความโกลาหลย่อมมาถึง
แต่เพราะดวงชะตาบ้านเมืองกับฮ่องเต้มีความเกี่ยวข้องกัน หากดวงชะตาบ้านเมืองอ่อนแอ ฮ่องเต้จะอยู่อย่างมั่นคงได้อย่างไร ดาวจื่อเวยโยกย้ายจึงเป็นเรื่องปกติอย่างมาก
“ท่านเจ้าอาวาส หากโลกตกอยู่ในความวุ่นวาย ปวงประชาย่อมตกอยู่ในทุกข์ ฉะนั้นต้องไปขวางฝ่าบาทไว้ไม่ให้บวงสรวง”
ฉินหลิวซีมองเขาโดยไม่พูดอะไร ฟ่านคงค่อยๆ ขมวดคิ้วมุ่น ไม่รู้ว่านึกเรื่องใดขึ้นได้จึงอ้าปาก ทว่ากลับพูดไม่ออก
“ฝืนชะตาฟ้าลิขิตไม่ได้หรือ” ผ่านไปนานฟ่านคงถึงเอ่ยประโยคนี้ขึ้นมา
ฉินหลิวซีเอ่ย “ดวงชะตามาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว ฝืนลิขิตเปลี่ยนดวงชะตา สิ่งที่แลกมาช่างมหาศาลนัก อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องช่วยฝ่าบาทฝืนลิขิตสวรรค์เลย พระอาจารย์ หากเทียบกับการเปลี่ยนดวงชะตาบ้านเมืองแล้ว ทุกสรรพสิ่งในใต้หล้านี้สำคัญกว่า หากไร้ซึ่งฮ่องเต้ยังเปลี่ยนคนได้ แต่เวรกรรมที่เราต้องแบกรับมันสาหัสเกินไป แล้วจะมีแรงที่ไหนไปขัดขวางซื่อหลัว สิ่งที่ข้าทำได้มากที่สุดก็แค่ช่วยยื้ออายุขัยของเขาให้นานขึ้น ให้คนที่มีความสามารถเข้ามาดูแลสถานการณ์ที่ยุ่งเหยิงนี้ต่อ งัดความสามารถออกมาพยายามสร้างความสงบสุขแด่ใต้หล้า ฟื้นฟูทุกชีวิตโดยไวที่สุด”
ฟ่านคงพนมมือแล้วเอ่ยด้วยความละอายใจ “อมิตาภพุทธ เป็นเพราะอาตมายึดติดมากเกินไปเอง”
“ไปเถิด ถึงเวลาแล้ว”
ฟ่านคงพยักหน้า ขณะที่พวกเขาหมายขยับตัวพลันก็สัมผัสได้ถึงสิ่งประหลาดในอากาศ ซึ่งปรากฏกลิ่นอายเข้มข้นจากนักพรตคนหนึ่ง
ฉินหลิวซีหรี่ตาลง เอ๊ะ นี่ตามกลิ่นอายจากอาวุธล้ำค่ามาอย่างนั้นหรือ