คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1185 อุบายของมารชั่วร้าย
กล้าที่จะร่วมมือกับข้าเพื่อช่วยเหลือประชาชนหรือไม่
ครั้นฉินหลิวซีโพล่งออกไปเช่นนั้น ปรมาจารย์ไท่เฉิงก็อดนึกถึงเรื่องเมื่อหลายปีก่อนขึ้นมาไม่ได้ ฉากตอนที่นางไล่ล่าคนทรยศอย่างไท่หยางผุดขึ้นมาในสมองอย่างชัดเจน ราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
ไท่หยางก่อความผิดมหันต์ แต่สิ่งที่นางทำล้วนเป็นสิ่งที่คนคุยโวว่าอยู่ในครรลองคลองธรรมอย่างพวกเขาพึงกระทำ ผดุงความถูกต้องเพื่อขจัดสิ่งชั่วร้าย ปราบปรามคนชั่ว ยกย่องคนดี
บัดนี้นางกลับเอ่ยถึงเรื่องช่วยเหลือราษฎรโดยหยิบยกจุดประสงค์ของลัทธิเต๋าขึ้นมา
ปรมาจารย์ไท่เฉิงวางแก้วชาลง เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “นักบำเพ็ญสายเต๋าอย่างพวกเราย่อมต้องขจัดสิ่งชั่วร้าย ยึดมั่นในทางที่ถูกต้อง ปราบปรามความชั่ว ส่งเสริมความดี หากโลกเกิดความวุ่นวายย่อมต้องช่วยกอบกู้ สิ่งที่ท่านกล่าวมา ข้ายินดีที่จะร่วมด้วย!”
เฉิงหยางจื่อเองก็พยักหน้า “ปรมาจารย์พูดถูกทั้งหมด หากราษฎรตกอยู่ในความทุกข์ยาก นักบำเพ็ญอย่างพวกข้าย่อมช่วยกอบกู้ใต้หล้านี้อย่างสุดความสามารถ เช่นนี้ถึงจะไม่ละอายต่อการบำเพ็ญเพียร และยังรักษาจิตใจไปในทางที่ถูกต้องด้วย”
ฉินหลิวซีทำความเคารพในแบบฉบับเต๋าต่อพวกเขาทั้งสองคน
ปรมาจารย์ไท่เฉิงกล่าว “ท่านว่ามาเถิดว่ามีเรื่องใด เกี่ยวข้องกับมารชั่วร้ายตัวนั้นหรือ”
มีผีร้ายหลบหนีมาจากมหาอเวจีนรก เขาเองก็พอรู้บ้างเมื่อหลายปีก่อน ตอนสื่อสารกับเทพก็พอทำความเข้าใจมาบ้าง แต่เขากลับไม่เคยเจอร่องรอยของคนผู้นั้นมาก่อน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องปะทะฝีมือเลย
เฉิงหยางจื่อเองก็พอรู้คร่าวๆ แต่เขารู้น้อยกว่าปรมาจารย์ไท่เฉิง จึงเอ่ยด้วยอารมณ์ดิ่งวูบว่า “ถึงแม้ข้าจะหลุดพ้นจากทางโลก ต่อให้ในระยะสองสามปีมานี้ต้าเฟิงจะเจริญรุ่งเรือง แต่เบื้องลึกเหมือนคลื่นพายุใต้น้ำ ขุนนางละโมบทุจริต ราษฎรไม่อิ่มท้อง ชีวิตไม่มีความสุขเหมือนในอดีต”
ปรมาจารย์ไท่เฉิงพยักหน้าเอ่ย “โดยเฉพาะฝ่าบาททรงปรารถนามีชีวิตยืนยาวจึงแต่งตั้งมหาราชครู บวกกับหลังจากสร้างวังอมตะขึ้นมา ข้ามักจะเห็นชาวบ้านใส่เสื้อผ้าขาดวิ่น นับตั้งแต่เกิดภัยพิบัติหิมะเมื่อปีก่อน ดวงชะตาบ้านเมืองก็แย่ลง ข้าดูจากการโยกย้ายของดวงดาวแล้วก็เห็นว่า…”
ใบหน้าของเขาขรึมลงเล็กน้อย แต่กลับไม่พูดต่อ
“ท่านปรมาจารย์ ที่นี่คือภูเขาเทียน ห่างไกลจากโลกภายนอก ที่นี่มีแต่สายบำเพ็ญอย่างพวกเรา มีสิ่งใดไม่กล้าพูดอีกหรือ” เฉิงหยางจื่อลูบเคราพลางแค่นเสียงหัวเราะก่อนถอดถอนหายใจเอ่ย “ดาวจื่อเวยโยกย้าย ต้าเฟิงคงต้องผลัดเปลี่ยนรัชสมัยในอีกไม่นานนี้แล้ว”
ปรมาจารย์ไท่เฉิงประสานมือคำนับเขา เอ่ยด้วยสีหน้าละอายใจ “อารามจินหัวอยู่ใต้ฝ่าพระบาทจึงติดนิสัยระมัดระวัง ตรงไปตรงมาเทียบกับสหายเฉิงหยางจื่อมิได้”
เฉิงหยางจื่อปัดป่ายมือแล้วเอ่ย “เพียงเพราะมีบทเรียนในอดีต ในสมัยฮ่องเต้องค์ก่อนสำนักเต๋าของเราถูกกดขี่อย่างหนัก ด้วยอายุปูนนี้ของข้ากับท่านย่อมเคยผ่านช่วงเวลานั้นมาแล้ว ไม่รู้ว่าตอนนั้นมีสหายกี่คนที่ต้องปลีกตัวไปบำเพ็ญอยู่บนภูเขาลึก หลบหลีกจากทางโลก เพียงเพื่อรักษาการสืบทอดของสำนักเต๋าของเราไว้”
ปรมาจารย์ไท่เฉิงนึกถึงช่วงเวลาที่ตกต่ำที่สุดของสำนักเต๋า ในใจยังคงนึกกลัวจึงถอนหายใจเอ่ยว่า “ดังนั้นบัดนี้ฝ่าบาททรงปรุงยาอายุวัฒนะ ดูเหมือนจะให้ความสำคัญกับลัทธิเต๋าก็จริง แต่หากเกิดเรื่องใดขึ้นจากการปรุงยา เกรงว่าคงเจริญรอยตามเรื่องในอดีตอีก”
เขาหันไปมองฉินหลิวซีอีกครั้งแล้วเอ่ย “ทุกอย่างบ่งชี้ว่าดาวฮ่องเต้ใกล้ร่วงหล่น บ้านเมืองกำลังสั่นคลอน ดังที่สุภาษิตว่าความหนาวจากน้ำแข็งสามฉื่อไม่ได้เกิดขึ้นในวันเดียว ตอนนี้บ้านเมืองกำลังวุ่นวาย อาจเพราะทั้งหมดนี้เป็นเพราะการชักใยของมารชั่วร้ายตนนั้นหรือ”
เด็กผู้นี้เป็นผู้ฝึกตน นางให้ความสนใจเรื่องราวที่อยู่นอกเหนือโลกทางโลกีย์ อย่างเช่นเรื่องราวเหนือธรรมชาติที่มนุษย์ทั่วไปไม่อาจต่อต้านได้ แต่นางบอกว่าราษฎรตกอยู่ในความวุ่นวาย คงไม่ใช่แค่ภัยพิบัติธรรมชาติธรรมดาๆ แน่นอน
สิ่งที่ทำให้นางจริงจังนิ่งขรึมเช่นนี้ได้ เกรงว่าคงเกี่ยวข้องกับมารชั่วร้ายในตำนานที่เล่าลือกันแน่นอน
เฉิงหยางจื่อเองก็เลื่อนสายตามองมา พลังบำเพ็ญของเขาด้อยกว่าทุกคน แต่ก็มีการตรวจดูดวงชะตาบ้างเป็นครั้งคราว แต่ในผังแปดทิศกลับไม่แสดงถึงดาวหายนะมาวุ่นวาย เช่นนั้นดาวหายนะดวงนี้จะเป็นมารชั่วร้ายที่พวกเขาพูดถึงกันหรือเปล่านะ
ฉินหลิวซีรินเติมชาให้พวกเขาก่อนเอ่ย “ในเมื่อสหายทั้งสองต่างสัมผัสได้ เช่นนั้นข้าก็เลือกพูดที่สำคัญๆ แล้วกัน”
นางจิบชาอึกหนึ่งก่อนจะเล่าเรื่องตั้งแต่ต้น รวมถึงหลังจากที่ซื่อหลัวหนีออกมา ต้าเฟิงเคยเกิดเหตุการณ์ที่คนธรรมดาไม่อาจคลี่คลายได้ รวมถึงเรื่องต่างๆ ที่เขานำพามาแต่ถูกนางคลี่คลายสำเร็จ เพียงแต่หากเรื่องใดนางเคยไปข้องเกี่ยวหรือเป็นเรื่องที่สำคัญ นางจะเล่าอย่างละเอียด
ท่าทีใจเย็นของปรมาจารย์ไท่เฉิงและเฉิงหยางจื่อในคราแรกแปรเปลี่ยนเป็นท่าทีจริงจังสุขุมในภายหลัง จากแววตาที่ตกใจแปรเปลี่ยนเป็นความซับซ้อน ยามที่พวกเขาลุ่มหลงคลุกตัวกับการฝึกบำเพ็ญ นางกลับทำเรื่องมากมายและผ่านมาหลายเรื่องแล้ว
พวกเขารู้สึกละอายใจอยู่บ้าง
แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขารู้สึกตกตะลึงก็คือข้อมูลที่ฉินหลิวซีเปิดเผยว่าซื่อหลัวคิดทำลายโลก บูชาเทวาเพื่อกลายเป็นเทพ แต่ยามนึกฉากที่ฉินหลิวซีใช้คาถาฟื้นฟูดวงตาค่ายทั้งสอง พวกเขาก็เผยสีหน้าเคร่งเครียดพร้อมใจสั่นสะท้านเฮือก
นางบอกว่าดวงตาค่ายเช่นนี้มีแปดสิบเอ็ดแห่ง หากทุกๆ จุดนำพามาแต่หายนะ เช่นนั้นบนโลกนี้จะตกอยู่ในสถานการณ์เช่นไร
“กลายเป็นเทพหรือ” ปรมาจารย์ไท่เฉิงเอ่ยพร้อมรูม่านตาที่หดลง “บัดนี้ฟ้าดินขาดแคลนพลังดวงวิญญาณ ตลอดพันปีมานี้ไม่มีสหายเต๋าคนใดบรรลุขั้นไต่เต้าขึ้นไปได้ แต่เขากระหายอยากเป็นเทพอย่างนั้นหรือ”
เป็นเพราะมารชั่วร้ายคลุ้มคลั่งคิดเพ้อเจ้อเหลวไหล หรือเพราะเขามีความรู้ตื้นเขินเกินไปกันแน่
กลายเป็นเทพด้วยวิธีนี้ได้ด้วยหรือ
เฉิงหยางจื่อราวกับสะเทือนใจอย่างหนัก เอ่ยว่า “เป็นไปไม่ได้ พลังดวงวิญญาณบนโลกนี้จะเพียงพอให้เขาบรรลุเป็นเทพได้อย่างไร”
“ดังนั้นเขาถึงสร้างค่ายอาคมขึ้นมาแห่งหนึ่งเพื่อบรรลุกลายเป็นเทพ ดึงเอาโชคลาภจากตระกูลที่สร้างคุณงามความดีใหญ่หลวงมาเกื้อหนุน ดึงพลังดวงวิญญาณมาหล่อเลี้ยงค่ายอาคม จากนั้นก็ใช้ชีวิตของเหล่าปวงชนมาสังเวย” ฉินหลิวซีเอ่ยด้วยสีหน้าเย็นยะเยือก “พลังดวงวิญญาณบนโลกนี้มีไม่มากพอ เขาจึงต้องสร้างโลกเล็กๆ ที่มีพลังดวงวิญญาณและโชคลาภมากพอ”
ฟ่านคงมองไปทางนาง ความคิดนี้ชัดเจนกว่าเมื่อก่อนมากโข หรือนี่จะเป็นสาเหตุที่เกิดศาสตราวุธผ่านวิบากสวรรค์เมื่อครู่
คนอื่นผ่านวิบากสวรรค์มักขบคิดว่าจะโน้มน้าวตนเองให้ผ่านไปได้อย่างไร นางก็นะ พอเข้าสู่ห้วงหยั่งรู้ กลับใช้ความคิดถือตนเป็นซื่อหลัว
ไม่สิ เพราะกระดูกนั้นฝังอยู่ในร่างของนาง มีผลกรรมเกี่ยวโยงเลยรับรู้ความรู้สึกร่วมกันได้ ดังนั้นเลยเดาอุบายของคนผู้นั้นออกอย่างนั้นหรือ
สายตาของฟ่านคงเลื่อนไปมองนิ้วชี้ข้างซ้ายของฉินหลิวซี จากนั้นก็เม้มริมฝีปากเล็กน้อย
พวกปรมาจารย์ไท่เฉิงฟังการคาดเดาของฉินหลิวซีพลางตกอยู่ในภวังค์ห้วงความคิด แบบนี้ก็ได้หรือ
แต่ก็ใช่ว่าจะไม่ได้
ขาดแคลนพลังดวงวิญญาณก็จริง แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเลย การคงอยู่ของฟ้าดิน การคงอยู่ของสรรพสิ่ง กระทั่งพวกเขายังสามารถบำเพ็ญเพียรบรรลุขั้นได้ ดวงวิญญาณของผีสางนางไม้ล้วนคงอยู่ ซึ่งเพียงพอที่จะพิสูจน์ได้ว่าบนโลกใบนี้มีพลังดวงวิญญาณ หากคิดจะมีมากพอ ปกติพวกเขาก็จะสร้างค่ายอาคมเพื่อรวบรวมดวงวิญญาณขึ้นมา เพื่อดึงดวงวิญญาณมารวมในที่เดียวกัน
แต่ค่ายอาคมกลายเป็นเทพของซื่อหลัวกลับเป็นแบบฉบับขั้นสูงที่ใช้รวบรวมดวงวิญญาณ เฉกเช่นที่ฉินหลิวซีบอกว่าดึงดวงวิญญาณไว้หล่อเลี้ยงค่ายอาคม เสริมด้วยโชคลาภคุณงามความดี บวกกับชีวิตประชาชนภายนอกที่ถูกสังเวย แบบนี้จะเหินฟ้าเป็นเทพได้หรือไม่ แล้วกฎแห่งสวรรค์จะขัดขวางได้หรือไม่
ไม่สิ ประชาชนประสบกับหายนะ กฎสวรรค์พังทลาย มันจะยังขัดขวางได้อีกหรือ
แต่คำว่าประชาชนกลับไม่ใช่แค่เผ่าพันธุ์มนุษย์ แต่รวมถึงทุกสรรพสิ่งที่มีชีวิตด้วย
คนผู้นั้นวางอุบายยิ่งใหญ่ ใช้ทุกชีวิตมาสร้างผลสำเร็จให้เขาเพียงคนเดียว!
เมื่อเข้าใจในจุดนี้ พวกปรมาจารย์ไท่เฉิงสูดลมเย็นเข้าปาก พร้อมร่างที่สั่นสะท้านเฮือก ราวกับเบื้องหน้าปรากฏภาพหนึ่งขึ้นมา เป็นความว่างเปล่าที่มืดมิด ไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตใดๆ ราวกับดับสิ้น ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบวังเวง
ทันใดนั้นปรมาจารย์ไท่เฉิงก็รู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นในสมอง สองดวงตาปวดระบมก่อนจะปรากฏสายเลือดไหลรินออกมาจากหางตา
ฉินหลิวซีใช้มือฟาดลงบนหน้าผากของเขา
เพียะ
ฉับพลันจิตของปรมาจารย์ไท่เฉิงก็หลุดออกจากความลับสวรรค์ มุมปากมีเลือดสดสีแดงเข้มไหลรินก่อนจะมองไปทางฉินหลิวซี
“อย่าจ้องอยากรู้ให้มากนัก เปล่าประโยชน์” ฉินหลิวซีเผยท่าทีเรียบนิ่ง
ปรมาจารย์ไท่เฉิง เลยตีข้าเช่นนี้หรือ