คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1194 ไปเถอะ ควรแหกคุกแล้ว
ตอนที่ 1194 ไปเถอะ ควรแหกคุกแล้ว
จู่ๆ ก็ทำตัวห่างเหินโดยไร้ต้นสายปลายเหตุ ในเมื่อเดิมทีฮ่องเต้คังอู่ทรงเลื่อมใสและเชื่อมั่นในตัวมหาราชครูเป็นอย่างมาก แต่ระยะนี้กลับไม่ค่อยเรียกเข้าเฝ้า และถึงแม้เขาจะรั้งไม่ให้ไปทำพิธีบวงสรวง แต่ฮ่องเต้คังอู่กลับทรงรั้นจะไปให้ได้
ฉินหลิวซีรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง สาเหตุใดถึงทำให้พระองค์เป็นเช่นนี้
ฮ่องเต้คังอู่ไม่พอพระทัยอยู่บ้าง เอ่ย “มหาราชครูกำลังซักไซ้เราอยู่หรือ”
“กระหม่อมมิบังอาจ เพียงแต่รู้สึกตงิดใจ อีกอย่างพระองค์ยังเสวยยาสุ่มสี่สุ่มห้าจนพลังหยินไหลเข้าสู่ร่างกาย กระหม่อมมองไม่เห็นวิญญาณร้ายแผ้วพานใกล้พระองค์ เลยสงสัยว่าอาจเป็นเพราะยาตัวนั้นแฝงพลังหยินไว้ก็เป็นได้” ฉินหลิวซีเอ่ยเสียงเรียบ “กระหม่อมเคยเตือนพระองค์แล้วว่าอย่าไปบวงสรวง ซึ่งก็ใช่ว่าจะไม่มีมูลเหตุ แต่พระองค์ก็ยังดึงดันที่จะเสด็จไป”
พลันใบหน้าขาวซีดของฮ่องเต้คังอู่ก็แปรเปลี่ยนเป็นสีดำ
ไม่เชื่อคำพูดของมหาราชครูเลยต้องประสบเรื่องร้ายตรงหน้า หมายความว่าอย่างนั้นหรือ
เขาบาดเจ็บอย่างมาก แถมยังต้องทุกข์ทรมานอย่างสาหัส ไม่รู้ว่าวันหน้าจะลุกขึ้นยืนได้อีกหรือไม่!
ได้ไม่คุ้มเสียเอาเสียเลย
ทันใดนั้นฮ่องเต้คังอู่ก็นึกสงสัยว่าตนถูกล้างสมองไปแล้วหรือไร บัดนี้พอได้ฟังฉินหลิวซีกล่าวเช่นนั้น พลันความรู้สึกสะอิดสะเอียนที่มีต่อยานั้นและความรู้สึกขนลุกตั้งชูชันก็ประเดประดังเข้ามา
เขาขบคิดก่อนจะเอ่ย “ความจริงระยะนี้เรามักจะฝันบ่อยๆ ในความฝันเห็นเซียนคนหนึ่งยืนอยู่บนกลีบเมฆ วิงวอนขอให้เราไปทำพิธีบวงสรวงเพื่อแสดงความจริงใจ มิเช่นนั้นจะเกิดมหันตภัยครั้งใหญ่ อีกทั้งเราเอง…ก็จะมีจุดจบที่ไม่ดีนัก!”
ฉินหลิวซีหรี่ตาลงเล็กน้อย “ฝันซ้ำไปซ้ำมาหรือ”
“ใช่แล้ว” ฮ่องเต้คังอู่พยักหน้าแล้วจึงเอ่ย “ปีนี้เกิดภัยพิบัติอย่างต่อเนื่อง เรากลัวว่าต้าเฟิงจะถูกลากลงโคลนตมเพราะภัยพิบัติ เป็นเหตุทำให้เราอยากไปประกอบพิธีบวงสรวง แต่คิดไม่ถึงว่า…”
แม้ว่าเขาจะพูดแก้ตัวให้ดูสวยหรู แต่สีหน้ากลับปกปิดความอับอายไว้ไม่มิด
ใช่แล้ว อับอาย
หากเทียบกับเรื่องเกิดแผ่นดินไหว เขากลับยืนกรานต่อหน้าฉินหลิวซีว่าจะไปทำพิธีบวงสรวงเพียงเพราะความฝัน ซึ่งทำให้เขารู้สึกอับอายเป็นอย่างมาก
อีกทั้งเขาเป็นถึงฮ่องเต้แต่กลับเสียเปรียบมหาศาลเพียงเพราะความฝันเดียว
กษัตริย์ผู้ทรงอำนาจสูงส่งกลับถูกหลอกปั่นหัวครั้งใหญ่ ซึ่งถือเป็นความอัปยศที่เขาไม่อยากพูดถึงกับใครในชีวิตของการครองราชย์เลยจริงๆ
กระทั่งฮ่องเต้คังอู่เหลือบมองฮองเฮามู่และซุ่นกงกงแวบหนึ่ง นัยน์ตามีประกายคลื่นซ่อนเร้นบางอย่างพาดผ่านอย่างรวดเร็ว
ฉินหลิวซีรู้แก่ใจดีว่าอาการหวาดระแวงและรักในศักดิ์ศรีของฮ่องเต้เริ่มกำเริบขึ้นมาแล้ว จึงเอ่ยว่า “พระองค์วางใจได้ บทสนทนาของพวกเราเมื่อครู่จะไม่มีทางล่วงรู้ไปถึงบุคคลที่สาม ขณะที่พระองค์ตรัสเมื่อครู่ กระหม่อมได้ร่ายอาคมทำให้พวกเขาฟังไม่ได้ยินแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้คังอู่ผงะไปก่อนจะมองไปทางฮองเฮามู่อีกครั้ง นางจึงเอ่ยถาม “ฝ่าบาทกระหายน้ำหรือเพคะ”
ซุ่นกงกงได้ยินเช่นนั้นก็รีบหยิบน้ำชาไปถวาย อีกทั้งยังหยิบหลอดต้นอ้อยื่นให้พระองค์ดูดด้วยความเอาใจใส่
ฮ่องเต้คังอู่รู้สึกชุ่มในลำคอขึ้นมาบ้าง ครั้นเห็นพวกเขาทั้งสองเผยสีหน้าปกติจึงโล่งอก พลันมองฉินหลิวซีพลางถามว่า “เจ้าว่าเป็นเพราะกินยานั้นเข้าไปเลยฝันร้ายแปลกๆ อย่างนั้นหรือ”
“ก็มีส่วนด้วย ในเมื่อตัวยาในลูกกลอนช่วยกระตุ้นความกระปรี้กระเปร่า พระวรกายต้องทำงานหนักอย่างต่อเนื่อง ทันทีที่บรรทมพระวรกายของพระองค์ก็จะอ่อนล้า มีโอกาสตกสู่ห้วงผีอำหรือฝันร้ายได้อย่างง่ายดาย”
ฮ่องเต้คังอู่สีหน้าย่ำแย่ลงกว่าเดิม เอ่ย “เซียนผู้นั้นคือผีอำหรือ”
เขาถูกปั่นหัวหนักเลยหรือนี่
สิ่งที่เรียกว่าผีอำน่าจะเป็นฝีมือของซื่อหลัว เขาต่ำทรามเกินจะเยียวยาแล้วจริงๆ
“พระองค์ทรงรู้ว่ามีสิ่งนี้อยู่ก็พอแล้ว ท่านเป็นโอรสแห่งสวรรค์ ย่อมมีพลังกษัตริย์คอยปกปักคุ้มครอง ไม่มีสิ่งชั่วร้ายใดกล้าเข้ามาแผ้วพาน” ฉินหลิวซีหลุบตาลงพลางเอ่ย “นอกจากนี้กระหม่อมยังได้ร่วมเขียนใบสั่งยาชั้นดีกับหมอหลวงใหญ่ไว้ด้วย พระองค์แค่เสวยตามเวลา พลังหยินในร่างกายก็จะค่อยๆ สลายหายไป ค่อยๆ ปรับฟื้นฟูร่างกาย ส่วนแผลตรงกระดูกสันหลังช่วงเอวยังต้องให้ความร่วมมือกับหมอหลวงใหญ่ในการฝังเข็ม บำรุงรักษาอย่างพิถีพิถัน ไม่แน่สักวันอาจจะลุกขึ้นมาได้”
แต่ส่วนเรื่องที่ว่าลุกขึ้นยืนได้แล้วจะยังมีชีวิตรอดได้อีกนานแค่ไหนคงพูดยาก
ครั้นฮ่องเต้คังอู่รู้สึกน้ำเสียงของนางฟังดูแปลกๆ จึงมุ่นคิ้วตรัสถาม “มหาราชครูจะไปแล้วหรือ”
ฉินหลิวซียิ้มพลางเอ่ย “มีพบย่อมมีจาก วาสนาระหว่างกระหม่อมกับพระองค์ได้สิ้นสุดลงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้คังอู่หมายตรัสบางอย่าง ทว่าจู่ๆ ก็มีขันทีคนหนึ่งแวบโผล่มาทางประตูตำหนักบรรทม ซุ่นกงกงเดินเข้าไปหา หลังจากได้ฟังคำกราบทูลก็ซอยเท้าเดินเข้ามา ทูลรายงานว่าองครักษ์รักษาพระองค์ขอเข้าเฝ้า
เวลานี้ฉินหลิวซีเองก็ได้รับสารเป็นเสียงจากเฟิงซิวเช่นกัน หลังจากมุ่นคิ้วแล้วก็หันไปมองฮ่องเต้คังอู่พลางเอ่ย “เรื่องปิดตรวจค้นร้านยาตำหนักอายุวัฒนะมีแต่จะก่อผลเสีย ฝ่าบาทเก็บราชโองการกลับคืนจะดีกว่า เจ้าของที่อยู่เบื้องหลังกลับไม่ใช่คนที่ว่าง่ายยอมคนสักเท่าไร”
ฮ่องเต้คังอู่ทอประกายสายตาคมกริบ
ฉินหลิวซีเดินถอยออกไป ขณะที่เคลื่อนผ่านบุรุษในชุดเกราะสีดำที่เผยใบหน้าเย็นชา ดาบเมี่ยหลัวก็สั่นไหวเล็กน้อย ส่งเสียงร้องวิ้งๆ ขึ้นมา
ซึ่งก็คืออารมณ์ฮึกเหิมนั่นเอง
หัวหน้าองครักษ์สัมผัสได้ เขาจึงชะงักฝีเท้าตามสัญชาตญาณ ร่างแข็งทื่อเล็กน้อย ประสานสายตากับฉินหลิวซีพลางขมวดคิ้วมุ่น
“เจ้าสร้างบาปกรรมจากการเข่นฆ่าคนมากนัก!” ฉินหลิวซีบอกเขาประโยคหนึ่ง
บาปเข่นฆ่ามหาศาล แม้แต่พลังชั่วร้ายยังแฝงไปด้วยสีโลหิต ร่างกายยิ่งอาบไปด้วยกลิ่นคาวเลือดที่ยังหลงเหลือตามตัวราวกลับล้างอย่างไรก็ไม่ออก หากเขาตายไปแล้วไปเกิดใหม่ก็ดีไป แต่หากตายไปแล้วอาฆาตแค้นขึ้นมาคงกลายเป็นผีร้ายที่โหดเหี้ยมอำมหิตมากทีเดียว
มิน่าอาวุธศักดิ์สิทธิ์ถึงเกิดอารมณ์ฮึกเหิม เพราะมันสัมผัสกลิ่นอายในแบบเดียวกันได้ อีกทั้งอยากดูดกลืนพลังดุร้ายนี้เข้าไปด้วย
น่าเสียดาย เพราะเขาเป็นคนตัวเป็นๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่
ฉินหลิวซีเองก็ไม่มีทางฆ่าคนตรงหน้าเพื่อเอามาป้อนหล่อเลี้ยงมันแน่นอน
หัวหน้าองครักษ์ไม่ปริปากพูดสักประโยค รอกระทั่งฉินหลิวซีเดินจากไปแล้ว เขาถึงรู้สึกเจ็บแปล๊บที่ทรวงอก หลังจากผ่อนเอาลมหายใจออกมาก็ผงะไปเล็กน้อย
เมื่อครู่ตอนอยู่ต่อหน้ามหาราชครูเขารักษาท่าทีนิ่งขรึมจนลืมหายใจ อีกอย่างเขารู้สึกถึงภัยคุกคาม ซึ่งเป็นภัยคุกคามแบบเดียวกับการเผชิญหน้าต่อความเป็นความตายหลายต่อหลายครั้งที่ผ่านมา
มหาราชครูช่างอันตรายนัก
หัวหน้าองครักษ์สูดลมหายใจเข้าลึก สีหน้าย่ำแย่ลงเรื่อยๆ ภายในเวลาหนึ่งวันเขาต้องเผชิญทุกข์ทรมานอย่างต่อเนื่อง ชวนให้อัดอั้นตันใจเสียเหลือเกิน
ก่อนหน้านี้เขาพลาดท่าต่อหน้าบุรุษหล่อเหลาดุจปีศาจนั่นแล้ว ตอนนี้ยังต้องมาทุกข์ทรมานต่อหน้ามหาราชครูอีก คนเหล่านี้ชวนให้เขาอยากเคารพอยู่ห่างๆ เสียเหลือเกิน
“มหาราชครู” ขณะที่ฉินหลิวซีเดินออกมานอกตำหนักบรรทม ฮองเฮามู่ก็ร้องเรียกนาง ซึ่งแฝงไปด้วยท่าทีหยั่งเชิงอยู่บ้าง
ฉินหลิวซีมองไปทางนางก่อนพยักหน้าให้เล็กน้อยโดยที่ปากไม่ขยับ ทว่าคำพูดกลับถ่ายทอดผ่านเข้าไปในสมองของฮองเฮามู่
ภายในตำหนักบรรทมมีเสียงคำรามทุ้มต่ำของฮ่องเต้คังอู่ดังแว่วมา ฮองเฮามู่แสดงท่าทีกังวลออกทางสีหน้า ถอนหายใจแล้วจึงเอ่ย “อารมณ์ฉุนเฉียวเช่นนี้ บาดแผลบนพระวรกายจะหายได้อย่างไรเพคะ”
ฉินหลิวซีขบคิดในใจ หากสายตาของท่านเติมความห่วงใยเข้าไปบ้าง ข้าคงเชื่อว่าความห่วงใยที่ออกมาจากปากเป็นเรื่องจริง
นางได้ยินคำพูดที่หัวหน้าองครักษ์กราบทูลฮ่องเต้คังอู่แล้ว พลันมุมปากก็กระตุกยกยิ้ม เชิญเข้ามาง่ายแต่คงเอาออกไปยาก พาตัวเฟิงซิวมาที่กรมอาญาเช่นนี้ เขาจะไม่รื้อคุกจนพังเลยหรือ
ไม่นานซุ่นกงกงก็เดินออกมาอีกครั้ง ครั้งนี้เขาเรียกตัวขุนนางใหญ่สำคัญๆ ไม่กี่คนเข้าไปหารือเรื่องการเมือง
ในเมื่อฮ่องเต้คังอู่ต้องนอนพักรักษาตัว แต่ใช่ว่าจะพักเรื่องบ้านเมืองไปกับเขาได้เสียเมื่อไร โดยเฉพาะในที่สุดตอนนี้เหมันต์ฤดูก็มาเยือนแล้ว บวกกับตอนทำพิธีบวงสรวงเกิดภัยธรรมชาติร้ายแรงอย่างแผ่นดินไหว อย่าว่าแต่เรื่องสร้างสิ่งก่อสร้างใหม่หลังภัยพิบัติและหาที่พักพิงให้ชาวบ้านผู้ประสบภัยเลย แต่ยังมีเรื่องอีกมากมายที่กองสุมกันอยู่
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือท้องพระคลังอันว่างเปล่า ภายใต้สถานการณ์ไร้เงินทองเช่นนี้ อีกทั้งยังมีภัยพิบัติดันเกิดขึ้นอีก ถือว่าเป็นการซ้ำเติมเงินในท้องพระคลังที่ร่อยหรอเข้าไปใหญ่ ปีนี้อย่าหวังจะได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายอีกเลย
เวลานี้ยังไม่ทันได้แต่งตั้งองค์รัชทายาท ฮ่องเต้ดันมาบาดเจ็บอีก เกิดภัยพิบัติอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งชายแดนยังเกิดศึกสงคราม ยามที่เผชิญทั้งศึกนอกศึกในเช่นนี้ต้องรีบสงบสถานการณ์ลงให้เร็วที่สุด
เหล่าขุนนางใหญ่ต่างทยอยเดินเข้าไป
เสนาบดีลิ่นเดินรั้งท้ายสุด ขณะยืนปะทะหน้าฉินหลิวซี พวกเขาทั้งสองก็สบตากัน
ดีมาก หลังจากยืนยันผ่านสายตาแล้ว นางก็คือนางตัวแสบที่หมายก่อกบฏนั่นเอง!
เสนาบดีลิ่นเดินก้าวขึ้นหน้า เอ่ยว่า “ปีนี้เกิดภัยพิบัติบ่อยครั้ง ประชาชนต่างพากันด่าทอไม่พอใจ บัดนี้เหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นที่แท่นบูชาถือเป็นการลงโทษจากสวรรค์ ด้านนอกโจษจันกันว่าเป็นเพราะมารนักพรตปั่นหัวพระองค์จนลุ่มหลง ขอให้พระองค์สังหารคนสนิทข้างกายขจัดมารชั่วร้ายเพื่อแสดงให้ฟ้าดินเห็น”
จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้นชี้ไปที่นาง
ฉินหลิวซีขึงตาถลน “?”
เหตุใดข้าถึงกลายเป็นมารนักพรตไปได้เล่า
อ้อ ไม่สิ เวลานี้ข้ามีสถานะเป็นมหาราชครู ซึ่งถือเป็นมารนักพรตชั่วร้ายในสายตาของคนไม่น้อย
เสนาบดีลิ่นยังเอ่ยอีกว่า “หากเทียบกับเสียงเรียกร้องขอให้กำจัดมารชั่วร้ายผู้นี้ทิ้งยังมีเรื่องที่ร้ายแรงกว่านี้อีกนะ เพราะราษฎรไม่มีที่ระบายความแค้น คิดว่าใต้หล้าตกอยู่ในความมืดมิด ต่างถือตั้งว่าลัทธิเต๋าที่อยู่ในครรลองธรรมเป็นอธรรมเสียหมด ทั้งไล่ล้อมและปล้นสะดมสำนักเต๋า แม้แต่สำนักพุทธก็ยังไม่เว้น เพียงแต่โดนเบากว่าสำนักเต๋าเล็กน้อยก็เท่านั้น”
ฉินหลิวซีเผยสีหน้าขรึมลง แววตาทั้งสองข้างมีประกายดุดันพาดผ่าน
“บัดนี้เจ้าดูเหมือนมารนักพรตแล้วจริงๆ” เสนาบดีลิ่นแขวะไปประโยคหนึ่งแล้วเอ่ยต่อ “หากเทียบกับฮ่องเต้องค์ก่อนที่แค่ข่มสำนักเต๋าละก็ เวลานี้ทั้งสำนักพุทธและเต๋าต่างได้รับผลกระทบทั้งสิ้น เหมือนมีใครจงใจสร้างสถานการณ์นี้ขึ้นมา เจ้าว่าใช่ฝีมือของเจ้าผีบ้านั่นหรือไม่”
ฉินหลิวซีฉีกยิ้มพลางเอ่ย “ท่านเสนาบดีแค่จัดการเรื่องภายในให้ดีก็พอ เรื่องอื่นไม่ต้องไปสนใจ”
นางพยักหน้าให้เขาก่อนหมุนตัวเดินจากไป
“เวลานี้เป็นโอกาสอันเหมาะสม ควรกำหนดแต่งตั้งองค์รัชทายาทได้แล้ว”
เสนาบดีลิ่นได้ยินสารที่ถ่ายทอดมาผ่านโสตประสาท ทว่ากลับไม่เผยท่าทีประหลาดใดเลยสักนิด ก่อนจะเดินเข้าตำหนักบรรทมไป
…
ณ คุก กรมอาญา
เฟิงซิวนั่งเอนตัวในห้องขังผ่อนคลายสบายราวกับเป็นคุณชายใหญ่ก็มิปาน ชุดสีแดงที่แสนสะดุดตา เส้นผมสีดำเต็มศีรษะถูกมัดไว้อย่างลวกๆ แต่หากมองอย่างละเอียดก็จะเห็นว่าภายใต้เส้นผมสีดำมีเส้นผมสีทองประกายแดงเก็บซ่อนไว้อยู่ มือข้างหนึ่งใช้เท้าคาง ส่วนมืออีกข้างหนึ่งกำลังม้วนผมเล่น ดวงตาจิ้งจอกเรียวยาวปิดลงเล็กน้อย
หากไม่ใช่เพราะคุกแห่งนี้ทรุดโทรมซอมซ่อ แตกหักไปทั่วทุกที่ อีกทั้งนักโทษภายในคุกล้วนคุกเข่าด้วยท่าทีกล้าๆ กลัวๆ สีหน้าเต็มไปด้วยท่าทีหวาดผวา ด้วยใบหน้างดงามเช่นนี้คงชวนให้ละสายตาไม่ได้แน่นอน
แต่เพราะเหลือบมองเขาบ่อยครั้ง พูดจาไม่น่าฟังเล็กน้อย นักโทษทั้งหมดเลยถูกซัดหนักไปยกหนึ่ง อีกทั้งรอยแตกร้าวในคุกก็ล้วนเป็นฝีมือของเขาทั้งสิ้น ส่วนเหตุผลก็คือทะเลาะกัน
เจ้าพนักงานและผู้คุม กระทั่งคนของกรมอาญาต่างปวดเศียรเวียนเกล้า พวกเขาอยากควบคุมตัวหนุ่มหล่อผู้นี้ไว้ แต่กระนั้นความสามารถกลับไม่เอื้ออำนวย ทำให้ประชิดตัวเขาไม่ได้
ทว่าเขาเองก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี พอซัดเสร็จไปยกหนึ่งก็เลือกห้องขังแล้วนั่งลง จากนั้นก็ปล่อยให้พวกเขารีบสอบสวน กระทั่งศพแห้งกรังนั้นยังส่งมอบให้ด้วยความเต็มใจ
แต่ความตายเช่นไรถึงทำให้สภาพศพแห้งกรังได้ขนาดนี้ในระยะเวลาอันสั้น ถูกสูบเลือดเนื้อไปอย่างนั้นหรือ
อีกอย่างมีนักโทษคนใดที่หยิ่งยโสเท่าเขาบ้าง
ฉินหลิวซีเอ่ย “นี่เจ้าว่างมากไม่มีอะไรทำหรือไร เล่นสนุกพอแล้วก็กลับไปทำงาน มัวมาเสียเวลาอะไรอยู่ที่นี่”
“ไม่เคยมาเลยลองแวะมาดู” เฟิงซิวแบมือสองข้างทำทีเหมือนช่วยไม่ได้ “เจ้าหมาฮ่องเต้นั่นคิดจะหลอกเอาผลงานความทุ่มเทของพวกเราไป ถ้าไม่หาเรื่องสร้างความลำบากให้เขาบ้าง ใจของข้าคงไม่สงบ!”
“ให้มันน้อยๆ หน่อย” ฉินหลิวซีเอ่ยด้วยเสียงดูแคลน “สองปีนี้เขาคงใช้ชีวิตได้ไม่เป็นสุขนักหรอก ตอนนี้ยิ่งนอนเป็นผักอยู่บนเตียง ไม่มีสิ่งใดทรมานไปมากกว่านี้แล้ว”
ไม่มีฮ่องเต้องค์ใดทนเห็นตัวเองนอนเป็นอัมพาตบนเตียงได้ เปรียบเหมือนเสือแก่ที่ไร้เขี้ยวฟันและเฒ่าชรา มองอำนาจในมือค่อยๆ เลือนหายไป ซึ่งนี่ทุกข์ทรมานยิ่งกว่าตายไปแล้วเสียอีก
ฮ่องเต้คังอู่เองก็ไม่ต่างกัน
“กลับมาคุยเรื่องจริงจังก่อน เหยียนตงนั่นถูกคนสิงร่างจริงๆ หรือ”
เฟิงซิวพยักหน้าเอ่ย “ข้าตรวจดูดวงจิตแล้ว ช่องดวงจิตขอเขามีกลิ่นอายเศษซากดวงจิตสองดวง อันหนึ่งชั่วร้าย อันหนึ่งดี ในเมื่อเขาตายไปแล้วเลยไม่รู้ว่าเป็นฝีมือใคร”
“คงมีแต่คนที่กลัวว่าใต้หล้านี้จะไม่วุ่นวายนั่นแหละ” ฉินหลิวซีเอ่ยด้วยเสียงเย็นยะเยือก “เริ่มจากใช้ยาทำร้ายพระวรกายของฮ่องเต้คังอู่ก่อน จากนั้นก็ใช้ความฝันปลุกปั่นให้เขาไปทำพิธีบวงสรวง เขาอยากให้ฮ่องเต้หายไป ทำให้ใต้หล้านี้ตกอยู่ในความวุ่นวาย”
“หากเขาอยากฆ่าเจ้าหมาฮ่องเต้นั่นทิ้ง เหตุใดต้องทำให้มันยุ่งยากด้วย ฆ่าทิ้งโต้งๆ เลยไม่ได้หรือ”
ฉินหลิวซีส่ายหน้าเบาๆ “เขาเป็นถึงกษัตริย์ผู้ทรงอำนาจ ราชสกุลที่มีมังกรคอยปกปัก พลังมังกรคุ้มครองร่าง หากเขาลงมือโต้งๆ ผลกรรมย่อมมหาศาล ผลสะท้อนกลับเช่นนั้นเขาคงไม่อยากรับไว้ นอกจากนี้การกระทำของเขาอาจจะทำเพื่อถ่วงเวลาของเราด้วยก็ได้ บัดนี้เรื่องที่ชาวบ้านทำลายสำนักพุทธเต๋าได้เกิดขึ้นแล้ว เจ้าเองก็คงพอได้ยินมาบ้างแล้วกระมัง”
เฟิงซิวมุ่นคิ้ว “อืม สองสำนักพุทธเต๋าคงอกสั่นขวัญแขวนอย่างเลี่ยงไม่ได้”
พวกเขามีใจอยากช่วยกู้โลก แต่เหล่าราษฎรกลับไม่รู้เรื่องเลย ซ้ำยังหูเบาคอยกดข่มทำลาย ต่อให้เลือดเดือดพล่านก็เย็นชืดลงได้เหมือนกัน หากอ่อนแอหรือเห็นแก่ตัวสักหน่อยคาดว่าคงสะบัดมือทิ้งไม่ทำต่อแล้วกระมัง
ในเมื่อทุกอย่างที่พวกเขาทำล้วนเพื่อปวงประชาในใต้หล้า ทว่าเหล่าชาวบ้านกลับเพิกเฉยใส่พวกเขา เหมือนหมาป่าลืมคุณก็มิปาน ใครจะชอบใจบ้าง
หากไม่ชอบใจก็คงมองอย่างเย็นชาอยู่เฉยๆ มองผู้ที่อ่อนแอกำลังดิ้นรนอย่างทุกข์ยากในความสิ้นหวัง
พวกเขาสองคนคิดถึงจุดนี้โดยมิได้นัดหมาย พลันก็อดโพล่งขึ้นมาไม่ได้ว่า “บางทีนี่อาจจะเป็นสิ่งที่เขาอยากเห็น”
โจมตีจุดอ่อนของมนุษย์นั่นเอง
คาดว่าตอนนี้เขาคงแอบเย้ยหยันพวกเขาจากมุมลับๆ ดูสิ ผู้ผดุงความถูกต้องอย่างพวกเจ้าที่คิดอยากช่วยโลก บัดนี้เย็นชาและเฉยเมยเห็นแก่ตัว ยังคู่ควรให้เข้าร่วมด้วยอีกหรือ
“นักฝึกตน มีใครไม่ทุกข์ทรมานบ้าง ขอแค่ทุกการกระทำเป็นไปอย่างถูกต้องแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว” เสียงเบาหวิวของฉินหลิวซีดังแว่วมา “ทุกแผนการและกลอุบายล้วนไม่สามารถต้านทานต่อพลังที่แท้จริงได้ พวกเราแค่รับมือไปทีละสถานการณ์ก็พอ”
“เจ้าหมาฮ่องเต้นั่นอยากครอบครองร้านยาตำหนักอายุวัฒนะของพวกเรา ท่านจะให้ไปง่ายๆ เช่นนี้หรือ” เฟิงซิวเอ่ย “ให้ข้าไปแสดงต่อหน้าเจ้าหมาฮ่องเต้นั่นหรือไม่ว่าอะไรคือเจตนาฆ่าของจริง ข้าจะทำให้ตกใจตายไปเลย!”
ซึ่งเป็นการบอกเขาด้วยว่าหากคิดจะฆ่าเขาไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อม แต่สามารถจัดการได้โดยไม่ต้องให้สุ้มให้เสียงเลยสักนิด
ฉินหลิวซีเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์นัก “อย่าสร้างความวุ่นวายไปมากกว่านี้เลย ภัยพิบัติก็สร้างความวุ่นวายมากพอแล้ว ขุนนางในราชสำนักใกล้บ้าเต็มที หากใต้หล้าโกลาหลไปมากกว่านี้ คนที่ขมขื่นกลับจะเป็นพวกเรา ไปเถอะ ควรแหกคุกได้แล้ว!”
เฟิงซิวลุกขึ้นยืน ขบคิดพลางเอ่ย “แม้แต่สัตว์มงคลตรงตำหนักบวงสรวงแท่นบูชายังถูกร่ายคาถาชั่วร้าย หากสิ่งที่เหลืออยู่รับมือยากกว่าที่เราเคยหาเจอมา ควรจะทำอย่างไรต่อไปดี”
ซื่อหลัวบ้าคลั่งจนยากจะควบคุม เขาย่อมไม่สนใจประชาชนในใต้หล้า แต่พวกเขาแตกต่างกันออกไป หากสร้างดวงตาค่ายกลวางในจุดที่ยุ่งยากมากกว่านี้เล่า
อย่างเช่นถ้าทำลายดวงตาค่ายกลนี้ต้องฆ่าคนตายมากมาย แล้วพวกเขาจะยังทำลายต่อไปอีกหรือไม่
ฉินหลิวซีบีบกระดูกนิ้วมือข้างซ้ายของตนพลางหลุบตาลงต่ำ เอ่ยออกมาอย่างไม่ใส่ใจ “ยามเข้าตาจนจริงๆ เรื่องที่ไม่ควรทำก็ต้องทำ เจ้ารู้จักข้าดีว่าหากฆ่าคนคนเดียวเพื่อรักษาคนนับหมื่นได้ ข้าก็กล้าทำ”
ทันใดนั้นพวกเขาสองคนก็ได้ยินเสียงอึกทึกครึกโครมดังแว่วมา พอสบตากันแล้วก็หายวับจากคุกไป
เจ้าพนักงานที่เอาข้าวมาส่ง พลันกล่องข้าวในมือก็ร่วงตกลงพื้นเสียงดังตุ๊บ ก่อนจะกรีดร้องเสียงแหลม “แย่แล้ว นักโทษแหกคุก!”