คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1186 ฆ่าเขาให้ตายถึงจะเป็นการคลายปม
ตอนที่ 1186 ฆ่าเขาให้ตายถึงจะเป็นการคลายปม
หลังจากที่ฉินหลิวซีอธิบายข้อสันนิษฐานต่างๆ แล้ว บรรยากาศภายในห้องฝึกกรรมฐานก็อึมครึมลงเล็กน้อย ชวนให้เฉิงหยางจื่อรู้สึกว่าชาชั้นดีกลับไม่ได้มีกลิ่นหอมอีกต่อไป
พวกเขารู้ว่ามีผีร้ายออกมาเพ่นพ่าน แต่ไม่รู้ว่าคนผู้นั้นจะวางแผนการยิ่งใหญ่ขนาดนี้ กลายเป็นเทพอย่างนั้นหรือ เขาก็ช่างคิดได้!
อีกทั้งพอรู้ที่มาที่ไปของเขาก็ยิ่งจินตนาการไม่ออกว่ายามนั้นคนผู้นั้นแข็งแกร่งมากเพียงใด ยุคสมัยนั้นต้องอาศัยคนของสองสำนักพุทธเต๋าปราบถึงจะลากลงไปขังในมหาอเวจีนรกได้ แต่บัดนี้เขากลับผงาดขึ้นมาใหม่อีกครั้งแล้ว
พระผู้เป็นเจ้าที่เคารพ โปรดชี้แนะทีว่าด้วยพลังที่แท้จริงที่ห่างชั้นกันมากโขของทั้งสองฝ่ายนี้ควรจะสู้กันอย่างไรต่อไป
ฉินหลิวซีกระแอมไอก่อนจะเอ่ย “สหายทั้งสองไม่จำเป็นต้องแสดงท่าทีสิ้นหวังขนาดนั้น แม้ว่าจะหล่อเลี้ยงค่ายอาคมกลายเป็นเทพ แต่เขาก็ต้องอาศัยความเก่งกาจถึงจะแตะขอบเขตเหินฟ้าได้ พลังดวงวิญญาณขาดแคลนอาจไม่เป็นผลดีต่อพวกเรานัก แต่สวรรค์เองก็กดข่มเขาอยู่เช่นกัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ร่างกายของเขายังมีไม่ครบส่วน พวกเราเรียกเขาว่ามารร้ายถือว่าเป็นการยกยอเขาด้วยซ้ำ หากยึดตามที่ปรมาจารย์ไท่เฉิงบอก เขาเหมาะกับคำว่าผีร้ายมากกว่า ในเมื่อเขาเป็นแค่ซากดวงวิญญาณที่หลบหนีออกมาจากมหาอเวจีนรก” แค่เป็นผีที่เก่งมากก็เท่านั้น
พวกปรมาจารย์ไท่เฉิงมองนางแวบหนึ่ง ขอโทษด้วย เพราะไม่ได้รู้สึกถูกปลอบโยนเลยสักนิด
“สหายปู้ฉิวบอกว่าจะช่วยเหลือราษฎร ท่านมีแผนการฆ่าเทพแล้วหรือ” เฉิงหยางจื่อเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ
“ฆ่าเทพหรือ กล่าวเช่นนี้ก็เป็นการให้เกียรติเขาอยู่บ้าง” ฉินหลิวซีเอ่ย “สิ่งที่พวกท่านเห็นเมื่อครู่เป็นเพียงค่ายอาคมสำคัญสองแห่งที่ข้าหาเจอ ส่วนที่เหลือข้ายังหาไม่เจอ ข้ามีความคิดว่าจะร่วมมือกับศาสนาพุทธ ออกคำสั่งพิเศษไปยังสองสำนักพุทธและเต๋า ให้เหล่าผู้ฝึกตนทุกคนเข้าร่วมตามหาดวงตาค่ายอาคมเหล่านี้และทำลายมันทิ้งเสีย เพื่อเลี่ยงไม่ให้เป็นภัยพิบัติขยายลุกลาม”
ปรมาจารย์ไท่เฉิงเอ่ย “หากทำลายทิ้งง่ายดายเช่นนั้นจะเกี่ยวพันเชื่อมโยงเป็นวงกว้างหรือไม่”
“ขอแค่เหล่าสหายตามหาเจอ ข้ามีวิธีทำลาย หากข้าไม่ต้องเก็บตัวบำเพ็ญก็สามารถทำลายด้วยตัวเองได้ แต่หากทำไม่ได้ เฟิงซิวเจ้าของโรงประมูลจิ่วเสียนในเมืองหลวงจะมุ่งหน้าไปทำแทนข้า”
ปรมาจารย์ไท่เฉิงเลิกคิ้ว “ดูท่าทางพลังบำเพ็ญของเขาก็ใช่ย่อย”
ฉินหลิวซีเอ่ยเสียงเรียบ “ราชาปีศาจในตอนนี้ ท่านคิดว่าอย่างไรเล่า”
แกร๊ง
“ในเมื่อฟ้าดินมีพลังจิตวิญญาณ ทุกสรรพสิ่งย่อมต้องมีตามเป็นธรรมดา ซึ่งต่างฝึกฝนบำเพ็ญได้ทั้งสิ้น เพียงแต่ขึ้นอยู่กับโชคชะตาและวาสนาก็เท่านั้น” ฉินหลิวซีเอ่ยต่อ “แน่นอนว่าเป็นเพียงสถานการณ์ตอนนี้ แต่หากเราจัดการเจ้าผีร้ายตนนั้นไม่ได้ก็คงพูดเช่นนี้ไม่ได้แล้ว”
สิ่งมีชีวิตดับสูญ กฎแห่งสวรรค์พังทลาย แล้วจะกล่าวถึงสรรพสิ่งไปใย
พวกเขาไม่กี่คน ขอบคุณท่านมาก ลำบากขนาดนี้แล้วยังหาเวลามาทำร้ายพวกเราอีก!
ปรมาจารย์ไท่เฉิงเอ่ยขึ้นว่า “ท่านมีแผนการอื่นอีกหรือไม่”
ฉินหลิวซีพยักหน้า “กำจัดดวงตาค่ายอาคม เพียงเพื่อเลี่ยงไม่ให้เกิดหายนะแก่สิ่งมีชีวิตในใต้หล้า ต่อให้ปรากฏค่ายอาคมกลายเป็นเทพเด่นหราเช่นนั้น แต่เขากลับแสดงท่าทีไม่ใส่ใจต่อการกำจัดดวงตาค่ายอาคมนี้อย่างสิ้นเชิง แสดงว่าต้องมีแผนการใดรองรับรออยู่ ข้าจึงจำเป็นต้องมองศาสตร์ค่ายอาคมของเขาให้แตกฉาน อีกทั้งหล่อหลอมสิ่งที่ใช้ต้านทานกดข่มเขาได้ อย่างเช่นศาสตราวุธที่ใช้ทำลายค่ายอาคม หรือค่ายอาคมที่สามารถกักขังทำลายเทพเซียนได้ ในเมื่อเขาคือจุดสำคัญที่สุดของเรื่องนี้ แมลงร้อยขาที่ตายแล้วแต่ยังมีพิษภัยอย่างเขา ถ้าไม่กำจัดทิ้งให้สิ้นซากก็จะมีครั้งที่สามตามมาอีกแน่นอน”
ขณะเอ่ย พลันในสมองก็มีเรื่องบางอย่างแวบผ่านเข้ามา ทว่านางจับไว้ไม่ทันจึงอดขมวดคิ้วมุ่นไม่ได้ นางพลาดสิ่งใดไปนะ
ปรมาจารย์ไท่เฉิงเองก็เห็นด้วยกับคำพูดนี้ นี่เป็นเรื่องจริง สำหรับผู้ฝึกตน หากยังคงมีดวงจิตยังคงอยู่ก็สามารถอาศัยร่างอื่นเพื่อฟื้นคืนชีพหรือสร้างร่างกายใหม่ได้ แต่หากดวงจิตสูญสลายไปแล้ว ทุกสิ่งก็จบสิ้น
หากคนรุ่นพวกเขากดข่มเขาเอาไว้ได้เหมือนบรรพบุรุษเมื่อพันปีก่อนก็โชคดีไป แต่หากเกิดเหตุการณ์อย่างในตอนนี้ หากหลายร้อยปีหรือพันปีข้างหน้าเกิดขึ้นอีกครั้งจะไม่เป็นหายนะใหญ่หลวงเลยหรือ
ฆ่าเขาให้ตายถึงจะเป็นการคลายปมทุกอย่าง
พลันในใจของพวกเขาก็ผุดความคิดนี้เข้ามาโดยมิได้นัดหมาย
ฟ่านคงค่อยๆ ปิดตาลงแล้วเอ่ยชื่อพระผู้เป็นเจ้า ในทางพระพุทธศาสนาแตกต่างจากสำนักเต๋าที่แค่ไม่ลงรอยกันก็ฆ่าทิ้งได้เลย อย่างมากเขาทำได้เพียงใช้พระธรรมทำลายพลังจิตของฝ่ายตรงข้ามให้พังทลายลงเท่านั้น
“ในเมื่อข้าต้องศึกษาค่ายอาคมหลอมฐานค่ายอาคมขึ้นมา แถมยังต้องตามหาดวงตาค่ายอาคมนั่นอีก มีสิ่งที่พันธนาการไว้มากมายเหลือเกิน บัดนี้กลียุคใกล้เข้ามาแล้ว ดาวฮ่องเต้มืดมนไร้แสง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้มีดวงวิญญาณมากขึ้น ดังนั้นถึงอยากรวมพลังของสองสำนักพุทธเต๋ามาเข้าร่วมด้วย” ฉินหลิวซีมองปรมาจารย์ไท่เฉิงพลางเอ่ย “บัดนี้อารามจินหัวเป็นอารามใหญ่อันดับหนึ่งในใต้หล้า อีกทั้งท่านปรมาจารย์เองก็อยู่ในขอบเขตสร้างรากฐาน หากใช้นามของท่านเรียกรวมพลผู้ฝึกตนบำเพ็ญในใต้หล้าย่อมเหมาะสมที่สุดแล้ว”
ปรมาจารย์ไท่เฉิงเอ่ย “ท่านยกยอข้าเกินไปแล้ว เวลานี้ท่านมีพลังบำเพ็ญเหนือกว่าข้า อารามอันดับหนึ่งควรจะเป็นอารามชิงผิงของพวกท่านถึงจะถูก”
“ด้วยอายุของข้ายากที่จะทำให้ใครเชื่อถือได้” ฉินหลิวซีส่ายหน้า
ปรมาจารย์ไท่เฉิงแค่นเสียงหัวเราะ “ลัทธิเต๋าลำดับศักดิ์จากพลังบำเพ็ญ หาใช่อายุ หากต้องการความเชื่อถือจากทุกคน เชื่อว่าลำพังแค่อาคมเดียวของท่านก็ทำได้แล้ว”
“เรื่องที่ต้องให้สองศาสนามาทำร่วมกันเช่นนี้ สู้ให้ผู้เฒ่าอาวุโสจิ้งฉือเป็นคนออกหน้าจะดีกว่ากระมัง” เฉิงหยางจื่อมองไปทางฟ่านคง
ทว่าฟ่านคงกลับไม่เอ่ยอะไร ฉินหลิวซีเป็นฝ่ายตัดบทขึ้นก่อน “ผู้เฒ่าอาวุโสจิ้งฉือจะออกหน้าไม่ได้”
ทุกคนจึงมองไปทางนาง
“ผู้เฒ่าอาวุโสจิ้งฉือมีภารกิจของเขาเอง เขากำลังใช้อายุขัยของเขากดข่มกระดูกพุทธะนั้นอยู่” ฉินหลิวซีโพล่งขึ้นประโยคหนึ่ง อีกทั้งกระดูกพุทธะชิ้นนั้นอยู่บนเส้นชีพจรมังกรด้วย
พลันทุกคนก็สีหน้าเปลี่ยน
ฉินหลิวซีเงียบไปครู่หนึ่งถึงเอ่ย “เอาเช่นนี้ ข้าจะใช้เคล็ดวิชาลับของสำนักเต๋าส่งข่าวเรื่องดวงตาค่ายอาคมให้เหล่าผู้ฝึกตนทราบ หากมีใครมาหาท่านปรมาจารย์ ท่านค่อยไปหาเฟิงซิวอีกที ส่วนเรื่องราชาปีศาจไม่จำเป็นต้องป่าวประกาศให้โจ่งแจ้ง”
“ท่านไม่กลัวว่าพวกเราจะแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปหรือ” ปรมาจารย์ไท่เฉิงประหลาดใจอยู่บ้าง
ฉินหลิวซียิ้มเอ่ย “หากพวกท่านสู้เอาชนะเขาได้ละก็จะแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปก็เอาเลย ขอเตือนไว้ก่อนว่าคนผู้นี้มีความขี้ระแวงสูงมาก หากรู้ว่าพวกท่านสร้างเรื่องเดือดร้อนให้เขา เช่นนั้น…”
เฟิงซิวยิ้มเย็นชา ข้าไม่มีความเมตตาเพราะความเมตตาของข้ามีไม่มากนัก!
ปรมาจารย์ไท่เฉิงมุมปากกระตุก นี่เป็นการขมขู่อย่างนั้นหรือ
เฉิงหยางจื่อเอ่ย “ส่งข่าวด้วยเคล็ดวิชาลับเช่นนี้ หากสายมารได้ยินเข้าเรื่องนี้จะไม่รั่วไหลออกไปหรือ ดั่งที่เจ้าเอ่ย ซื่อหลัวผู้นี้นำพาเรื่องต่างๆ มาตั้งมากมาย เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็ปลุกปั่นให้ผู้ฝึกตนสายมารจัดการเรื่องให้เขาไม่น้อย มิเช่นนั้นสองปีมานี้คงไม่เกิดเรื่องวุ่นวายในสำนักนิกายมากมายเช่นนี้หรอก”
“เช่นนั้นก็เป็นการทอดแหจับพวกเขามาด้วยเลย ใช้ความเที่ยงตรงสร้างความถูกต้อง” ฉินหลิวซีเอ่ยด้วยใบหน้าสุขุม “การบรรลุขั้นกลายเป็นเทพต้องอาศัยพลังความเลื่อมใส ประจวบกับตอนที่พวกเราตามหาดวงตาค่ายอาคมก็ทำลายนิกายชั่วร้ายพวกนั้นไปด้วยเลย เพื่อเลี่ยงไม่ให้พวกเขาอาศัยหายนะจากสวรรค์มาทำลายมนุษย์ หากพวกเขาปลุกปั้นให้ตกอยู่ในความโกลาหล มนุษย์เราต้องตายดับสิ้นแน่”
คำพูดนี้ก็สมเหตุสมผล
พวกเขาขัดใจกับนิกายบ้าๆ และเทพชั่วร้ายพวกนั้นมานานแล้ว ความจริงการเผยแผ่ศาสนาก็เหมือนเป็นการเอาเปรียบประชาชนผู้บริสุทธิ์ หลอกเอาเงิน หลอกข่มขืน และหลอกเอาความเลื่อมใส แต่คนที่เผยแผ่ศาสนาในครรลองที่ถูกต้องอย่างพวกเขากลับตกที่นั่งลำบาก
“ปัญหาสุดท้าย พวกเรากระทำการโจ่งแจ้งเช่นนี้ ไม่กลัวว่าซื่อหลัวจะมาทอดแหจับพวกเราบ้างหรือ” ปรมาจารย์ไท่เฉิงเอ่ยด้วยความกังวลใจ
ฉินหลิวซียิ้มเอ่ย “ดังนั้นนี่คือการประลองอย่างแท้จริง การช่วยเหลือสรรพชีวิตไม่ใช่แค่การพูดลอยๆ แต่อาจต้องสละชีวิตเพื่ออุดมการณ์ ท่านปรมาจารย์กลัวหรือไม่”
ปรมาจารย์ไท่เฉิงแค่นเสียงทุ้มเย็นชา “สามบริสุทธิ์อยู่เบื้องบน อารามจินหัวยึดมั่นตามหลักขจัดความชั่วส่งเสริมความดี การช่วยเหลือผู้คนถือเป็นเมตตาจิต การสละชีวิตเพื่ออุดมการณ์นั้นมีสิ่งใดที่น่ากลัวกันหรือ”
“พูดได้ดี!” ฉินหลิวซีปรบมือ “เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้ พอถึงตอนนั้นคงต้องพึ่งพาท่านปรมาจารย์ให้ช่วยเป็นเสาหลักในเรื่องนี้แล้ว”
ปรมาจารย์ไท่เฉิง “…”
เหมือนเขาเผลอตกหลุมพรางใดไปหรือไม่นะ