คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1192 ไฟไหม้ลามไปทั่วลัทธิเต๋า
ตอนที่ 1192 ไฟไหม้ลามไปทั่วลัทธิเต๋า
ฉินหลิวซีบอกว่าจะช่วยรักษาอาการบาดเจ็บ ความจริงกลับเป็นเรื่องที่แค่ลงมือทำก็รักษาให้หายได้เลย เดิมทีฮ่องเต้คังอู่หมายพูดบางอย่าง ทว่าจู่ๆ เขาก็รู้สึกชาวาบ ราวกับยาที่ป้อนเขาหมดฤทธิ์แล้วก็มิปาน พลันความเหนื่อยล้า อาการไร้เรี่ยวแรง และความเจ็บปวดก็ไหลทะลักเข้ามาดุจสายน้ำ
ในที่สุดฮ่องเต้คังอู่ก็เผยใบหน้าหวาดกลัวขึ้นมา เขาในเวลานี้ยังสู้แม้กระทั่งสตรีอ่อนแอและบัณฑิตที่มีพละกำลังอันน้อยนิดไม่ได้ด้วยซ้ำ เขาเปรียบดั่งปลาใกล้ตายที่นอนรออยู่บนเขียงเพื่อรอใครสักคนมาเชือดทิ้งก็มิปาน
ความรู้สึกเหนือการควบคุมและถูกบงการเช่นนี้ช่างย่ำแย่เหลือเกิน
“หมอหลวงใหญ่…” ฮ่องเต้คังอู่ทรงเรียกหมองหลวงใหญ่ที่เวลานี้ยังก้มหมอบอยู่บนพื้น เขามีความรู้สึกอันแรงกล้าว่าหากเทียบกับมหาราชครูแล้ว เขาเชื่อใจหมอหลวงใหญ่ได้มากกว่า
“กระหม่อมอยู่นี่พ่ะย่ะค่ะ” หมอหลวงใหญ่รีบขานรับก่อนลุกขึ้นจากพื้น ทว่าเพราะหมอบคุกเข่านานเกินไป ความหนาวเย็นจึงแทรกซึมเข้าเข่าจนด้านชา จึงสะดุดล้มก่อนจะโผพุ่งใส่เตียงบรรทมของฮ่องเต้
ฮ่องเต้คังอู่ “…”
ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าตาเฒ่านี่ไม่ค่อยน่าเชื่อถือสักเท่าไร
ฉินหลิวซีมองไปทางหมอหลวงใหญ่แล้วเอ่ย “ข้าจะบอกตำรับยา เจ้าเป็นคนเขียนได้หรือไม่ เป็นยาทาเชื่อมต่อกระดูก ต้องประคบบริเวณแผล”
ร้านยาตำหนักอายุวัฒนะมียาทาที่ดีกว่านี้ แต่ฮ่องเต้เฒ่าที่ไม่รู้ผิดชอบชั่วดีผู้นี้ไม่คู่ควร เขาเหมาะจะใช้ของคุณภาพต่ำจำพวกที่ใช้นานเท่าไรก็ไม่หายสักทีมากกว่า
“ฮะ อ้อ” หมอหลวงใหญ่จึงขานรับ
ฉินหลิวซีโพล่งออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็บอกตำรับยารักษากระดูกขนานหนึ่ง บวกกับอธิบายกรรมวิธีในการต้มด้วย
หมอหลวงใหญ่ถือตำรับยาพลางพินิจพิเคราะห์ตำรับยานี้ตามจิตใต้สำนึก หากไม่ใช่เพราะสถานการณ์ไม่เอื้ออำนวย เขาอยากจะลากตัวมหาราชครูผู้นี้ไปหารือเรื่องขนานยาตำรับนี้เสียเหลือเกิน เพราะยอดเยี่ยมมากจริงๆ
ฮ่องเต้คังอู่เห็นสถานการณ์เช่นนั้นจึงตรัสว่า “หมอหลวงใหญ่ ยาตำรับนี้มีสิ่งใดไม่เหมาะสมหรือ”
“นี่หรือ…เปล่าพ่ะย่ะค่ะ ยาตำรับนี้ดีมาก ช่วยเสริมสร้างเอ็นกระดูกให้แข็งแรง เป็นตำรับยาชั้นดีที่หาได้ยาก คิดไม่ถึงว่ามหาราชครูจะรู้ศาสตร์การรักษาลึกซึ้งถึงเพียงนี้” สายตาของหมอหลวงใหญ่ที่ใช้มองฉินหลิวซีเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย
เมื่อก่อนเขาคิดว่ามหาราชครูเปรียบดั่งกระบองเทพที่รู้เพียงเรื่องลึกลับบ้าๆ บอๆ ปั้นยาลูกกลอนสองเม็ด เหวี่ยงสะบัดแส้ม้าสองที แสร้งทำทีเป็นเทพเซียน จนฝ่าบาททรงเยินยอสรรเสริญดั่งผู้สูงส่ง ชวนให้คนที่เป็นหมอจริงๆ อย่างพวกเขารู้สึกไม่ค่อยพอใจนัก
แต่บัดนี้พอมีตำรับยาทาสมานกระดูกวางไว้ตรงหน้า เขาถึงรู้ว่ามหาราชครูก็คือมหาราชครู ไม่ได้อาศัยเพียงคำโอ้อวดโป้ปด แต่มีความสามารถอย่างแท้จริง
ต่อให้เขาเป็นคนเขียนตำรับยาเองก็ยังเขียนได้ไม่ดีขนาดนี้เลย
ฮ่องเต้คังอู่โล่งอกก่อนจะมองไปทางฉินหลิวซี ขณะที่อีกฝ่ายกำลังมองมาทางเขาด้วยสีหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม พลันเขาก็รู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นมา
ช่างน่าแปลก ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนเขาให้ความเชื่อใจมหาราชครูมาก ดังนั้นถึงยอมตอบรับคำร้องขอของเขาทุกอย่าง แต่เหตุใดภายหลังเขาถึงค่อยๆ เพิกเฉยต่อมหาราชครูเล่า
เป็นผลมาจากเสียงที่ดังแว่วในฝันร้ายกลางดึกอย่างนั้นหรือ
“ฝ่าบาททรงสงสัยในตัวกระหม่อมเช่นนี้ กระหม่อมทำสิ่งใดไปหรือถึงสร้างข้อข้องใจให้พระองค์” ฉินหลิวซีเอ่ยถามเสียงเรียบ “พระองค์มิจำเป็นต้องหวาดระแวงไป นักพรตตรึกตรองเรื่องปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ วาสนาของพระองค์กับกระหม่อมได้จบสิ้นลงแล้ว กระหม่อมควรไปตามทางของกระหม่อมสักที”
ฮ่องเต้คังอู่กระอักกระอ่วนใจไม่น้อย ตรัสด้วยรอยยิ้มเจื่อน “มหาราชครูกล่าวเรื่องอะไรกัน เราหมายความเช่นนั้นเสียเมื่อไร”
ฉินหลิวซีกลับไม่สนใจว่าเขาจะกระอักกระอ่วนใจหรือไม่ แค่เรียกให้ซุ่นกงกงจับเขาพลิกร่างแล้วเอ่ย “กระหม่อมจะทำการจัดกระดูกให้พระองค์พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้คังอู่ยังไม่ทันได้ตรัสอะไร มหาราชครูก็ลงมือแล้ว
ใช่ ลงมือเลย
ฉินหลิวซีจัดกระดูกให้ฮ่องเต้คังอู่โดยไร้ซึ่งความอ่อนโยนที่พึงกระทำต่อกษัตริย์ เดิมทีควรใช้ศาสตร์การรักษาที่ไม่ทำให้ฝ่าบาทรู้สึกเจ็บและใช้ตำรับยาที่ดีที่สุด กล่าวได้ว่ากษัตริย์มิควรต้องรู้สึกทุกข์ทรมานใดก็จบการรักษาแล้ว
แต่พอถึงคราวของฮ่องเต้คังอู่เล่า
หากไม่จัดหนักๆ คงเป็นความเมตตาอันสูงสุดของนาง กลัวก็แต่สวรรค์จะลงโทษ
เสียงร้องโอดครวญของฮ่องเต้คังอู่ดังสะท้อนทั่วทั้งตำหนักบรรทม เหล่าหมอหลวงและขุนนางหลายสิบคนที่รออยู่ด้านนอกได้ยินเช่นนั้นก็ขนลุกซู่ชูชัน
ฮ่องเต้อู่คังสาบานต่อหน้าฟ้าดินได้เลยว่าตลอดชั่วชีวิตนี้ของเขาไม่เคยต้องประสบกับความทุกข์ทรมานหนักหนาสาหัส เจ็บปวดแทรกถึงหัวใจและรู้สึกเหมือนตายทั้งเป็นเช่นนี้มาก่อน เขาเจ็บปวดกระทั่งหมดสติไปในที่สุด
ขณะที่เขาถูกฉินหลิวซีจัดกระดูกด้วยแรงมหาศาลแล้วหมดสติไปด้วยความเจ็บปวดนั้น ทางฝั่งแท่นบูชาเองก็กำลังช่วยเหลือผู้เคราะห์ร้ายอย่างเต็มที่
สำหรับเรื่องแผ่นดินไหวขณะประกอบพิธีบวงสรวงในเมืองหลวง ชาวเมืองไม่น้อยต่างคิดว่าฮ่องเต้ไม่มีความศรัทธามากพอ จึงเป็นเหตุให้เบื้องบนไม่พอใจจนประทานภัยพิบัติให้อย่างต่อเนื่อง ดังนั้นเสียงเรียกร้องขอให้ฮ่องเต้ทรงออกราชโองการสำนึกผิดจึงยิ่งมากขึ้นและทวีความรุนแรงจนยากจะควบคุมได้
เพราะปีนี้เกิดหายนะอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีพักจริงๆ
ยิ่งมีคนคิดว่าเพราะหลงเชื่อมหาราชครูมากเกินไป พระองค์จึงทรงสร้างวังอมตะขึ้นมาเพื่อปรุงยา อีกทั้งคร้านต่องานราชกิจถึงเป็นเหตุให้ได้รับโทษจากสวรรค์
ควรรู้ว่าเมื่อก่อนมหาราชครูสร้างความทุกข์ยากผลาญเงินประชาชนเพื่อนำไปใช้ปรุงยา ก่อกรรมทำเข็ญไว้มากมาย แท้จริงแล้วกลับเดินเส้นทางวิถีมาร
ดังนั้นนอกจากจะขอให้ฮ่องเต้ทรงออกราชโองการสำนึกผิดแล้ว ยังมีคนขอให้พระองค์ทรงกำจัดมารนักพรตผู้นี้ทิ้งเสีย เพื่อเลี่ยงไม่ให้แปดเปื้อนเช่นฮ่องเต้ไท่จู่
เสียงเรียกร้องขอให้ฆ่ามารนักพรต กำจัดขุนนางคนสนิทของพระองค์ดังกึกก้องกังวาน ซึ่งนำโดยกลุ่มผู้ศึกษาเล่าเรียน บางคนถึงกับอวดอ้างตนว่ามีความสามารถทางวรรณศิลป์ เขียนบทความยืดยาวว่าด้วยเรื่องความชั่วร้ายของมารนักพรต พร้อมอ้างอิงตามประวัติศาสตร์สมัยฮ่องเต้ไท่จู่ อีกทั้งกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่าหากไม่กำจัดนักพรตผู้นี้ บ้านเมืองก็จะวอดวาย
นอกจากนี้เรื่องกำจัดคนสนิทของฝ่าบาทอย่างมหาราชครูยังลุกลามไปทั่วลัทธิเต๋า กระทั่งบางคนเอาเจตนาร้ายนี้เพ่งเล็งไปที่อารามเต๋าที่อยู่ในครรลองวิถีที่ถูกต้อง อ้างเหตุผลนี้เพื่อปล้นทุบทำลายอารามเต๋า รวมถึงปิดล้อมเหล่านักพรตด้วย
สำนักพุทธเองก็พลอยได้รับผลกระทบไปด้วย ซึ่งเหตุผลก็ช่างน่าขัน เพราะพระสงค์ล้วนมีใบหน้าที่อวบอิ่ม ชาวบ้านโง่ๆ พวกนั้นจึงคิดว่าพระภิกษุทั้งหลายอาศัยของทำบุญจากประชาชนถึงได้อิ่มหนำสำราญเช่นนี้
ชั่วเวลานั้น เหล่าประชาชนที่ด้านชาต่อภัยพิบัติที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องมานานแล้วก็เหมือนไฟโทสะถูกจุดติดอย่างพร้อมเพรียง ระเบิดอารมณ์ขึ้นมา หูเบาฟังความข้างเดียว ก่อให้เกิดความวุ่นวายโกลาหล สถานการณ์ลุกลามใหญ่โตจนทุกคนต่างอกสั่นขวัญแขวน
ฉินหลิวซีอยู่ในวังหลวงจึงไม่รู้ว่าไฟลุกโหมลามมาถึงนางที่ปลอมเป็นมหาราชครู อีกทั้งไม่รู้ว่าตนกลายเป็นมารนักพรตไปแล้ว เฟิงซิวที่ได้รับสารเสียงถ่ายทอดจากนางจึงรีบกลับไปที่ร้านยาตำหนักอายุวัฒนะก่อนที่องครักษ์ฮ่องเต้จะไปถึง ชิงเก็บพวกยาลูกกลอนราคาสูงลิ่วและวัตถุดิบยาหายากชั้นดีเอาไว้ก่อน
ฮ่องเต้หมาบ้านั่นบทจะปิดร้านตรวจสอบก็ทำเลย วางอุบายเล่ห์กลอย่างไร คิดว่าจะเล็ดลอดผ่านสายตาของจิ้งจอกพันปีอย่างเขาไปได้หรือ
ย่อมเป็นเพราะพระองค์ต้องตาคลังเก็บยาของร้านยาตำหนักอายุวัฒนะเลยอยากยึดไว้เป็นของตนเอง วันหน้าจะได้ปรุงยาได้สะดวก
ถุย ฮ่องเต้หมาบ้านี่โลกสวยเกินไปแล้ว!
ถึงอย่างไรยาตัวไหนราคาสูงลิ่ว เขาเก็บหมด เหลือเพียงของราคาไม่กี่ตำลึงที่มีเกลื่อนตามท้องตลาด คิดจะปล้นหรือ ฝันไปเถอะ!
พอเก็บวัตถุดิบยาเรียบร้อยแล้ว เขาถึงไปตามหาตัวหมอที่มีนามว่าเหยียนตง
ทว่ารอกระทั่งตามหาตัวเจอ เขาก็ชิงกลายเป็นศพไปก่อน อีกทั้งเป็นร่างแห้งกรัง ไร้ซึ่งเลือดเนื้อ เหลือเพียงผิวหนังใช้ห่อหุ้มกระดูก ราวกับถูกใครสูบร่างจนเหือดแห้งก็มิปาน
พอเขาสำรวจอย่างละเอียดถึงรู้ว่าดวงจิตของเหยียนตงมีดวงจิตอื่นแฝงอยู่ เหมือนถูกคนแย่งสิงร่าง อีกทั้งถูกฝืนใจอย่างไรอย่างนั้น เพราะแม้แต่เลือดเนื้อยังหลอมละลายไปหมดแล้ว
เฟิงซิวเผยสีหน้าไม่สู้ดีนัก มีคนกล้าแตะต้องคนของเขาภายใต้สายตาของเขาหรือ ใครช่างบังอาจนัก ใครกันที่มีความสามารถหลบหลีกสายตาปีศาจน้อยที่ส่งมาจากร้านยาตำหนักอายุวัฒนะเพื่อช่วยเก็บตัวยา
เขายิ่งคิดก็ยิ่งโมโห จบกัน เรื่องนี้คงถูกเทพอสูรน้อยหัวเราะเยาะไปชั่วชีวิตแน่!