คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1188 บวงสรวง เสียงดังสะเทือนเลือนลั่น
ตอนที่ 1188 บวงสรวง เสียงดังสะเทือนเลือนลั่น
………………..
ขณะที่ฉินหลิวซีขลุกตัวดื่มด่ำกับการศึกษาค่ายอาคมรูปแบบต่างๆ ของสำนักพุทธอยู่ในหอพระไตรปิฎกที่วัดอวี้ฝอ ทั่วทั้งต้าเฟิงกลับมีคลื่นใต้น้ำ ทันใดนั้นประชาชนก็สังเกตเห็นว่านักพรตและพระสงฆ์ต่างสัญจรไปมากันขวักไขว่ แม้จะรู้สึกแปลกใจอยู่ลึกๆ แต่กลับไม่ได้คิดอะไรมากนัก
สำหรับประชาชนแล้ว ไม่ว่าจะมาจากสำนักพุทธหรือเต๋า ล้วนเปรียบดั่งประตูที่ละทางโลก พวกเขามักจะไปกราบไหว้ขอคำชี้แนะในพระธรรม เหล่านักบวชที่เดินไปมาในโลกฆราวาสอาจเพื่อออกบิณฑบาตหรือเผยแผ่ธรรมะ แต่กลับไม่ได้คิดลามไปถึงเรื่องการทำลายล้างโลก
อาจมีบ้างที่ชาวบ้านทั่วไปจะเชื่อในมรรคที่บิดเบี้ยวอย่างวิถีมารเป็นครั้งคราว ในเมื่อสิ่งชั่วร้ายประเภทนี้ พวกเขาเชื่อว่ามีอยู่จริงมาโดยตลอด แต่เรื่องทำลายล้างโลกที่ดูหลอกลวงและเพ้อฝัน พวกเขากลับไม่กล้าคิดและไม่กล้าเชื่อด้วยซ้ำ
แน่นอนว่าต่อให้มีการทำลายล้างจริง เดาว่าพวกเขาเองก็คงไม่มีเวลาสนใจ หรือด้านชาไปแล้วนั่นเอง เพราะปีนี้ใช้ชีวิตอย่างยากลำบากเหลือเกิน
ภัยพิบัติเกิดขึ้นบ่อย เก็บเกี่ยวผลผลิตไม่ได้ ราคาสินค้าสูงลิ่ว ประชาชนมากมายต่างล้มหายตายจากเพราะภัยพิบัติต่างๆ ความเจ็บปวดยังไม่ทันหาย ฤดูหนาวใหม่ก็คืบคลานเข้ามาแล้ว ในเมื่อต้องเผชิญกับความหนาวเหน็บกันอีกครั้ง พวกเขาจะไม่รู้สึกด้านชาและสิ้นหวังได้อย่างไร
ประชาชนบางคนคิดว่าต่อให้วันสิ้นสุดโลกจะมาถึงก็ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรพวกเขาก็หนีความตายไม่พ้น
ดังนั้นจึงไม่มีใครสังเกตเห็นว่าสองสำนักพุทธเต๋า หรือกระทั่งพ่อมดหมอผีต่างทยอยออกมาเคลื่อนไหวด้วยเรื่องใด อาจเพียงเพราะการมาเยือนของฤดูหนาว พวกเขาก็แค่อยากใช้อีกวิธีหนึ่งเพื่อเอาตัวรอดเท่านั้น
วันที่ยี่สิบเดือนสิบเอ็ด ฮ่องเต้คังอู่เสด็จไปประกอบพิธีบูชาบวงสรวง เพื่อขอพรให้คนในใต้หล้า
แท่นบูชาตั้งอยู่ในเขตฝั่งตะวันออกติดกับประตูหย่งหยางแถบชานเมือง ซึ่งสร้างตามแนวภูเขาอวี้ซานที่ขนาบป้อมคูเมือง เพื่อให้เบื้องบนรับรู้ได้ดียิ่งขึ้น บันไดสวรรค์ที่เชื่อมกับแท่นบูชาจึงมีเพียงเก้าสิบเก้าขั้น ราวจับทั้งสองด้านทำจากโซ่เหล็กสีดำเพื่อให้ผู้ที่เดินขึ้นเขาไปไว้จับใช้งาน
การบวงสรวงครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อแสดงความเลื่อมใสศรัทธา กลุ่มขุนนางในราชสำนักครึ่งหนึ่งที่พอเดินได้ต่างมากันครบ รวมถึงสตรีบางส่วนที่ติดตามขบวนมา ทำให้ขบวนดูยิ่งใหญ่อลังการ ยิ่งไปกว่านั้นยังระดมกองกำลังจากค่ายทหารทางทิศตะวันตกของเมืองหลวงมาคุ้มกัน พร้อมรักษาความสงบเรียบร้อยด้วย
แต่นอกจากฮ่องเต้ ถึงแม้เหล่าตระกูลขุนนางที่ติดตามเสด็จมาด้วยจะประดับรอยยิ้มบนใบหน้า ทว่าในใจกลับก่นด่าอย่างหนัก อากาศหนาวขนาดนี้ หายใจกลายเป็นไอเย็นหมดแล้ว แต่ยังรั้นจะมาประกอบพิธีบวงสรวงให้ได้ แบบนี้เป็นความทรมานมากกว่ากระมัง
ดูจากสภาพอากาศวันนี้ ท้องฟ้าอึมครึมมืดครึ้ม ดูท่าทางหิมะจะตกหนัก เพราะอากาศหนาวมากเหลือเกิน
หากมีเงินทองสู้เอาไปทำอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันดีกว่า อย่างเช่นเตรียมเสบียงข้าวสาร หรือของใช้จำพวกฟืนไฟเอามาใช้ให้ความอบอุ่น มีใครไม่รู้ถึงความยากลำบากในปีนี้บ้าง แม้แต่ฟืนที่ใช้ก่อไฟให้ความอบอุ่นยังราคาแพงกว่าปีก่อนมากนัก เพราะปริมาณลดน้อยลง
บนแท่นบูชาถูกตระเตรียมไว้นานแล้ว รอเพียงฝ่าบาทเสด็จมาถึงเท่านั้น
เหยียนติ้งปั่ง เสนาบดีสำนักกวงลู่กลับเหงื่อเย็นไหลซึมในอากาศหนาวเหน็บ เขามองขึ้นฟ้าบ้างเป็นระยะๆ ลอบสังหรณ์ใจไม่ดีเท่าไร ราวกับจะมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นก็มิปาน
เขาเดินมาหาหนิวกวงเผิง เสนาบดีกรมที่ดูแลราชกิจกับต่างแคว้นที่ช่วยจัดพิธีบวงสรวงพลางเอ่ย “เหล่าหนิว วันนี้เป็นวันมงคลแน่นะ ไม่เป็นไรแน่นะ ข้าใจเต้นแรงแปลกๆ รู้สึกเหมือนสังหรณ์ใจไม่ดีเลย”
หนิวกวงเผิงหนังตากระตุก เอ่ยตำหนิเสียงต่ำ “พูดจาเหลวไหลอะไรกัน นี่เป็นวันฤกษ์ดีที่หอดูดาวหลวงตรวจดูออกมาเองเลย จะไม่ถูกต้องได้อย่างไร เจ้าอย่าพูดจาอัปมงคลเชียว”
อ๊ากกก
พอเขาพูดจบก็เห็นอีกาตัวหนึ่งมาเกาะบนตัวสัตว์หินรูปชือเหวิ่น[1]ตรงชายคาของตำหนักบวงสรวง พร้อมส่งเสียงร้องกาๆ
พอพวกเขาเห็นชัดเต็มสองตาเช่นนั้นก็มองหน้ากัน ก่อนที่สีหน้าจะขรึมลง
อากาศหนาวขนาดนี้จะมีอีกาโผล่มาได้อย่างไร แถมยังปรากฏตัวบนแท่นบูชาของฝ่าบาทด้วย ช่างไม่เป็นมงคลเอาเสียเลย
“ให้คนหยิบธนูขนมาไล่มันไป” หนิงกวงเผิงเอ่ยด้วยสีหน้าขึงขัง
อีกาตัวนั้นยืนเกาะอยู่ส่วนหางของสัตว์มงคล พอสังเกตอย่างละเอียดจนแน่ใจว่าสัตว์มงคลตรงหน้าลักษณะเหมือนที่ตนเคยเห็นก่อนหน้านี้ ขณะที่ยิงธนูไล่มัน มันก็กระพือปีกบินหนี ปีกขนาดใหญ่ของมันทำให้เกิดแรงลมหมุนเล็กน้อย ก่อนที่จะหายลับตาไปอย่างรวดเร็ว
สัตว์มงคลตัวนั้นแผ่ไอสีดำทะมึนลางร้ายกระจายออกมา ก่อนที่จะค่อยๆ แผ่ขยายเป็นวงกว้าง
ตรงกับยามเฉินพอดี ฤกษ์ดีมาถึงแล้ว
ฮ่องเต้คังอู่ปรากฏตัวบนแท่นบูชาที่รายล้อมด้วยเหล่าตระกูลขุนนางและท่านอ๋องสองสามพระองค์ เปิดพิธีด้วยเสนาบดีกรมพิธีการ ส่วนประชาชนที่มุงอยู่ด้านล่างต่างโห่ร้องทรงพระเจริญหมื่นปี
ธงต้าเฟิงปลิวไสวไปตามแรงลมหนาว สะบัดเสียงดังสวบๆ ด้านบนมีกลีบเมฆจับตัวกัน ท้องฟ้าอึมครึม เหตุใดดูแล้วไม่เห็นเหมือนวันฤกษ์งามยามดีเลยสักนิด
ฮ่องเต้คังอู่กลับแสดงสีหน้าไม่พอพระทัยนัก ทั้งๆ ที่หอดูดาวหลวงบอกแล้วว่าเป็นวันฤกษ์งามยามดี แต่เมฆดำกลับจับตัวลอยอยู่เหนือฟ้า คำนวณวันดีบ้าบอใดกัน โหรหลวงอยากออกจากตำแหน่งแล้วหรืออย่างไร
หลังจากผ่านขั้นตอนซับซ้อนต่างๆ แล้ว ฮ่องเต้คังอู่ก็ทรงท่องบทบวงสรวงด้วยพระองค์เอง พร้อมจุดธูปบูชาเทพ ก่อนจะกราบลงสามครั้งและโขกศีรษะลงพื้นเก้าครั้ง
ด้านนอกเกิดลมพายุกรรโชกแรง
มีคนรู้สึกว่าแผ่นดินสั่นสะเทือนเล็กน้อย พลันก็อดงุนงงขึ้นมาไม่ได้ ถามคนข้างกายว่า “เจ้ารู้สึกหรือไม่”
“อะไรหรือ”
“เหมือนจะแผ่นดินไหว”
ทันใดนั้นอากาศที่อึมครึมก็มีหิมะตกโปรยปรายลงมาอย่างหนัก คนที่ยืนอยู่ด้านนอกหนาวจนตัวสั่น บวกกับแผ่นดินเกิดแรงสั่นสะเทือนเล็กน้อย
พอเกิดแผ่นดินไหว ตอนนี้ถึงรู้สึกได้อย่างชัดเจนกว่าก่อนหน้านี้มาก ไม่ใช่แค่เพียงคนเดียวที่สัมผัสได้แล้ว
คนที่สายตาดีมองเห็นปากของสัตว์มงคลที่ตั้งอยู่บนชายคาตำหนักบวงสรวงราวกับมีชีวิตขึ้นมา ปากขนาดมหึมาเปิดอ้าขึ้นท่ามกลางหมอกสีดำที่ไม่ค่อยเป็นมงคลนัก ทำท่าหมายจะเขมือบก็มิปาน
เสียงแกร๊กดังขึ้นสนั่นเลือนลั่นก่อนที่ชายคาจะหักลง ตามมาด้วยแรงแผ่นดินไหวสะเทือน
ทุกคนต่างตกอยู่ในความงุนงง รอกระทั่งดึงสติกลับมาได้ถึงส่งเสียงกรีดร้อง พร้อมวิ่งจ้าละหวั่นทั่วทุกทิศ
แผ่นดินไหวแล้ว!
ภายในตำหนักบวงสรวง ฮ่องเต้คังอู่เพิ่งปักธูปลงไป พลันก็ถูกแรงสะเทือนที่โผล่มาโดยกะทันหันทำให้ตกใจจนใจหล่นวูบ
ไม่รู้ว่าใครร้องตะโกนว่าคุ้มกันพระองค์ ส่วนคนที่ขี้ขลาดกลับวิ่งหนีออกไปข้างนอกตามสัญชาตญาณแล้ว
ฮ่องเต้คังอู่ถูกเหล่าทหารแม่ทัพรุมล้อมพาเสด็จหนี จากนั้นแผ่นดินก็สั่นสะเทือนแรงขึ้นเรื่อยๆ เขาสะดุดขาตนเองจนแทบล้มคะมำ
จู่ๆ มหาราชครูก็ปรากฏกายในครรลองสายตาของเขา
“มหาราชครู รีบช่วยเราเร็วเข้า” ครั้นฮ่องเต้คังอู่เห็นเขาก็ใจชื้นขึ้นมาบ้าง ถึงแม้ระยะนี้เขาจะสงสัยในตัวมหาราชครูและไม่เชื่อใจของอีกฝ่ายนัก กระทั่งเชื่อคำพูดของคนในฝันร้าย คิดว่าท่านมหาราชครูมีเจตนาไม่บริสุทธิ์
แต่มหาราชครูไม่เคยทำร้ายเขาสักครั้ง อีกทั้งจู่ๆ ยังปรากฏตัวต่อหน้าเขายามแผ่นดินไหวเช่นนี้ ย่อมสร้างความประทับใจให้เขาเป็นธรรมดา
จ้าวอ๋องที่อยู่ใกล้ฮ่องเต้คังอู่ที่สุดรู้ว่าโอกาสในการสร้างคุณงามความดีมาถึงแล้ว เขาจึงตะโกนร้องขึ้นว่า “เสด็จพ่อระวังพ่ะย่ะค่ะ”
เขาอ้าแขนทั้งสองข้างพร้อมโผเข้าใส่ เดิมทีเขาคิดคุ้มกันฮ่องเต้คังอู่ แต่พอมาหยุดอยู่หน้าพระพักตร์ของฮ่องเต้คังอู่ เขากลับผลักพระองค์ท่ามกลางสายตาตกตะลึงและหวาดกลัวของทุกคน
ใช่แล้ว ผลักพระองค์
ขณะที่ฮ่องเต้คังอู่ล้มลงพื้นก็มีเงาสีขาวเงาหนึ่งโผเข้ามาคุ้มกันเขาครึ่งตัวบน ทว่าคานนั้นกลับกระแทกใส่บริเวณส่วนล่างของเขา
พลั่ก
ฮ่องเต้คังอู่เปล่งเสียงร้องโอดครวญ
จ้าวอ๋อง “!”
เหมือนคนผู้นั้นจะถูกคานตกลงมาทับใส่ร่าง
ไม่สิ เขาคือใคร เขาอยู่ไหน เมื่อครู่มือของเขาทำสิ่งใดไปหรือ
เขาผลักบิดาแท้ๆ ท่ามกลางสายตาของทุกคนจนบิดาแท้ๆ นอนแผ่อยู่ใต้คาน ถูกคานกระแทกใส่เข้าอย่างจัง
นี่เขาฆ่ากษัตริย์ ฆ่าบิดาของตนหรือ
ท่ามกลางแรงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ภาพตรงหน้าของจ้าวอ๋องก็มืดลง เขาจบเห่แล้ว
[1] สัตวที่มีรูปร่างคล้ายมังกร