คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1189 สังหารอสูรร้าย ช่วยพ่อแม่ .
ตอนที่ 1189 สังหารอสูรร้าย ช่วยพ่อแม่
………………..
ขณะที่แท่นบูชาสั่นสะเทือน ในเวลาเดียวกันมหาราชครูที่กำลังคุ้มกันฮ่องเต้คังอู่ ดวงวิญญาณส่วนหนึ่งของฉินหลิวซีที่สิงอยู่ในร่างนั้นก็ส่งสารเรื่องนี้กลับไป
ยามที่เฟิงซิวไปถึงก็เห็นภูเขาถล่มลงมา เศษหินกระจัดกระจาย น้ำที่ขนาบป้อมคูเมืองทะลักขึ้นมา ประชาชนและเหล่าขุนนางสตรีที่ติดตามขบวนเสด็จต่างกรีดร้อง บ้างก็ถูกคลื่นกระแสน้ำที่โหมซัดขึ้นมาพัดพาไป บ้างก็ถูกก้อนหินกระแทกใส่จนบาดเจ็บ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีคนถูกสิ่งก่อสร้างที่ถล่มลงมาทับจนจมดินด้วย
ทุกที่อื้ออึงด้วยเสียงร่ำไห้โอดครวญด้วยความเจ็บปวดและสิ้นหวัง น่าเศร้าสลดใจอย่างมาก
ครั้นเกิดเหตุแผ่นดินไหวอย่างต่อเนื่อง เฟิงซิวจึงปล่อยพลังปีศาจไปขวางเศษหินที่กระเด็นตกลงมา อีกทั้งให้คลื่นน้ำที่โหมซัดมาถอยกลับลงแม่น้ำไป เขาไม่ได้ตั้งใจแสดงตน แต่เพราะแผ่นดินไหวต่อเนื่องไม่หยุด จึงไม่มีใครสังเกตเห็นฉากอันน่าพิศวงนี้
เขาพุ่งตัวไปยังเบื้องหน้าชือเหวิ่นที่ดุร้ายขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากดูดซับพลังอาฆาตและวิญญาณพยาบาทใหม่ๆ เข้าไปมาก บางทีอาจรู้สึกถึงภัยคุกคาม สัตว์มงคลถึงอ้าปากกว้าง ไม่สิ เพราะถูกสลักอักขระยันต์ชั่วร้าย สัตว์มงคลถึงกลายร่างเป็นอสูรร้ายไปแล้ว
รังสีดุดันปะทะมาทางเขา พลังชั่วร้ายดุจมีดอันคมกริบ ทุกคมมีดหมายปลิดชีวิตทิ้ง
หางยักษ์ของเฟิงซิวสะบัดเหวี่ยงไปมา “ถือว่าข้าให้เกียรติเจ้าแล้ว”
ชือเหวิ่นถูกฝ่ามือเหวี่ยงฟาดใส่จึงโกรธแค้นมากกว่าเดิม มันอ้าปากกว้างคำรามเสียงกึกก้อง ราวกับหมายกลืนกินทั้งแผ่นดินอย่างไรอย่างนั้น ชั่วครู่นั้นท้องฟ้าปั่นป่วน ลมพายุกระโชกอย่างหนัก น้ำในแม่น้ำก่อร่างขึ้นเป็นเกลียวคลื่นพัดพามาทางแท่นบูชา
ไม่ว่าคลื่นเกลียวนั้นจะหมุนไปทางใด ต่างก็มีคนถูกพัดพาติดไปกับพายุจนลอยขึ้นฟ้าทั้งสิ้น จากนั้นก็ร่วงตกลงมากระแทกอย่างหนักจนร่างเละเป็นโจ๊ก
ฉากนี้ยิ่งสร้างความหวาดกลัวให้ทุกคน ทั้งหลบหลีกและร่วงตกลงมาอย่างต่อเนื่อง
เฟิงซิวโมโหถึงขีดสุด เขาดีดนิ้วใส่คลื่นน้ำหมุน เหมือนพลังปีศาจจะแปรเปลี่ยนเป็นเม็ดทรายเนื้อละเอียด ปะทะปกคลุมคลื่นน้ำหมุนนั้นทำเอาคลื่นมหึมากระจายตัวออก ราวกับมีสายน้ำเทลงมาจากฟากฟ้าก่อนจะพัดพาชาวบ้านหลายสิบคนกระเด็นกระดอน
จากนั้นก็เกิดเสียงร้องขอความช่วยเหลือดังอื้ออึง
เวลานี้เฟิงซิวหยิบคาถายันต์ที่ฉินหลิวซีให้ขึ้นมาก่อนใช้ข่มร่างอสูรร้ายตัวนั้น
อสูรร้ายชะงักงัน แต่ไม่นานยันต์ก็มอดไหม้เองโดยไร้เปลวไฟ ยันต์ไม่สามารถกดข่มมันได้อย่างสิ้นเชิง ในทางกลับกันอสูรร้ายตัวนั้นระเบิดอารมณ์ทำให้แผ่นดินไหวสั่นสะเทือนรุนแรงขึ้นกว่าเดิม คนที่ตายก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ พลังอาฆาตและวิญญาณพยาบาทไหลทะลักเข้าหามันอย่างต่อเนื่อง
เฟิงซิวรู้สึกเหนือคาดอยู่บ้าง ไม่สิ นี่ยันต์โลหิตของเทพอสูรน้อยใช้ไม่ได้ผลแล้วหรือ
จู่ๆ ฉินหลิวซีก็ปรากฏกายขึ้นในเวลานี้ เผชิญหน้ากับอสูรร้าย สองดวงตาเปล่งประกายก่อนจะชักดาบเมี่ยหลัวอาวุธศักดิ์สิทธิ์ออกมา แล้วควงดาบในมือตามกระบวนท่าฟาดฟันอสูรร้ายตนนั้น
“เจ้าไปช่วยคน ข้าจัดการทางนี้เอง”
เฟิงซิวได้ยินเช่นนั้นก็กระโดดพุ่งตัวเข้าไปในความว่างเปล่า จากนั้นก็ใช้ดวงจิตกวาดสำรวจก่อนจะดึงตัวคนออกมา ยกสิ่งปลูกสร้างและดินโคลนถล่มที่ทับตัวคนอยู่ออก
ส่วนฉินหลิวซีก็ถือศาสตราวุธเหวี่ยงฟาดลงบนศีรษะของอสูรร้ายโดยตรง คมดาบกรีดลวดลายอาคมลงบนร่างของอสูรร้ายจนเป็นรอยลึกหลายแผล
ครั้นคนที่รอดชีวิตได้ยินเสียงร้องคำรามโอดครวญเช่นนั้นก็มองไปทางต้นเสียงตามสัญชาตญาณ จากนั้นก็เห็นเพียงเงาขนาดมหึมาสีดำทะยานขึ้นฟ้า ทว่าเบื้องหน้าของเงาขนาดยักษ์กลับปรากฏร่างเงาชุดสีกรมท่าถือดาบเล่มหนึ่งอยู่ ปลายเท้าเตะดันตัวพุ่งขึ้นกลางอากาศ
“นั่นมันอะไรหรือ”
“ใช่มารปีศาจตัวใดหรือไม่”
ร่างยักษ์สีดำที่แผ่รังสีลางร้ายออกมาถูกสังหาร ราวกับถูกสิ่งของบางอย่างดูดซับไปก็มิปาน พลันก็ไม่ใช่ร่างเงาอสูรร้ายอีกต่อไป
แต่สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือเมี่ยหลัวได้ดูดซับพลังชั่วร้ายนั้นจนเกลี้ยงแล้ว ทำให้ตัวดาบประกายแสงสีดำแดง ปลายดาบคมกริบจนแทบตัดเหล็กได้
พออสูรร้ายถูกฆ่าทิ้ง ไม่นานแรงสั่นสะเทือนก็หยุดลง
ฉินหลิวซีตรวจดูเศษซากสัตว์หินชือเหวิ่นนั้นพลางหรี่ตาลง เพราะเขาผู้นั้นเคยแวะมาที่นี่
นางแผ่ดวงจิตสำรวจ ทว่ากลับไม่ปรากฏกลิ่นอายของซื่อหลัวเลยสักนิด พลันก็อดแค่นเสียงเย็นชาขึ้นไม่ได้ก่อนจะเก็บดวงจิตกลับ แล้วเดินมาหยุดอยู่ข้างกายเฟิงซิว
“ช่วยคนออกมาหมดแล้วหรือ”
เฟิงซิวเอ่ย “ช่วยคนที่ถูกฝังใต้ดินกับคนที่ถูกน้ำพัดพาได้แล้ว ไม่ได้ถูกฝังกลบมิดเสียทีเดียว แต่เรื่องอาการบาดเจ็บจะรอดหรือไม่ข้ากลับไม่แน่ใจนัก”
เฟิงซิวเอ่ย “สัตว์มงคลศิลาพวกนี้ไม่ได้อยู่แค่ในภูเขาป่าลึก แต่เป็นวัตถุที่ใช้ปกปักรักษาสิ่งก่อสร้างเหล่านี้ หรือเป็นสิ่งสำคัญของค่ายอาคมบางแห่ง อาจเป็นตัวนำพาแผ่นดินไหวหรืออุทกภัย ซึ่งล้วนแต่เป็นภัยพิบัติที่มนุษย์ไม่อาจควบคุมได้ อ้อ…ก่อนหน้านี้ข้าเคยใช้ยันต์โลหิตทำลายไปแล้วหลายแห่ง แต่กลับใช้กับเจ้านี่ไม่ได้เลย หรือว่ายันต์ที่ท่านวาดจะมีอายุการใช้งานอย่างนั้นหรือ”
“เขามาปลุกเสกเจ้านี่ด้วยตนเอง เพราะบนร่างของมันมีกลิ่นอายของคนผู้นั้นอยู่”
เฟิงซิวหน้าขรึมลง “สร้างผีบ้านี่มาทำร้ายกินคนไม่พอ แถมยังปลุกเสกอีก เขาอยากให้ฮ่องเต้พระองค์นั้นตายหรืออย่างไรกัน”
ฉินหลิวซีมองไปตามสายตาเขา ฮ่องเต้อู่คังถูกคนแบกร่างพาไปยังเกี้ยวรถม้าของพระองค์อย่างรวดเร็ว ข้างกายมีเหล่าขุนนางทรงอิทธิพลที่หนีเอาชีวิตรอดมาได้ล้อมหน้าล้อมหลัง พร้อมองครักษ์ที่ถือดาบอย่างระมัดระวังประกบล้อมรอบเป็นวงกลม
นางแค่นเสียงเย็นชาที “พอฮ่องเต้สวรรคต บ้านเมืองก็จะตกอยู่ในความวุ่นวาย บัดนี้ยังไม่ได้แต่งตั้งองค์รัชทายาท หากต่างแคว้นต่างเผ่าพันธุ์สืบรู้ข่าวแล้วยังไม่รีบฉวยโอกาสยกทัพเข้าตี พวกเขาจะรอไปถึงเมื่อใดเล่า ภัยพิบัติธรรมชาติและหายนะของมวลมนุษย์คือต้นตอของความโกลาหลบนโลกนี้”
“เมื่อครู่นั่นเป็นศาสตราวุธงั้นหรือ ไม่ต้องใช้เลือดอะไรนั่นก็กดข่มได้แล้วหรือ” เฟิงซิวอิจฉาตาร้อนอยู่บ้าง
ฉินหลิวซีหยิบศาสตราวุธออกมา อาวุธทรงอานุภาพไร้ที่สิ้นสุดแฝงไปด้วยพลังโหดเหี้ยมไหลทะลัก ทำเอาเฟิงซิวที่คืนกลับร่างเดิมขนขาดไปหลายเส้นก่อนจะเดินถอยห่างไปหลายก้าวแล้วเอ่ย “นี่ อย่าขยับเข้ามาใกล้ข้านัก เดี๋ยวพลั้งมือทำร้ายสหายพวกเดียวกัน”
ต่อให้เขาเป็นราชาปีศาจ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นปีศาจ ย่อมเกรงกลัวศาสตราวุธชั้นดีเช่นนี้เป็นธรรมดา อีกทั้งกลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากศาสตราวุธ นอกจากจะแฝงด้วยพลังของสำนักพุทธเต๋าแล้ว ยังมีอานุภาพของไฟนรกด้วย
“ทรงคุณธรรม” ฉินหลิวซีเก็บศาสตราวุธแล้วเอ่ย “เจ้ากลับไปก่อน ข้ายังต้องไปคุ้มกันฮ่องเต้สมควรตายนั่นต่ออีก”
“แล้วที่นี่ล่ะ” เฟิงซิวชี้ไปทางสภาพเละเทะที่ได้รับความเสียหายอย่างหนักตรงหน้า
ฉินหลิวซีเอ่ยเสียงเรียบ “ภัยพิบัติด้านนอกที่อยู่ห่างจากเมืองเซิ่งจิงยังต้องช่วยอีกหลายที่ บัดนี้ภัยร้ายเกิดขึ้นในเซิ่งจิง ภายในอาณาเขตของวังหลวง หากจัดการดูแลประชาชนที่ประสบภัยจากแผ่นดินไหวแค่นี้ไม่ได้ เช่นนั้นบ้านเมืองนี้ก็ยากที่จะช่วยได้แล้ว”
เข้าใจแล้ว หมายความว่าสิ่งที่พวกเขาพึงทำก็ทำไปหมดแล้ว ที่เหลือก็ยกให้เป็นหน้าที่ของขุนนาง หากให้พวกเขาจัดการทุกอย่างจะยังมีราชสำนักไว้ทำไมอีก
เฟิงซิวไม่พูดให้มากความอีกต่อไป ทันใดนั้นก็เหมือนนึกบางอย่างขึ้นได้จึงเอ่ย “เคล็ดวิชาส่งสารด้วยเสียงของท่านแพร่ไปไกลพอตัว ถือว่าเป็นการท้าทายหรือ”
“ถ้าไม่ฆ่าแล้วจะเก็บไว้ฉลองปีใหม่หรือ รีบไปเถิด” ฉินหลิวซีโบกมือก่อนจะกระโดดพุ่งตัวไปทางฮ่องเต้คังอู่ เพียงแต่เพิ่งเหินไปได้ครึ่งทาง นางก็เจอคนคุ้นเคย พลันสีหน้าก็เปลี่ยนไป
สะใภ้หวังล้มอยู่บนพื้นด้วยท่าทีเจ็บปวด บนร่างของนางถูกทับด้วยหินก้อนหนึ่งและศพร่างหนึ่ง นางอยากขยับตัว ทว่าพอขยับกลับแสดงสีหน้าเหยเก
นางรู้สึกสิ้นหวัง ลูกๆ ในตระกูลยังไม่ทันแต่งงานเลย นางคงไม่ตายอยู่ที่นี่หรอกกระมัง
ทว่าจู่ๆ ร่างของนางก็เบาหวิว นางผงะไปครู่หนึ่งก่อนจะหันหน้าไปมอง พลันก็เห็นหญิงสาวร่างบางในชุดสีกรมท่า พร้อมปักปิ่นหยกบนมวยผมกำลังเคลื่อนศพบุรุษที่ทับอยู่บนร่างของนาง จากนั้นถึงยกก้อนหินออก
“ซีเอ๋อร์…” น้ำตาเอ่อล้นดวงตาทั้งสองข้างด้วยความซาบซึ้งใจสุดขีด
ฉินหลิวซีขมวดคิ้วมุ่นพลางเอ่ย “เหตุใดท่านถึงมาอยู่ที่นี่”
ฉินหลิวซีมองรอบทิศ ครั้นไม่เห็นคนคุ้นเคยบริเวณนั้นถึงมองส่วนล่างของนาง จากนั้นก็เห็นเลือดซึมตรงชายผ้า พลันก็เผยสีหน้าย่ำแย่อย่างอดไม่ได้ นางหมายเลิกชายประโปรงขึ้น ทว่ามือของสะใภ้หวังกลับปรามมือของนางไว้ก่อน
ฉินหลิวซีชะงักไป นางเพิ่งนึกได้ว่าตอนนี้อยู่ด้านนอก ที่นี่มีหญิงสาวคนใดไม่สนใจเรื่องชื่อเสียงของตนบ้าง แม้ยามเผชิญความตายก็ตามแต่
มือของสะใภ้หวังเย็นเชียบ หน้าผมสภาพยับเยิน นางถูกน้ำจากแม่น้ำโหมซัดใส่จนเปียกไปทั้งร่าง นางตัวสั่นเทิ้ม ใบหน้ายิ่งซีดขาวราวกับหิมะ
ฉินหลิวซีจับมือของนางก่อนจะใช้คาถาทำให้เสื้อผ้าบนร่างของนางแห้งแล้วถ่ายโอนลมปราณส่งให้นาง จากนั้นค่อยตรวจดูชีพจรแล้วหยิบยาจากขวดในถุงเฉียนคุนขึ้นมาป้อนนางเม็ดหนึ่ง
สะใภ้หวังรู้สึกอบอุ่นไปทั้งร่าง พลันก็อดถอดถอนหายใจไม่ได้ แต่ทันทีที่ขยับร่างนางก็ร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด
ฉินหลิวซีจับเข่าของนางผ่านกระโปรง ก้อนหินเมื่อครู่ทับอยู่บนขาของนาง อีกทั้งยังมีศพบุรุษทับอยู่ด้านบนด้วย ยิ่งทำให้แผลลึกมากกว่าเดิม
นางลูบกระดูกพลางเอ่ย “กระดูกหักเล็กน้อย ต้องเชื่อมติดกลับเข้าไป”
นางอุ้มสะใภ้หวังขึ้นมาแล้วไปวางไว้ตรงจุดที่ไม่มีลม เอ่ยขึ้นว่า “ยังมีใครในจวนมาอีกหรือไม่ เหตุใดท่านถึงมาร่วมพิธีแบบนี้”
สะใภ้หวังเอ่ย “ขุนนางและฮูหยินขั้นห้าขึ้นไปต้องมาร่วมงาน นอกจากป่วยถึงจะขอลา ทางตระกูลเรามีข้ากับท่านพ่อของเจ้าที่ต้องมาร่วมงานนี้”
“ปีนี้อากาศหนาวเร็ว ท่านปู่ของเจ้าเป็นหวัดป่วยมาสักระยะหนึ่งแล้วเลยขอลา” สะใภ้หวังเห็นนางมุ่นคิ้วเช่นนั้นก็เอ่ยอธิบายต่อ “เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลไป หมอหลวงเคยมาตรวจดูอาการและเขียนตำรับยาให้แล้วด้วย รักษาตัวมาหลายวัน อาการเลยดีขึ้นบ้าง แต่ด้วยอายุปูนนี้ หากจะป่วยออดๆ แอดๆ ย่อมเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้”
“อืม” ฉินหลิวซีเอ่ย “ท่านรอตรงนี้ก่อน ข้าจะไปตามหาเขา”
เขาในที่นี้หมายถึงใคร สะใภ้หวังรู้แก่ใจดี นางครุ่นคิดก่อนเอ่ย “เพราะเกิดเหตุแผ่นดินไหวกะทันหันเลยวุ่นวายไปหมด ไม่รู้ว่าจะเกิดแผ่นดินไหวตามอีกหรือไม่ เจ้าระวังตัวด้วย ถ้าหาไม่เจอจริงๆ ก็กลับมา เกิดภัยพิบัติใหญ่โตเช่นนี้ ไม่นานราชสำนักคงส่งคนมาช่วยคนแล้ว”
ฉินหลิวซีหนังหน้ากระตุก นี่แทบไม่สนใจความเป็นความตายของฉินปั๋วหงเลยนี่นา
“เขาสบายดีแน่นอน ท่านไม่ต้องกังวลไป ข้าไปครู่เดียวเดี๋ยวกลับ” ฉินหลิวซีกระตุกมุมปากก่อนที่จะหายวับไปอย่างรวดเร็ว
เจอกันใหม่ฉินหลิวซี สะใภ้หวังเปี่ยมไปด้วยความสุข แม้แต่ความเจ็บปวดบนร่างกายยังลดฮวบลงไม่น้อย ทว่าพอเห็นหิมะตกโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้าอีกครั้ง บวกกลับเสียงร้องครวญครางที่ดังแว่วมาแต่ไกล นางจึงนึกเป็นกังวลขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะถอนหายใจเสียงยาวเหยียด
ภัยพิบัติทางธรรมชาติเกิดขึ้นบ่อยครั้ง พิธีบูชาฟ้าดินก็ทำให้เกิดแผ่นดินไหว ก่อให้เกิดผู้บาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก เกรงว่าประชาชนคงเรียกร้องให้ฮ่องเต้ออกะราชโองการสำนึกผิดจำนวนไม่น้อย
ไม่นานฉินหลิวซีก็กลับมาพร้อมหิ้วร่างฉินปั๋วหงที่มีเลือดอาบใบหน้า มือไม้บิดเบี้ยวสลบไสลในมือของฉินหลิวซี สะใภ้หวังตกใจยกใหญ่ “นี่ นี่บาดเจ็บที่หัวหรือ”
“เลือดของคนอื่น” ฉินหลิวซีเดินเข้ามาแล้ววางร่างของฉินปั๋วหงลง แบกสะใภ้หวังขึ้นหลัง จากนั้นถึงดึงร่างของฉินปั๋วหงขึ้นมาใหม่ “ข้าจะส่งพวกท่านกลับจวน”
ฉินปั๋วหงถูกฉินหลิวซีทุบศีรษะจนหมดสติไป ตอนที่ตามหาตัวเขาเจอ ร่างถูกซากตำหนักหล่นลงมาทับแขนครึ่งหนึ่ง เหนือร่างของเขามีซากเดนคนที่ไม่รู้ว่าตกลงมาจากท้องฟ้าหรือไม่วางประจันหน้ากับศีรษะของเขาพอดี ลูกตาเหลือเพียงข้างเดียว เลือดไหลสาดกระเซ็นเต็มใบหน้า จึงทำให้เขาเหมือนคนเสียสติไปแล้วครึ่งหนึ่งก็มิปาน
ตอนที่ฉินหลิวซีเดินทางมาถึง เขาเปล่งเสียงร้องโอดโอย สุดท้ายถึงถูกนางทำให้หมดสติไปอย่างเลี่ยงไม่ได้
สะใภ้หวังใช้มือคล้องคอฉินหลิวซี ทั้งร่างตกอยู่ในความตะลึงงัน เพราะนางเห็นฉินหลิวซีพาพวกเขาเดินเข้าไปในห้องที่พังล้มระเนระนาด จากนั้นพอเดินออกมาก็เดินมาถึงเรือนหลักของตระกูลฉินแล้ว
เพล้ง
อนุวั่นกำลังถือกาใบหนึ่งในมือ ครั้นเห็นพวกเขาปรากฏกายขึ้นในลานจากความว่างเปล่า กาปากยาวสีเงินในมือก็ร่วงตงลงพื้น พลันดวงตาก็เบิกกว้างราวกระดิ่งก็มิปาน
อนุวั่นอุทานเสียงตกใจอีกครั้ง แม่เจ้า นางให้กำเนิดเซียนคนใดขึ้นมาหรือ
“ในจวนมีหมอประจำจวนหรือไม่ ถ้าไม่มีก็ไปหาผ้าเนื้อบางสะอาดมา” ฉินหลิวซีออกคำสั่งกับนาง “ตำหนักบวงสรวงเกิดเหตุแผ่นดินไหว พวกเขาเลยได้รับบาดเจ็บ”
อนุวั่นหน้าซีดก่อนจะรีบตะโกนเรียกคน
ฉินหลิวซีควานหยิบกรรไกรจากถุงเฉียนคุนขึ้นมาแล้วจัดการตัดกระโปรงของสะใภ้หวัง จากนั้นก็ตัดกางเกงด้านในออกถึงเห็นว่าขาข้างซ้ายของนางถูกหินขูดจนเนื้อเละเลือดไหลอาบน่าสยดสยอง กระดูกเองก็หักเช่นกัน
นางร่ายคาถาใส่แผลก่อนจะหยิบยาจินชวงมาประคบตรงบาดแผล สองมือร่ายคาถาต่อกระดูกบริเวณน่องของนาง
หากเป็นเมื่อก่อน นางคงทำไม่ได้ถึงขนาดนี้ บัดนี้พลังบำเพ็ญของนางสูงขึ้นมาก ลำพังแค่ใช้เคล็ดวิชาเต๋ากับเนื้อหนังกระดูกกลับเป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก
สะใภ้หวังมองนางไม่วางตา ทว่ากลับไม่เจ็บปวดเลยสักนิด กระทั่งฉินหลิวซีบอกว่าเสร็จแล้ว นางถึงผงะไปก่อนขยับเท้า “นี่เสร็จแล้วหรือ”
“อืม แต่ท่านใช้แผ่นไม้ดามไว้ก่อนจะดีกว่า มิเช่นนั้นมีคนมากมายต้องตาย บ้างก็บาดเจ็บ ทั้งๆ ที่ท่านบาดเจ็บแต่แผลหายอย่างรวดเร็ว คงไม่ใช่เรื่องที่จะอธิบายได้ง่ายๆ” ฉินหลิวซีเอ่ย
สะใภ้หวังนิ่งไปก่อนพยักหน้าลง
ฉินหลิวซีหาแผ่นไม้บางสองแผ่นมาวางขนาบกับกระดูก นางมัดเชือกพันขาพลางเอ่ย “ไม่เป็นอะไรมากแล้ว แต่ในเมื่อได้รับความสะเทือนใจก็นอนอยู่บนเตียงสักเจ็ดวัน แล้วก็ให้คนไปเอายาสมานแผลลดอาการบวมช้ำจากร้านยาตำหนักอายุวัฒนะมาด้วย ทาวันละครั้ง ผ่านไปเจ็ดวันก็เดินได้แล้ว แต่ท่านแสร้งป่วยก็ได้ ด้านนอกวุ่นวาย ไม่ต้องออกไปไหนแล้ว”
“ข้าเข้าใจแล้ว”
เวลานี้ฉินหลิวซีถึงไปช่วยจัดการแผลให้ฉินปั๋วหง แขนของเขากระดูกหักเคลื่อนตำแหน่ง นางจัดการจับกระดูกโดยไม่แสดงความเห็นใจแม้แต่น้อย ทุกข์ทรมานเขาจนฟื้นขึ้นจากอาการสลบไสล
“เจ้า เจ้า…ข้าอยู่ไหนหรือ” ฉินปั๋วหงมองห้องอันคุ้นเคยด้วยความงงงัน
นี่เขาอยู่ที่จวนแล้วหรือ
ไม่สิ เขาไปร่วมพิธีบวงสรวง แล้วเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวมิใช่หรือ
“ใช่ เกิดเหตุแผ่นดินไหว มีคนถูกคลื่นเกลียวน้ำหมุนพัดขึ้นฟ้าแล้วร่วงตกลงมา อ๊าก เขาตายอย่างน่าสังเวชนัก เลือดไหลอาบร่างข้าเลย” ฉินปั๋วหงกรีดร้องเสียงแหลม
ฉินหลิวซีรำคาญเสียงวุ่นวายก่อนจะฝังเข็มสีเงินลงไป เขาดวงตาถลนออกมา ขาอ่อนยวบ ร่างร่วงลงพื้น
หลังจากนางช่วยทำแผลให้เขาด้วยใบหน้าไร้อารมณ์เสร็จก็พันผ้าห่อแขนห้อยคล้องที่คอ ปัดมือพลางเอ่ย “เรื่องบาดแผลภายนอก พวกท่านจัดการกันเอง อย่าลืมไปเอายาทาที่ร้านยาตำหนักอายุวัฒนะด้วย ข้าไปเยี่ยมท่านปู่เสร็จแล้วกลับเลย”
สะใภ้หวังงุนงงอยู่บ้าง “รีบร้อนขนาดนี้เชียว”
“อืม” ฉินหลิวซีขบคิดแล้วเดินไปอีกฝั่งหยิบกระดาษสีเหลืองขึ้นมาปึกหนึ่ง ก่อนจะวาดยันต์ด้วยความรวดเร็ว ไม่นานก็วาดยันต์เพลิงขึ้นมาปึกหนึ่ง บวกกับยันต์คุ้มครองอีกสิบกว่าแผ่น นางยื่นส่งให้สะใภ้หวังแล้วเอ่ย “ปีนี้อากาศจะหนาวมาก แถมเกิดภัยพิบัติหิมะด้วย ประหยัดข้าวปลาอาหารลงบ้าง วันข้างหน้าใช้ชีวิตลำบาก ท่านเองคงรู้แก่ใจดี ยันต์เพลิงพวกนี้ท่านจัดการเอา วางทบกันแปะตามตัวหรือสวมไว้ช่วยสร้างความอบอุ่นให้ร่างกาย ส่วนยันต์คุ้มครองพวกนี้ท่านเองก็เก็บไว้ด้วย”
“เจ้าจะไปไหนอีก” สะใภ้หวังอาลัยอาวรณ์ที่นางจะไป
ฉินหลิวซีฉีกยิ้ม “ข้าหรือ จะไปช่วยโลก”