คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1193 แต่ละคนในวังมีแต่คนเก่งๆ
ตอนที่ 1193 แต่ละคนในวังมีแต่คนเก่งๆ
เฟิงซิวเก็บศพของเหยียนตงเสร็จถึงกลับไปร้านยาตำหนักอายุวัฒนะ ส่วนทหารองครักษ์ส่วนพระองค์ก็ไล่ตามมาติดๆ พร้อมนำคนจากกรมอาญาและแผ่นคาดปิดร้านมาด้วย หมอของร้านยาตำหนักอายุวัฒนะวางอุบายคิดทำร้ายฝ่าบาท จึงต้องเอาตัวมาสอบสวนและปิดร้านเพื่อทำการตรวจค้น เรื่องนี้สร้างความตกใจไม่น้อย ชั่วพริบตาเดียวก็เรียกความสนใจจากคนมากมายให้เดินมุงเข้ามารายล้อม
เฟิงซิวหัวเราะด้วยความโมโห ปิดร้านตรวจค้นอย่างนั้นหรือ ได้ ร้านยาตำหนักอายุวัฒนะปิดร้านตามฤกษ์มงคลพอดี และจะไม่เปิดอีกแล้ว วัตถุดิบยาที่ใช้บริจาคให้ทางค่ายทหารชั้นแนวหน้าก็จะไม่มีอีกต่อไป รวมถึงยาที่บริจาคให้ผู้ประสบเคราะห์ภัยพิบัติก็จะไม่มีอีกต่อไปเช่นกัน
มีใครจะไม่อารมณ์เสียได้บ้างเล่า
กระทั่งเรียกตัวหมอและยาที่จะส่งไปช่วยเหลือชาวบ้านผู้ประสบภัยที่แท่นพิธีบวงสรวงกลับมา เพราะฝ่าบาทปิดร้านทำการตรวจสอบ พวกเขาจึงจำเป็นต้องให้ความร่วมมือ
สิ่งที่ทำให้หัวหน้าองครักษ์เผยสีหน้าโกรธออกมา เพราะซิวเฟิงท้าชนกับพวกเขาต่อหน้าเหล่าชาวบ้านที่แห่เข้ามามุงดูอย่างเปิดเผย
อีกทั้งชาวบ้านเองก็ตกหลุมพราง พลันก็สบถก่นด่า ตำหนิว่าราชสำนักและฝ่าบาทใส่ความคนดี ถึงแม้ร้านยาตำหนักอายุวัฒนะจะราคาสูงไปบ้าง แต่ด้วยชื่อเสียงที่เห็นอยู่ทนโท่ ที่ใดต้องการยา เขาก็ไม่เคยแสดงท่าทีใจแคบเลยสักครั้ง
พอตอนนี้เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวในเซิ่งจิง เขายังเป็นฝ่ายส่งหมอไปตรวจดูอาการพร้อมให้ยาโดยไม่คิดเงินสักแดงเดียว ลองคิดดูว่าร้านที่มีจิตใจเมตตาดีๆ เช่นนี้จะวางอุบายทำร้ายฝ่าบาทได้อย่างไร
ทว่าฝ่าบาทกลับทรงมีรับสั่งตั้งข้อหานี้เพื่อปิดร้าน ตอนนี้ร้านยาตำหนักอายุวัฒนะบอกว่าจะไม่แจกจ่ายยาแล้ว ผลกระทบนี้กลับเป็นการทำร้ายใครกันเล่า
แน่นอนว่าต้องเป็นชาวบ้านผู้ประสบภัยที่กำลังรอความช่วยเหลือ ในบรรดาคนเหล่านั้นอาจจะมีญาติพี่น้องหรือคนสนิทของตนอยู่ด้วย
ชั่วขณะนั้นประตูร้านยาตำหนักอายุวัฒนะจึงเกิดเสียงดังเซ็งแซ่อื้ออึงเหมือนตลาดสด ก่นด่าได้ไม่น่าฟังแค่ไหนก็ตะโกนออกมาไม่น่าฟังเท่านั้น
สวบ
หัวหน้าองครักษ์ที่สวมชุดเกราะสีแดงดำชักดาบประกายวิบวับแผ่ไอเย็นยะเยือกออกมา เค้นเสียงขรึมเอ่ยขึ้นว่า “หมอของร้านยาตำหนักอายุวัฒนะวางอุบายคิดทำร้ายฝ่าบาท แค่ปิดร้ายตรวจค้นเป็นการชั่วคราวเท่านั้น หากหลังจากตรวจสอบแล้วบริสุทธิ์ย่อมให้กลับมาเปิดดำเนินกิจการเหมือนเดิม หากใครกล้าเป็นแกนนำสร้างความวุ่นวาย ทั้งหมดจะถูกพิจารณาความผิดฐานกบฏ ประหารสามชั่วโคตร หากใครยังดึงดันจะเข้ามาขัดขวางก็จะฆ่าทิ้งได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวด้วย”
ครั้นประโยคนี้โพล่งขึ้นมา เสียงด่าทอก็เงียบกริบ เหล่าประชาชนต่างก้าวถอยไปด้านหลังสองก้าวตามสัญชาตญาณ
กฎมณเฑียรบาลไม่อาจเอาผิดกับคนหมู่มากได้ก็จริงอยู่ แต่หากถูกตั้งข้อหากบฏ แถมยังถูกประหารสามชั่วโคตรด้วย นี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะรับไหวเลยจริงๆ
เฟิงซิวแสยะยิ้มด้วยท่าทีเย่อหยิ่ง “ใต้เท้าช่างวางอำนาจบาตรใหญ่นัก ไม่ต้องขู่ราษฎรหรอก หากอยากได้ร้านยาตำหนักอายุวัฒนะนักก็เอาไปเลย ลำพังแค่ร้านยาซอมซ่อเล็กๆ แค่นี้ ข้าเองก็ไม่อยากเปิดต่อไปแล้วเหมือนกัน”
โดยพื้นฐานแล้ววัตถุดิบยาของร้านยาตำหนักอายุวัฒนะจะได้รับของมาจากตระกูลหวงเซียน ต่อให้ปิดร้านนี้ไปก็เปิดร้านใหม่ได้
เพียงแต่เขาไม่พอใจที่ฮ่องเต้หมาบ้านี่เห็นว่าพอหมดประโยชน์ก็เขี่ยทิ้ง พฤติกรรมเหมือนหมาลังเลใจอยากได้ทุกอย่าง แสร้งว่ามีคุณธรรมแต่กลับทำตัวหน้าไหว้หลังหลอก ช่างน่ารังเกียจเหลือเกิน
หัวหน้าองครักษ์มองบุรุษที่งดงามยิ่งกว่าสตรีตรงหน้าด้วยสีหน้าขึงขัง “ข้าก็แค่ทำงานตามคำสั่ง หลังจากกรมอาญาตรวจสอบอย่างละเอียดแล้วไม่มีความเกี่ยวข้องกับร้านยาตำหนักอายุวัฒนะจริงๆ ย่อมปล่อยให้ทางร้านเปิดกิจการต่อ อีกเรื่องก็คือเจ้าของร้านโปรดส่งมอบตัวเหยียนตงมาให้ด้วย”
“เจ้ามั่นใจหรือว่าจะให้ข้าส่งมอบตัวเขาที่นี่” เฟิงซิวเลิกคิ้วถาม
หัวหน้าองครักษ์ใจดิ่งวูบ สัญชาตญาณบอกว่ามีเรื่องไม่ชอบมาพากลนัก ทว่าเขายังดึงดันกล่าวออกไปเช่นนั้น “ใช่”
“อ้อ” เฟิงซิวเอ่ย “เช่นนั้นเจ้าก็เอาไปเถิด”
เขาชี้นิ้วไป ทุกคนจึงมองตามไป ไม่ไกลจากปลายเท้าของเขา ไม่รู้ว่าปรากฏผ้าห่อของสีดำห่อหนึ่งโผล่ขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใด ซึ่งรูปร่างดูแปลกพิกลนัก
หัวหน้าองครักษ์มุ่นคิ้วก่อนส่งสายตาไปให้ลูกน้อง คนด้านหลังเดินขึ้นมาก่อนจะคลี่เปิดห่อผ้านั้นออก
จากนั้นศพร่างแห้งกรังที่นั่งอยู่ก็เอียงล้มลงบนพื้น
อ๊ากกก
มีคนเปล่งเสียงกรีดร้องขึ้นมา
หัวหน้าองครักษ์ชักดาบออกมาชี้หน้าเฟิงซิว “นี่มันอะไรกัน เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
“เจ้าอยากได้ตัวเหยียนตงมิใช่หรือ ข้าเพิ่งไปเก็บศพเขามาให้ พวกเจ้ามาช้าไปหน่อย เพราะเขาตายจนไม่รู้จะตายอย่างไรแล้ว” เฟิงซิวยิ้มเย็นชา ทว่ากลับไม่ได้แสดงท่าทีเย้ยหยันออกมาให้เห็น
เป็นปีที่เกิดเรื่องมากมายขึ้นจริงๆ แถมเขายังต้องติดคุกอีกต่างหาก!
…
เวลาล่วงเลยไปทีละนิด
ฮ่องเต้คังอู่ฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง กระดูกสันหลังช่วงเอวถูกแผ่นไม้ดามไว้พร้อมทายา อีกทั้งถูกฝังเข็มจุดลมปราณสองสามจุด
ฮ่องเต้คังอู่ฉุกคิดบางอย่างขึ้นได้ ยามที่สายตามองเห็นทุกอย่างชัดแล้วถึงค้นพบว่าภายในตำหนักจุดไฟสว่างไสว
ฟ้ามืดแล้วนั่นเอง
“ฝ่าบาทฟื้นแล้วหรือเพคะ” ฮองเฮามู่มองมา ใบหน้าของนางซีดเซียว ดูแก่ลงอย่างเห็นได้ชัด
ครั้นฮ่องเต้คังอู่เห็นสีหน้าขาวซีดดุจหิมะเช่นนั้น แววตาก็ประกายความห่วงใยออกมา รู้สึกอบอุ่นในใจ เอ่ย “เจ้าเฝ้าอยู่ที่นี่ตลอดเลยหรือ กลับไปพักผ่อนเถิด มีซุ่นจื่อคอยปรนนิบัติคนเดียวก็พอแล้ว”
ฮองเฮามู่ถอดถอนหายใจ “พระองค์ได้รับบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ หม่อมฉันจะวางใจได้อย่างไรเพคะ”
“ไปพักผ่อนเถิด เรื่องวังหลังยังต้องมีเจ้าคอยดูแล อย่าให้คนอื่นๆ เข้ามาสร้างความรำคาญใจให้เราก็พอ” ครั้นฮ่องเต้คังอู่นึกถึงหรูเฟยและคำร้องขอที่นางเสนอขึ้นมา พลันนัยน์ตาก็หม่นลง
เขามองฮองเฮามู่แวบหนึ่ง ครั้นเห็นนางกำชายผ้าห่มด้วยสีหน้าเป็นกังวลอย่างปิดไม่มิดเช่นนั้นก็เอ่ย “รุ่ยอ๋องอาสานำกองเสบียงทหารไปยังซีเป่ยด้วยตนเอง นับว่ามีความรับผิดชอบมากกว่าพวกเจ้ารองมากนัก สมควรได้รับตำแหน่งฮ่องเต้ที่เราเป็นคนแต่งตั้งให้เองเสียจริง”
ฮองเฮามู่หันหน้าไปมองพลางเอ่ย “โบราณว่าไว้เรียนรู้ศิลปะทั้งบุ๋นและบู๊ เพื่อทำงานในราชสำนัก ทุกคนล้วนทำงานรับใช้ฝ่าบาท แบ่งเบาภาระของพระองค์ ไม่ถือว่าเป็นภาระหน้าที่อันใหญ่หลวงแต่อย่างใด เจ้ารองกับเจ้าสามล้วนเป็นลูกหลานมังกรหงส์ ซึ่งต่างก็มีความสามารถเช่นกัน”
“มีความสามารถจนกล้าฆ่าคนเป็นพ่อได้ เช่นนี้ก็ออกจะมีความสามารถเกินไปแล้วกระมัง” ฮ่องเต้คังอู่แค่นเสียงเย็นชาใส่
ฮองเฮามู่เม้มริมฝีปากเอ่ย “พระองค์อยู่ในช่วงพักฟื้นรักษาตัว เดิมทีหม่อมฉันมิควรขัดขวางพระองค์ แต่ขอเอ่ยอย่างเป็นธรรมว่าเหตุการณ์แผ่นดินไหวเป็นภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นกะทันหันและไม่มีใครคาดคิดถึง ด้วยสถานการณ์ในตอนนั้น อีกทั้งท่ามกลางสายตาของทุกคน เขาจะกล้าทำเรื่องขัดต่อคุณธรรมเช่นนี้เชียวหรือเพคะ”
“บางทีเขาอาจจะกล้าคิดในสิ่งที่คนอื่นไม่กล้าคิดก็ได้”
ฮองเฮามู่เอ่ยอย่างไม่พอใจนัก “พระองค์ทรงพานโกรธมากกว่าเพคะ ในเมื่อเป็นโอรสของพระองค์ทั้งสิ้น นิสัยใจคอเป็นเช่นไร พระองค์จะไม่รู้แก่ใจบ้างเลยหรือ หากจะกล่าวว่าจ้าวอ๋องคิดฉวยโอกาสตอนแผ่นดินไหวฆ่าบิดา เขาน่าจะไม่กล้ามากกว่า ในเมื่อบัดนี้ยังไม่ได้แต่งตั้งตำแหน่งองค์รัชทายาทเลย หากเขาทำเรื่องพรรค์นี้ขึ้นมาจริงๆ ใครจะยอมรับเขา คาดว่าคงคิดสร้างความดีความชอบจากการอารักขาฝ่าบาท แต่ดันพยายามจนพลาดท่ามากกว่าเพคะ”
ฮ่องเต้คังอู่แค่นเสียงใส่ที แต่กลับไม่ได้คัดค้านคำพูดของนาง เขาเป็นฮ่องเต้มาหลายสิบปี ใช่ว่าจะไม่มีสมองเลย ย่อมรู้จักใคร่ครวญไตร่ตรองเป็น การกระทำนี้ก็แค่ลองหยั่งเชิงฮองเฮามู่ดูก็เท่านั้น
แต่ด้วยคำตอบและท่าทีของฮองเฮามู่กลับสร้างความพึงพอใจให้เขาอย่างยิ่ง แต่ในเมื่อตนต้องตกอยู่ในสภาพแบบนี้ ย่อมละเลยต่อความดีความชอบของจ้าวอ๋องไม่ได้ แต่ความผิดก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงได้เช่นกัน
ฉินหลิวซีและหมอหลวงใหญ่กำลังเขียนใบสั่งยาบำรุงพระวรกายฝ่าบาทอยู่ในมุมที่ไม่ไกลนัก คนที่หูตาไวอย่างนางย่อมไม่พลาดคำสนทนาระหว่างฮ่องเต้และฮองเฮา พลางขบคิดในใจว่าแต่ละคนในวังไม่ธรรมดาจริงๆ ฝีมือการแสดงฝังอยู่ในสายเลือด แสดงเก่งกันเหลือเกิน
หากนางไม่ได้ร่วมมือกับฮองเฮามู่อย่างลับๆ และลงเรือลำเดียวกันแล้วละก็ นางคงเชื่อว่าคำพูดของฮองเฮามู่จริงใจและออกมาจากความรู้สึกอย่างแท้จริง ไม่ใช่การเล่นละครตบตาเช่นนี้
พอมีเสียงเคลื่อนไหวดังมาจากทางฉินหลิวซี ฮ่องเต้คังอู่จึงมองมาทางนาง พลันความเจ็บปวดตอนถูกจัดกระดูกก็พุ่งขึ้นมาในสมอง ก่อนจะเริ่มรู้สึกปวดระบมไปทั้งร่าง ร้องครางเสียงเบาขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
นางเดินเข้าไปหาแล้วกล่าวว่า “ในเมื่อฝ่าบาททรงฟื้นแล้ว เช่นนั้นก็ช่วยคลายปัญหาให้กระหม่อมทีเถิด เหตุใดจู่ๆ พระองค์ถึงเพิกเฉยใส่กระหม่อม อีกทั้งยังรั้นจะเสด็จไปทำพิธีบวงสรวงให้ได้”