คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1187 เจ้าเด็กนั่นเผยเขี้ยวแหลมออกมาแล้ว
ตอนที่ 1187 เจ้าเด็กนั่นเผยเขี้ยวแหลมออกมาแล้ว
………………..
ฉินหลิวซีเคยบอกว่านางจะใช้เคล็ดวิชาลับส่งข่าวบอกผู้ฝึกตนในใต้หล้า เฉิงหยางจื่อนึกว่าผู้ฝึกตนคนอื่นๆ คงได้รับข่าวกันถ้วนหน้า แต่ไม่รู้ว่าการส่งข่าวผ่านเสียงของนางจะแตกต่างกันออกไป อย่างน้อยผู้ฝึกตนต้องอยู่ในขั้นหลอมลมปราณระดับห้าขึ้นไปถึงจะได้ยินเสียงนั้นตามกำหนดเวลา
เพียงแต่ผู้ฝึกตนต่างต้องฝึกฝนบำเพ็ญตน การโคจรจุลจักรวาลและมหาจักรวาลล้วนเป็นสิ่งที่นักพรตพึงปฏิบัติทุกวัน ซึ่งถือเป็นหนึ่งในการบำเพ็ญ นางใช้เคล็ดวิชาลับส่งสารให้พวกเขาผ่านการเข้าฌาน ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดต้องเป็นขั้นหลอมลมปราณระดับห้าขึ้นไปก็เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาตกใจกะทันหันจนสติยุ่งเหยิง ก่อนเดินเข้าสู่วิถีมารเพราะความสับสน
ฉินหลิวซีเรียกรวมพลไม่ใช่เพื่อทำร้ายใคร ดังนั้นขั้นหลอมลมปราณระดับห้าขึ้นไปถึงจะตอบสนองต่อเสียงนี้ได้
ส่วนเนื้อหาที่นางส่งต่อก็จะบอกให้พวกเขาระดมเหล่าสหายเต๋าในสำนักเข้าร่วมด้วย
แน่นอนว่าจะมีคนที่ไม่เต็มใจเข้าร่วมด้วยหรือไม่ กลับไม่ใช่เรื่องที่นางต้องคิดไตร่ตรองเลยสักนิด ในเมื่อไม่มีใครสมบูรณ์แบบ แม้แต่ผู้ที่เดินเส้นทางการบำเพ็ญก็เช่นกัน ใช่ว่าทุกคนจะมีใจอยากผดุงความเที่ยงธรรมเสมอไป อยากช่วยกู้โลกช่วยเหลือปวงประชาหรือไม่ เรื่องนี้ถือว่าเป็นความสมัครใจของตนเองทั้งสิ้น
เพราะเหตุนี้พอเคล็ดวิชาลับถูกส่งออกไป ไม่ว่าสหายเต๋าที่อยู่ในโลกแห่งฆราวาส หรือยอดฝีมือที่ซ่อนตัวอยู่ในภูเขาลึกห่างไกลผู้คน ล้วนได้รับสารเสียงนี้ตามเวลาพร้อมกัน เริ่มจากตกใจก่อน กระทั่งลมปราณที่แท้จริงภายในร่างกายแทบปะทุพวยพุ่ง แต่น้ำเสียงนั้นกลับช่วยปลอบประโลมให้จิตใจสงบลงในชั่วเวลาอันสั้นราวกับลมฝนบางเบา
รอกระทั่งพวกเขาได้ฟังเนื้อหาของสารที่ส่งมาอย่างชัดเจนแล้วก็เผยสีหน้าขรึมลงอย่างอดไม่ได้ ก่อนที่จะทยอยไปบอกข่าวต่อๆ กัน คนที่ปลีกตัวอยู่ในป่าลึกยิ่งลงจากเขามาด้วยท่าทีผ่อนคลาย
ยามบ้านเมืองวุ่นวายย่อมต้องลงจากภูเขามาช่วยเหลือคน พวกเขาเข้าใจหลักปฏิบัติข้อนี้อย่างลึกซึ้งดี
ต่อมามีสหายเต๋าเขียนเรื่องนี้ลงในบันทึกเหตุการณ์สำคัญของลัทธิเต๋า โดยใช้ชื่อว่าตอนสังหารเทพกู้โลก ถ่ายทอดเรื่องนี้ต่อไปในภายภาคหน้า
การใช้เคล็ดวิชาลับย่อมต้องใช้พลังจิตวิญญาณร่วมด้วย ซึ่งสิ้นเปลืองทำลายดวงจิตไม่น้อย ครั้นพวกเฉิงหยางจื่อเห็นว่าหลังจากฉินหลิวซีร่ายวิชาลับนี้แล้ว ใบหน้าดวงน้อยก็ซีดลงราวกับคนตาย
ปรมาจารย์ไท่เฉิงเองรู้สึกละอายใจอยู่บ้าง เมื่อเทียบกับนางที่ต้องสูญเสียพลังไปมาก เสาหลักที่เอ่ยปากอะไรก็อ้ำๆ อึ้งๆ อย่างเขา ช่างไร้บุคลิกของปรมาจารย์เสียจริง
เฉิงหยางจื่อกลับเลื่อมใสศรัทธามากกว่า ในลัทธิเต๋ายังมีศาสตร์วิชามากมายให้เขาเรียนรู้ เส้นทางการฝึกบำเพ็ญยังอีกยาวไกล เขาต้องอ่านหนังสือให้มากกว่านี้
ฉินหลิวซีกลืนยาลงคอ ก่อนจะลากตัวฟ่านคงเดินจากภูเขาเทียนมุ่งหน้าสู่วัดอวี้ฝอ ส่วนพวกปรมาจารย์ไท่เฉิงเองเห็นว่าเป็นทางผ่าน จึงมุ่งหน้าเดินทางไปด้วยกัน
นางไม่รู้ว่าพอนางใช้วิชานี้ ซื่อหลัวเองก็ได้ยินเช่นกัน เขาเปิดดวงตาขึ้นขณะเข้าฌานแล้วเดินออกมาจากห้องเล็กๆ ก่อนทอดมองไปยังภูเขาสีขาวบริสุทธิ์ เอ่ยกับร่างหิมะหนึ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าห้องเล็กๆ ว่า”เจ้าเด็กนั่นเผยเขี้ยวแหลมออกมาแล้ว นี่ประกาศสงครามกับข้าอย่างเป็นทางการแล้วสินะ น่าสนุกดี!”
ร่างหิมะนั้นนั่งขัดสมาธิ สองมือประกบกันร่ายอาคม เกล็ดหิมะโปรยปรายลงมาไม่หยุด ทว่านางยังคงนั่งนิ่งไม่ขยับ ดวงหน้าน้อยเย็นยะเยือกดุจน้ำค้าง หิมะบนขนตาจับตัวแข็งเป็นก้อน
ซื่อหลัวเหลือบมองนางแวบหนึ่งแล้วเดินเข้าสู่มิติว่างเปล่า
ผ่านไปครู่หนึ่งร่างหิมะก็ลืมตาทั้งสองข้างขึ้น ก่อนมองไปทางที่เขาหายตัวไป สองดวงตาที่แบ่งสีดำขาวอย่างชัดเจนเย็นเชียบดุจเกล็ดหิมะที่โปรยปรายลงมาจากฟากฟ้า ไร้ซึ่งอุณหภูมิอบอุ่น และไร้ซึ่งคลื่นอารมณ์ใดๆ ไร้ซึ่งความเศร้าสร้อยหรือยินดี ไร้อารมณ์ไร้ความปรารถนา นิ่งสงบไร้การเคลื่อนไหวโดยสิ้นเชิง
วิถีแห่งการไร้ความรู้สึก ย่อมไร้อารมณ์ใด
นางปิดตาทั้งสองข้างลง สัมผัสอุณหภูมิของเกล็ดหิมะ พลันพลังหยินก็ถาโถมเข้าหาจากรอบทิศก่อนจะห่อหุ้มร่างของนางไว้ แล้วแปรเปลี่ยนเป็นเกลียวพายุสีดำ
…
เดือนสิบเอ็ด เหมันต์ฤดูเข้ามาเยือน เมืองเซิ่งจิงเองก็มีหิมะตกโปรยปราย
วัดอวี้ฝอ เจ้าอาวาสฮุ่ยเฉวียนพาฉินหลิวซีและฟ่านคงไปพบปรมาจารย์จิ้งฉือ หลังจากผ่านการหารือ ฟ่านคงก็ใช้กฎตามพุทธศาสนาเรียกประชุมพระสงฆ์ตามวัดต่างๆ ในนามของวัดอวี้ฝอ เพื่อร่วมมือกับลัทธิเต๋าช่วยโลก
ก่อนที่ฟ่านคงจะกลับ เขาจ้องปรมาจารย์จิ้งฉือแน่นิ่งโดยไม่ขยับอยู่นานด้วยแววตาที่ทอประกายความเห็นอกเห็นใจ
ปรมาจารย์จิ้งฉือฉีกยิ้มพลางเอ่ยถึงนามพระผู้เป็นเจ้า นัยน์ตาฉายแววเชิงเข้าใจรู้แจ้งพร้อมพยักหน้าให้เล็กน้อย
รอกระทั่งฟ่านคงเดินจากไปแล้ว ฉินหลิวซีก็มองไปทางปรมาจารย์จิ้งฉือ หยิบเข็มสีทองขึ้นมาพลางมุ่นคิ้ว “ท่านดูอิดโรยกว่าครั้งก่อนที่เจอกันมาก”
ปรมาจารย์จิ้งฉือมองไปทางเส้นชีพจรมังกรที่อยู่ใต้เจดีย์แวบหนึ่งแล้วยิ้มบาง กล่าว “อาตมาแก่แล้ว ใกล้ถึงเวลาที่จะต้องไปเจอพระพุทธเจ้าแล้ว”
ฉินหลิวซีได้ยินเช่นนั้นอารมณ์ก็ดิ่งวูบจึงเอ่ย “ท่านจัดการแค่เรื่องเดียวก็พอ” ก็คือเฝ้ากระดูกพุทธะตรงนี้ไป
ปรมาจารย์จิ้งฉือไม่ได้ปฏิเสธการฝังเข็มของนาง ไม่ใช่ว่าเขากลัวตาย แต่เขากลัวว่าจะทนไม่ไหวจนเป็นเหตุให้เฝ้าเส้นชีพจรมังกรแห่งนี้ต่อไปไม่ได้
ขณะที่ฉินหลิวซีรอเวลาฝังเข็ม นางก็นั่งสมาธิอยู่ข้างเจดีย์ ทันใดนั้นก็สะดุ้งเฮือก
นางตกใจ
นางใช้มือข้างขวากดลงบนพื้น ชั่วขณะนั้นนางสัมผัสได้ถึงอารมณ์บางอย่าง
ฉินหลิวซีมองไปทางนิ้วชี้ข้างซ้าย พลางหรี่ตาลง
เมื่อก่อนนางคิดจะทำลายกระดูกพุทธะนี้ทิ้งเสีย แต่ฮุ่ยเฉวียนบอกว่าจะแตะต้องกระดูกชิ้นนั้นไม่ได้ เพราะมันตั้งอยู่บนเส้นชีพจรมังกร หากแตะต้องมันก็จะเป็นการสั่นคลอนรากฐานของบ้านเมืองไปด้วย
ดวงชะตาบ้านเมืองนั่นเอง
ในสมองของฉินหลิวซีผุดบางอย่างประกายแวบขึ้นมา นางหยิบค่ายอาคมกลายเป็นเทพที่วาดออกมาจากจิตวิญญาณก่อนใช้สายตาจับจ้องไปที่ตำแหน่งชิงหลงบนภูเขา ภูเขาไร้เส้นชีพจร และไร้ดวงวิญญาณ แต่หากมีเส้นชีพจรอยู่ล่ะ
นางมองภาพวาดตามจิตใต้สำนึก หากเติมเส้นชีพจรมังกรลงบนภูเขานี้ได้ ภูเขาต้องมีพลังงานไหลเวียนแน่นอน พอพลังดวงวิญญาณเด่นชัด โชคลาภก็จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
นางหายใจเร็วถี่
นางก้มหน้ามองลงบนพื้น ราวกับมองผ่านใต้ดินทะลุหลายชั้นไปยังชีพจรมังกรเส้นนั้น กระดูกชิ้นนั้นราวกับอยู่ในเหวลึกก็มิปาน
“ไม่ต้องกังวลไป ข้าจะเฝ้าชีพจรมังกรจนวันสุดท้ายของชีวิต” เสียงที่เปี่ยมล้นด้วยเมตตาดังเข้ามาในโสตประสาทของฉินหลิวซี
ฉินหลิวซีหันไปมอง แต่กลับเห็นปรมาจารย์จิ้งฉือมองมาทางนาง ดวงตาคมกริบคู่นั้นบรรจุมวลมนุษย์ในใต้หล้าไว้นานแล้ว พลันนางก็แสบจมูกก่อนจะรีบเบือนหน้าไปทางอื่น
หลังจากนั้นหนึ่งชั่วยาม ฉินหลิวซีก็เดินออกมาจากพระเจดีย์ที่ปรมาจารย์จิ้งฉือเก็บตัว ฟ่านคงรอนางอยู่ด้านนอก พวกเขาทั้งสองสบตากันราวกับเข้าใจเจตนาของอีกฝ่ายโดยที่ไม่เอ่ยคำพูดใดขึ้นมาสักคำ
เสียงระฆังของวัดอวี้ฝอดังขึ้น
เขาพูดไม่จบประโยค แต่ฉินหลิวซีเข้าใจนัยยะที่แฝงอยู่ในคำพูดนี้
จนกระทั่งวันศึกใหญ่เกิดขึ้น เขาถึงจะปรากฏตัวนั่นเอง
“ได้”
ฟ่านคงเห็นว่าสีหน้าของนางเศร้าหมอง จึงครุ่นคิดก่อนเอ่ย “หายนะยิ่งใหญ่ครั้งนี้ ไม่มีใครสามารถเพิกเฉยต่อโลกนี้ได้ เพื่อช่วยเหลือประชาชน สำนักทั้งพุทธและเต๋าต่างเข้าร่วม อีกทั้งบนโลกที่เป็นอยู่ ผู้มีปัญญาที่พยายามสร้างผลประโยชน์เพื่อบ้านเมืองล้วนทำเพื่อใต้หล้ากันทั้งนั้น แม้จะต้องสูญเสียชีวิตกลับไม่มีใครเกรงกลัวสักคน ศิษย์พี่จิ้งฉือเองก็ไม่ต่างกัน วันข้างหน้าท่านกับข้าก็คงไม่ต่างกันนัก”
ฉินหลิวซีเสมองมา เอ่ยหยอกเย้า “คิดไม่ถึงว่าไต้ซือฟ่านคงจะมีมุมที่ปลอบประโลมคนเช่นนี้ด้วย ยามนี้ท่านเข้ามาสู่โลกฆราวาสอย่างแท้จริงแล้ว ไม่เหมือนพระชั้นสูงที่ปลีกตัววิเวกอยู่แดนไกลเลย”
ครั้นได้ยินนัยยะยียวนเช่นนี้ ฟ่านคงก็หน้าเขียวคล้ำก่อนจะหมุนตัวหายเข้ามิติว่างเปล่าไป
“ใจแคบเสียจริง” ฉินหลิวซีจิ๊ปากที ก่อนจะหันไปมองเณรน้อยรูปหนึ่งที่กำลังหลบอยู่ตรงมุมกำแพงแอบชะเง้อหน้ามองมาทางนาง นางจึงยกยิ้มมุมปากเดินเข้าไปหา ก่อนจะหยิบขนมลูกแพร์จากถุงเฉียนคุนยัดใส่มือเขาแล้วรูปศีรษะโล้นเกลี้ยงของเขาทีพลางเอ่ย “ตั้งใจเคาะปลาไม้กับอาจารย์ของเจ้า เรียนรู้การฝึกสมาธิดีๆ ล่ะ”
เณรน้อยกำขนมในมือราวกับละอายใจก็มิปาน ก่อนจะวิ่งหายลับไป ทว่าเพิ่งวิ่งไปได้ไม่กี่ก้าวก็หันกลับมามองพร้อมส่งยิ้มขวยเขินให้ฉินหลิวซี ยกมือข้างหนึ่งขึ้นโค้งตัวคำนับ “อาตมาขอบคุณโยมมาก”
พอเขาวิ่งจากไปแล้ว ฉินหลิวซีถึงหันไปมองเจ้าอาวาสฮุ่ยเฉวียนอีกฝั่งที่กำลังเดินมาพลางเอ่ย “ท่านเจ้าอาวาสสอนเด็กคนนี้ได้ดีนัก”
ฮุ่ยเฉวียนเอ่ย “เขามีวาสนากับพุทธศาสนาของเรา ท่านเทพเดินตามอาตมามาเถิด ผู้อาวุโสบอกว่าอนุญาตให้ท่านไปศึกษาตำราศาสตร์ค่ายอาคมในหอพระไตรปิฎกของวัดอวี้ฝอได้แล้ว”
ทันใดนั้นสองดวงตาของฉินหลิวซีก็เปล่งประกายก่อนจะรีบเดินตามไปอย่างว่องไว