คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1191 จิ้งจอกแก่ เกิดเรื่องวุ่นวายกับฝ่ายของตนเองแล้ว
- Home
- คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า
- ตอนที่ 1191 จิ้งจอกแก่ เกิดเรื่องวุ่นวายกับฝ่ายของตนเองแล้ว
ตอนที่ 1191 จิ้งจอกแก่ เกิดเรื่องวุ่นวายกับฝ่ายของตนเองแล้ว
………………..
ฮ่องเต้คังอู่อยากลากตัวคนโง่และเหิมเกริมอย่างฉินหลิวซีออกไปบั่นคอทิ้งเสีย ทว่าขณะที่คำพูดใกล้ออกจากปาก อีกฝ่ายก็โพล่งเสียงฉอดๆ แล้ว
“เรื่องกระดูกหัก กระหม่อมจะรักษาให้พระองค์ จากนั้นค่อยฝังเข็ม ส่วนเรื่องที่พระองค์จะเดินได้อีกหรือไม่นั้นคงต้องแล้วแต่ฟ้าลิขิต” ฉินหลิวซีดักคอตัดบทเขาเสียก่อน “หากเดินไม่ได้ ฝ่าบาทก็ทรงปฏิบัติตามข้า นั่งสมาธิฝึกบำเพ็ญทุกวันเพื่อให้อายุยืนยาวแล้วกัน การจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งย่อมทำง่ายกว่ามีความคิดพันกันยุ่งเหยิงมากนัก”
ฮ่องเต้คังอู่ “…”
ไม่มีใครกล้าเงยหน้า ทว่าในใจกลับผุดขึ้นมาประโยคเดียว นี่ไม่ใช่ปั่นหัวโป้ปดพระองค์อยู่หรือ
หากฝึกบำเพ็ญจนมีอายุยืนยาวได้ง่ายดายขนาดนั้น บนโลกนี้จะมีคนล้มตายมากมายได้อย่างไรกัน
“หากเทียบกับเรื่องอัมพาตแล้ว ภายในพระวรกายของฝ่าบาทรักษายุ่งยากกว่ามาก เพราะพิษยาสะสมจนไตพร่อง แต่พระองค์ก็ยังเสวยยาเพื่อช่วยให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าแต่กลับพักผ่อนน้อย หากว่ากันตามจริง ต่อให้ฝ่าบาทไม่เป็นอัมพาต แต่หากท่านใช้ชีวิตเช่นนี้ต่อไปก็คงรักษาชีวิตให้ยืนยาวต่อไปไม่ได้หรอกพ่ะย่ะค่ะ”
สมแล้วที่เป็นมหาราชครู นักบวชกล้าพูดทุกอย่าง!
คนในสำนักหมอหลวงต่างตัวสั่นราวกับกำลังฝัดข้าวก็มิปาน เมื่อครู่บอกว่านางโป้ปดฝ่าบาท แต่ตอนนี้กลับพูดความจริง เช่นนี้เราจะกล่าวเช่นไรต่อดีเล่า
หมอหลวงใหญ่ยิ่งร้อนใจมากกว่าเดิม ในเมื่อชีพจรของฝ่าบาทล้วนถือเป็นความลับ ใช่ว่าใครก็สามารถตรวจดูเส้นชีพจรและผลการตรวจรักษาของพระองค์ได้ แต่สถานการณ์เมื่อครู่แตกต่างกันออกไป แต่ใช่ว่าสำนักหมอหลวงจะเก่งกาจกันทุกคน แค่ตรวจดูชีพจรครั้งเดียวก็มองปัญหาใหญ่ออกแล้ว
คำพูดตรงไปตรงมาของฉินหลิวซีเปิดโปงความเสียหายพระวรกายของฝ่าบาทจนสิ้น
ฮองเฮามู่ตกตะลึง มองไปทางซุ่นกงกงแล้วตรัสว่า “ไตพร่องหรือ นี่มันเกิดอะไรขึ้น”
การเป็นฮ่องเต้ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่สนุก ไม่ว่านอนกับสนมคนใดก็ต้องมีการจดบันทึก ซึ่งจะหลายครั้งมากก็ไม่ได้ เพื่อเลี่ยงไม่ให้พระวรกายถูกทำลาย ในฐานะที่นางเป็นหัวหน้าแห่งวังหลัง ย่อมมีสิทธิ์ตรวจดูบันทึกของฝ่าบาทว่าโปรดปรานสนมคนใดบ้าง ทว่านางกลับไม่เห็นใครจะได้รับความโปรดปรานจากพระองค์เป็นพิเศษเลย
ฮ่องเต้คังอู่ทรงอับอายหงุดหงิดและกระอักกระอ่วนใจที่ถูกเปิดโปง โดยเฉพาะยามที่เผชิญกับสายตาเชิงสงสัยจากผู้เป็นฮองเฮา ซึ่งนานๆ ทีจะรู้สึกเหมือนกินปูนร้อนท้อง “มหาราชครูมั่นใจว่าจะรักษาเราได้หรือไม่”
“ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ” ฉินหลิวซีเปิดปากปฏิเสธ เอ่ยเสริมอีกประโยคว่า “แต่กระหม่อมจะพยายามพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้คังอู่สำลักที ไฟโทสะปะทุสูงขึ้น มหาราชครูเป็นอะไรไป เมื่อก่อนมักวางตัวดุจเซียนผู้สูงส่ง แม้จะแสดงท่าทีไม่ชอบใจบ้างเป็นครั้งคราว แต่เขาก็ไม่ถึงกับหยิ่งยโสและยั่วโมโหเหมือนในตอนนี้
“หากอยากให้กระหม่อมรักษาสุดความสามารถ ฝ่าบาทก็ทรงตอบคำถามไม่กี่ข้อนี้มาด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
นอกจากหมอหลวงใหญ่ ฮ่องเต้คังอู่ก็มีรับสั่งให้คนที่เหลือออกไป ก่อนตรัสถามว่า “เจ้ามีเรื่องใดอยากถามหรือ”
“หยิบยาที่พระองค์ทรงเสวยในระยะนี้มาให้กระหม่อมดู ใครเป็นคนปรุงยาถวายพระองค์ และยังพูดว่าอย่างไรอีก” ฉินหลิวซีกล่าวขึ้น
ฮ่องเต้คังอู่มองไปทางซุ่นกงกง คนด้านหลังรีบตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาจากพื้น จากนั้นก็ไปหยิบหีบไม้เล็กๆ เนื้อทองใบหนึ่งออกมาแล้วส่งให้ฉินหลิวซี
ฉินหลิวซีเปิดออกก่อนขมวดคิ้วมุ่น พลันสีหน้าก็เย็นยะเยือกลงเล็กน้อย
ฮ่องเต้คังอู่จับจ้องสีหน้านางไม่วางตา ครั้นเห็นไอเย็นที่แสดงออกทางสีหน้า พลันพระองค์ก็อดใจดิ่งวูบไม่ได้ ยาลูกกลอนเม็ดนี้มีปัญหาจริงๆ หรือ
แต่ทั้งๆ ที่พอเสวยเสร็จเขาจะรู้สึกกระปรี้กระเปร่า หลังจากจัดการเรื่องในราชสำนักมาทั้งวัน เขายังสามารถไปคลอเคลียแนบชิดกับเหล่าสนมอันเป็นที่รักได้ด้วย ต่อให้บรรทมเพียงสองชั่วยามก็ไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเลยสักนิด
ทว่าตอนนี้มหาราชครูกลับบอกเขาว่ายาเป็นพิษ
ฉินหลิวซีบิยาลูกกลอนสีทองแดงเม็ดหนึ่งเปิดออก ก่อนจะใช้เล็บสะกิดจิ้มมาแตะชิมที่ปลายลิ้น จากนั้นก็ถุยออกมาแล้วเอ่ยว่า “ฝ่าบาททรงกล้าเสวยทุกอย่างจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”
“ยานี้มีปัญหาใดหรือ” ฮ่องเต้คังอู่เผยสีหน้าขรึมลง
“ยาลูกกลอนนี้ใช้ผงจูซาในการปรุงขึ้นมา นอกจากจะมีตัวยาที่ช่วยกระตุ้นให้สดชื่นอย่างโกวเถิงและฉือสือแล้ว ส่วนประกอบเหล่านี้หากใช้อย่างพอดีย่อมช่วยให้พระองค์รู้สึกกระปรี้กระเปร่าได้ แต่หากใช้ยาลูกกลอนนี้เพื่อคงความกระตือรือร้นตลอดเวลาก็ออกจะมากไปหน่อย” ฉินหลิวซีเอ่ยเสียงเรียบ “มนุษย์เป็นคนธรรมดาที่ต้องกินข้าวปลาอาหาร ต้องสร้างสมดุลให้หยินหยาง แบ่งเวลาทำงานและพักผ่อนอย่างสมเหตุสมผล หากรักษาสภาวะร่างกายให้กระปรี้กระเปร่าอยู่เสมอโดยไม่ได้รับการพักผ่อนเลย ต่อให้อวัยวะภายในดีมากเท่าไรก็ย่อมเสื่อมลง เพราะต้องทำงานหนักตลอดเวลา”
“หากใช้ยาตัวนี้มากเกินไป พระองค์ก็จะติดมันมากขึ้นเรื่อยๆ ภายหลังก็จะมีอาการวิงเวียนปวดพระเศียร หยางในตับพุ่งสูง เลือดไหลย้อนขึ้น ต่อให้พิษจากยาลูกกลอนไม่กำเริบก็อาจเกิดอาการอัมพาตเฉียบพลันได้” ฉินหลิวซีมองมาพลางเอ่ย “ระยะนี้กระหม่อมไม่ได้ปรุงยาใดถวายพระองค์ก็เพราะกลัวว่าถ้าทรงเสวยมากเกินไปจะสะสมจนกลายเป็นพิษ ในเมื่อทุกเรื่องควรรู้จักผ่อนหนักผ่อนเบาอย่างเหมาะสม”
ซุ่นกงกง ไม่ใช่เพราะฝ่าบาทมิทรงเรียกท่านเข้าเฝ้า ท่านจึงเกิดความแค้นในใจเลยไม่ถวายยาให้หรอกหรือ
พลันใบหน้าของฮ่องเต้คังอู่ก็เย็นเฉียบดุจหยดน้ำ ตรัสขึ้นว่า “แต่ตอนอยู่ในราชรถ เจ้าก็ให้เราเสวยยาไปเม็ดหนึ่งมิใช่หรือ”
ฉินหลิวซีโต้กลับ “หากไม่ให้เสวย พระองค์จะมีเรี่ยวแรงจากไหนมายืนตรัสถามสนทนามากมายเช่นนี้เล่า ฝ่าบาทเจ็บกระดูกสันหลังจนแทบหมดสติไปแล้วด้วยซ้ำ”
“บังอาจนัก!”
ฉินหลิวซีหยิบยาลูกกลอนขึ้นมาพลางเอ่ย “ยาเม็ดนี้มีวัตถุดิบยาหลายชนิดที่ช่วยกระตุ้นร่างกายให้กระปรี้กระเปร่า นี่เป็นข้อแรก แต่นอกจากนี้ยังมีสิ่งหนึ่งที่ไม่ควรปรากฏในยาตัวนี้เช่นกัน พระองค์ทรงทราบหรือไม่”
ฮ่องเต้คังอู่แววตาวูบไหวพลางตรัสถามว่า “สิ่งใดหรือ”
ฉินหลิวซีเห็นแววตาวูบไหวนั้นในสายตา จึงทอประกายไอเย็นสะท้านพาดผ่านนัยน์ตาแวบหนึ่ง แล้วเอ่ย “เลือดทารกในครรภ์”
ครั้นหมอหลวงใหญ่ได้ยินเช่นนั้นก็งุนงง เลือดทารกในครรภ์ หรือจะเป็นพวกรกในครรภ์อะไรพวกนั้นหรือ
“เมื่อทารกในครรภ์เริ่มเป็นรูปเป็นร่างก็จะมีดวงวิญญาณทารกเกิดขึ้น การเอาเลือดมาใส่ในยาจะช่วยให้ดูอ่อนเยาว์และมีพละกำลังแข็งแรง” ฉินหลิวซีมองไปทางฮ่องเต้คังอู่พลางเอ่ย “คนที่ให้ยาท่านกล่าวเช่นนี้ใช่หรือไม่”
หมอหลวงใหญ่ “…”
ใช้เลือดทารกในครรภ์มาผสมกับตัวยา แล้วจะเอาออกมาได้อย่างไร
ย่อมต้องเร่งทารกในครรภ์คลอดออกมาก่อนค่อยเอาเลือด ซึ่งนี่เป็นการกระทำที่ไร้คุณธรรมอย่างถึงที่สุด
ใช่ว่าจะไม่มีเรื่องเอาเลือดเนื้อมาเป็นส่วนประกอบในตัวยาเลย มีบางคนหลงเชื่อเรื่องงมงายพวกนี้ หรือกระทั่งใช้เลือดของบุตรชายบุตรสาวมาเป็นส่วนผสมในยาก็มี เหมือนตระกูลกษัตริย์ เพื่อแสดงถึงความจงรักภักดี เรื่องแบบนี้มักมีให้เห็นอยู่ร่ำไป
แต่เรื่องอย่างการใช้เลือดทารกในครรภ์เล่า
หมอหลวงใหญ่ไม่กล้าแม้แต่จะคิด เขาก้มหมอบลงพื้นพลางใช้เล็บแคะแถบร่องกระเบื้องเนื้อหยก เขาอยากแคะให้เป็นหลุมใหญ่ใจแทบขาด จากนั้นตนก็มุดเข้าไปดีกว่ามาฟังเรื่องแสลงหูคร่าชีวิตเช่นนี้
เขามั่นใจว่าจบเห่แล้ว ฝ่าบาทจะยอมปล่อยให้ตนมีชีวิตรอดเอาความลับนี้ไปแพร่งพรายต่อได้อย่างไร
ฉินหลิวซีเอ่ย “การใช้เลือดทารกในครรภ์หลอมเป็นยา ความจริงไม่ได้ช่วยให้พระองค์อ่อนเยาว์เหมือนกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง มีแต่จะทำให้พระองค์มีผลกรรมติดตัว ดวงวิญญาณรุมเร้า พลังหยินเข้าสู่ร่างกาย”
เสียงลมหายใจของฮ่องเต้คังอู่ดังเร็วถี่อีกครั้ง
ซุ่นกงกงเหลือบมองแวบหนึ่ง แหวเสียงสูงตำหนิ “มหาราชครูช่างบังอาจนัก ฝ่าบาททรงเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ มีพลังมังกรคุ้มครองพระวรกาย ดวงวิญญาณอำมหิตหรือสิ่งชั่วร้ายใดจะกล้าเข้ามาแผ้วพาน ท่านยังไม่รีบก้มหัวรับผิดอีกหรือ”
เขาขยิบตาส่งให้ฉินหลิวซีในมุมที่ฮ่องเต้คังอู่ทรงมองไม่เห็น อย่ายั่วโมโหอีกเลย มิเช่นนั้นแม้แต่มหาราชครูอย่างท่านก็มิอาจต้านทานความโกรธของพระองค์ได้ พอถึงตอนนั้นหายนะจะไปลงที่เหล่าลัทธิเต๋าทั่วทั้งแผ่นดินมากกว่า ประวัติศาสตร์ที่ฮ่องเต้คนก่อนทรงกดข่มลัทธิเต๋าในอดีต อย่าให้เกิดขึ้นซ้ำรอยเลยกระมัง
ฉินหลิวซีเอ่ย “ใช่ โชคดีที่ฝ่าบาทมีพลังมังกรคอยคุ้มครอง สิ่งชั่วร้ายเลยไม่กล้าเข้ามาใกล้ แต่เดิมทีเลือดของทารกในครรภ์เป็นของไม่ดี อีกทั้งเป็นครรภ์ที่มีดวงวิญญาณแล้วด้วย ในเมื่อฝืนเอาออกมาจากครรภ์ของผู้เป็นแม่ นับว่าเป็นการตายที่ฝืนลิขิต ฉะนั้นเลือดย่อมต้องแฝงไปด้วยพลังอาฆาต พอเอามาผสมยาเสวยลงท้อง ย่อมมีพลังหยินแฝงเข้าไปด้วย ฝ่าบาทไม่รู้สึกว่าระยะนี้ท่านกลัวหนาวมากขึ้นกว่าเดิมหรอกหรือ”
ฮ่องเต้คังอู่เงียบไป เพราะเขาเองก็รู้สึกได้เช่นกัน แต่มหาราชครูก็พูดถูก ยิ่งเขาระงับความโกรธไม่ได้ เลือดลมก็ยิ่งไหลขึ้นศีรษะ เกิดเสียงดังในสมองวิ๊งๆ
ฉินหลิวซีคว้าข้อมือของเขามา ใช้แรงบีบตรงง่ามมือพลางเอ่ย “กระหม่อมบอกแล้วว่าพระองค์ไม่เหมาะที่จะเกรี้ยวกราด”
พอเกิดอาการเจ็บที่ง่ามมือ ไฟโทสะของฮ่องเต้คังอู่ก็เหมือนถูกดับลง
เขาสูดลมหายใจเข้าลึกเอ่ย “พลังหยินเข้าสู่ร่างกาย ถึงแม้เราจะเป็นโอรสแห่งสวรรค์อย่างแท้จริงก็ยังได้รับผลกระทบนี้ด้วยหรือ”
“คนทั่วไปมีไอเย็นเข้าสู่ร่างกายก็รับไม่ไหวแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นนี่เป็นเลือดพลังอาฆาตที่แฝงมากับพลังหยิน หากมนุษย์เราได้รับเพียงความหนาวเย็น หยินหยางเสียสมดุล เช่นนี้จะเป็นเรื่องดีได้อย่างไร” ฉินหลิวซีเอ่ยเสียงเรียบ “ท่านมีพลังมังกรคอยคุ้มครอง อีกทั้งประทับอยู่ในวังหลวง ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีพลังมงคลศักดิ์สิทธิ์มากที่สุด ยามนี้ถึงไม่เป็นอะไร แต่หากอยู่ด้านนอก คนที่มีพลังหยินเข้าสู่ร่างเฉกเช่นพระองค์ ป่านนี้คงล้มหมอนนอนเสื่อไปแล้ว”
ฮ่องเต้คังอู่ประกายรังสีสังหารพาดผ่านแววตา มองไปทางซุ่นกงกงตรัสว่า “ถ่ายทอดราชโองการลงไปว่าให้องครักษ์ฝ่ายหน้ารีบเข้าล้อมร้านยาตำหนักอายุวัฒนะ แล้วจัดการกุมตัวหมอเหยียนมาหาเรา”
ฉินหลิวซีสะดุ้งเฮือก “ท่านว่าอย่างไรนะ คนที่ปรุงยาให้ท่านคือท่านหมอของร้านยาตำหนักอายุวัฒนะหรือ”
ฮ่องเต้คังอู่หรี่ตาลง ตรัสขึ้นว่า “มหาราชครูตกใจเหนือคาดเช่นนี้ เจ้าคุ้นเคยกับหมอของร้านยาตำหนักอายุวัฒนะถึงจะถูก เมื่อก่อนตอนที่เจ้าปรุงยาก็มักไปยืมวัตถุดิบยาที่นั่นอยู่บ่อยครั้ง”
ฉินหลิวซี “…”
แม่เจ้าโว้ย เจ้ายังกล้าเรียกว่าขอยืมอีกหรือ นั่นเรียกว่าไปเอาของโดยไม่จ่ายอะไรเลยต่างหาก
นางยังพอจำได้ว่าตนอยู่ในสถานะของมหาราชครูจึงเอ่ย “เพราะคุ้นเคยกัน ร้านยาตำหนักอายุวัฒนะเป็นที่เลื่องชื่อ อีกทั้งสร้างบุญกุศลมาโดยตลอด ตอนภัยพิบัติหิมะเมื่อปีที่แล้ว กรมพระคลังจัดประมูลการกุศล ร้านยาตำหนักอายุวัฒนะยกเว้นหนี้สินของบ้านเมืองเพื่อใช้เป็นเงินบริจาค ซึ่งก็คือวัตถุดิบยาจำนวนสองแสนที่เราหยิบยืมไป ดังนั้นพวกเขาจะกล้าวางอุบายทำร้ายฮ่องเต้อย่างเหิมเกริมเช่นนี้ได้อย่างไร”
นางยังจงใจเน้นย้ำคำว่ายืมด้วย
ฮ่องเต้คังอู่ได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกไม่ค่อยพอพระทัยนัก ร้านยาตำหนักอายุวัฒนะขี้เหนียว ท้องพระคลังยืมก็ส่วนยืม มีหรือจะไม่คืนเงินเลยอย่างนั้นหรือ ทว่าเจ้าของร้านแสร้งทำทีเป็นคนใจกว้างบอกว่าบริจาคเงินเพื่อการกุศล แต่ความจริงเอาเงินจากพวกวัตถุดิบยาเหล่านี้แทน ทำเหมือนพวกข้าจะไม่คืนเงินอย่างไรอย่างนั้น
“ก็ต้องดูเป็นเรื่องๆ ไป ร้านยาตำหนักอายุวัฒนะมีจิตกุศล แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่คิดสังหารเรา ต้องปิดร้านตรวจสอบ แม้แต่เจ้าของร้านด้วย โดยเฉพาะหมอเหยียนอะไรนั่น จับตัวมาทรมานแล้วไต่สวนสาวไปถึงผู้บงการอยู่เบื้องหลัง” ฮ่องเต้คังอู่เห็นร้านยาตำหนักอายุวัฒนะขัดตามานานแล้ว ลำพังแค่ถ้วยยาใบเดียว แต่กลับไม่มีใครแตะต้องได้ออกจะเกินไปหน่อย เมื่อก่อนเห็นว่าไม่มีอำนาจแทรกแซง เขาถึงยอมปิดตาข้างหนึ่งเพิกเฉยไป แต่ตอนนี้หมอของร้านแห่งนี้กลับวางอุบายทำร้ายกษัตริย์ หากไม่ตรวจสอบตอนนี้แล้วจะรอถึงเมื่อไร
ฉินหลิวซียิ้มเหยาะในใจ เหตุใดถึงปิดร้านตรวจสอบ เจตนาของผู้สั่งการคิดเห็นเช่นไรจะไม่มีใครดูออกเลยหรือ
หากสืบสาวไปถึงตัวเจ้าของได้จริงๆ จะถือว่านางแพ้!
แต่หมอเหยียนอะไรนั่นต้องสอบสวนดีๆ หน่อย เหตุใดร้านยาตำหนักอายุวัฒนะถึงมีหมอไร้จรรยาบรรณเช่นนี้มาทำงานได้
ฉินหลิวซีเอ่ย “หากคิดจะตรวจสอบร้านยาตำหนักอายุวัฒนะ ยิ่งต้องลากตัวคนที่แนะนำท่านหมอผู้นี้ให้พระองค์มากกว่ากระมัง มิเช่นนั้นลำพังแค่หมอร้านยาข้างนอกจะมาแสดงตัวเบื้องหน้าพระพักตร์ฝ่าบาทได้อย่างไร”
มาสิ ร้ายมาร้ายกลับไปเลย!
ฮ่องเต้คังอู่จับจ้องฉินหลิวซีแน่นิ่ง ขบคิดในใจว่าเหตุใดบัดนี้มหาราชครูถึงแปรเปลี่ยนดูขัดตาและน่ารังเกียจถึงเพียงนี้นะ
นี่เปลี่ยนสลับคนไปแล้วหรือ
ฉินหลิวซีลูบเคราแสร้งทำเป็นไม่สนใจพลางเอ่ย “กระหม่อมแค่เสนอความคิดเห็น โปรดฝ่าบาททรงอภัยให้ด้วย กระหม่อมรักษาอาการบาดเจ็บให้ท่านก่อนดีกว่า”
ฮ่องเต้คังอู่คิดแตะต้องร้านยาตำหนักอายุวัฒนะ กระทั่งไม่สนใจว่าจะเคยสร้างคุณงามความดีมากี่ครั้ง หรือบริจาควัตถุดิบยาให้มากมายเพียงใด การกระทำเช่นนี้ก็ไม่ต่างจากโม่แป้งเสร็จก็ฆ่าลาทิ้งเลย มันช่างสมควรโดนจัดการเสียจริงๆ
นางคันไม้คันมือเหลือเกิน