คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1195 เสาหลัก เจ้าอย่าปอดแหกสิ
ตอนที่ 1195 เสาหลัก เจ้าอย่าปอดแหกสิ
ยามฟ้ารุ่งสาง
ขณะที่ฉินหลิวซีและเฟิงซิวยืนอยู่กลางอากาศ กำลังจับจ้องกลุ่มบัณฑิตที่นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงหน้าประตูวัง บวกกับเหล่าประชาชนด้านหลังที่กำลังก่นด่าด้วยอารมณ์เดือดพล่านว่ามารนักพรตใช้อาคมปลุกปั่นกษัตริย์ ขอให้พระองค์ทรงกำจัดขุนนางคนสนิทเพื่อลบล้างมลทินให้บ้านเมือง
“นี่เรียนหนังสือกันจนโง่ไปแล้วหรืออย่างไร อากาศหนาวขนาดนี้ แต่ดันมาประท้วงที่นี่” เฟิงซิวโมโหพลางหลุดขำ เอ่ยขึ้นว่า “หากมีพละกำลังและสติเช่นนี้ สู้ไปช่วยผู้ประสบภัยที่แท่นบูชาจะดีกว่า อาศัยแค่ปากด่าทอจะช่วยให้ใต้หล้าสงบสุขขึ้นหรือไร แต่ดูจากความสามารถของพวกบัณฑิตบ้าๆ นี้แล้ว เห็นทีคงร่ำเรียนมาเสียเปล่าจริงๆ”
ฉินหลิวซีเอ่ย “ขอแค่เกิดภัยพิบัติกับมนุษย์ ประจวบกับมีเป้าหมายโจมตีอย่างมหาราชครูอยู่ด้วย บวกกับมีคนคอยชี้นำด้วยเจตนา การยัดข้อหานี้ให้เขาก็เพื่อสร้างความสบายใจก็เท่านั้น”
เหล่าบัณฑิตมานั่งประท้วงกันอยู่หน้าประตูวังกลับไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ในประวัติศาสตร์หากมีสนมโปรดคนใดทำลายบ้านเมือง มักถูกประณามว่าเป็นนางปีศาจที่ทำให้บ้านเมืองล่มจมจึงพร้อมใจพากันคัดค้าน ในเมื่อมีคำพูดสวยหรูของมหาราชครู หากไม่สามารถสร้างยุคทองได้ตามคาดย่อมถูกครหาว่าเป็นมารนักพรตที่ทำให้บ้านเมืองพังพินาศเป็นธรรมดา
“ดูท่าทางคงเป็นมหาราชครูไม่ได้แล้ว อันตรายเกินไป!” ฉินหลิวซีจิ๊ปากที “โชคดีที่ข้าทูลฝ่าบาทไปว่าวาสนาสิ้นสุดกันแล้ว ชิงหนีเสียก่อน นับว่าข้ามองการณ์ไกลจริงๆ”
เฟิงซิว “…”
อยากรู้จริงๆ ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมานักพรตเฒ่าชื่อหยวนสอนท่านมาอย่างไร
เขามองบัณฑิตเบื้องล่างด้วยแววตาวาวโรจน์แล้วเอ่ย “จะลงมือหรือไม่”
“ไม่จำเป็นหรอก มีคนจากในวังมาแล้ว”
เฟิงซิวมองไป มีคนเดินมาจริงๆ ด้วย อีกทั้งคนที่มายังเป็นคนคุ้นเคยกัน เขาก็คือขุนนางหน้าเงินอย่างชุยซื่อเสวีย กรมครัวเรือนนั่นเอง
ชุยซื่อเสวียนำสาสน์พระราชโองการมาด้วย จากนั้นก็เอ่ยว่ามหาราชครูได้รับบาดเจ็บหนักเพราะช่วยฝ่าบาทไว้ขณะที่เกิดเหตุแผ่นดินไหวจึงล่วงลับไปแล้ว
ฉินหลิวซี “…”
น่าสนใจ ในที่สุดก็มีเรื่องขบขันที่ทำให้เขาหัวเราะออกมาได้ในช่วงเวลาที่ชวนให้รู้สึกอัดอั้นตันใจเช่นนี้
ฉินหลิวซีจับจ้องเขาด้วยท่าทีเย็นชา อยากตายหรือ
ชั่วพริบตาเดียวทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบ มีคนบอกว่ามหาราชครูตายแล้ว แต่ใครจะรู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือโกหก บางทีอาจเป็นการปลอบขวัญพวกเขาถึงจงใจสร้างเรื่องโกหกขึ้นมาก็ได้
“พวกเจ้าบังอาจกล่าวหาว่าพระราชโองการเป็นคำโกหกหรือ ในใจของพวกเจ้าดีแต่ครหากันไปโดยไร้หลักฐาน” ชุยซื่อเสวีย แหวเสียงสูง “บ้านเมืองกำลังเผชิญกับความลำบาก ในฐานะบัณฑิตนอกจากจะช่วยแบ่งเบาภาระบ้านเมืองไม่ได้แล้ว แต่กลับเป็นแกนนำมาประท้วงสร้างความวุ่นวาย ใครสอนพวกเจ้าหรือ หากมีเวลาว่างนัก สู้เอาเวลาไปช่วยแบกอิฐแบกปูนที่แท่นบูชาจะดีกว่า ทำความสะอาดล้างดินโคลน ยกร่างผู้เสียชีวิต นี่ต่างหากถึงจะสร้างคุณงามความดีมหาศาล มัวมานั่งพูดจาไร้สาระเช่นนี้ก็ไม่ได้ช่วยให้ต้าเฟิงดีขึ้นมาหรอก”
เหล่าบัณฑิตใบหน้าร้อนผ่าว พวกเขาจะไปทำเรื่องพวกนั้นได้อย่างไร ในเมื่อพวกเขามีมือไว้ถือพู่กันเท่านั้น
เฟิงซิวเลิกคิ้วเอ่ย “สกุลชุยนี่ก็ไม่เลว ดุดันปากร้ายพอตัว”
“เกิดในตระกูลใหญ่ ไม่รู้ว่าต้องเสียทรัพยากรมากมายเท่าไรกว่าจะปลูกฝังมาได้ขนาดนี้ หากไม่มีความสามารถจริงๆ ก็คงไม่ได้นั่งตำแหน่งนี้ตอนอายุเท่านี้หรอก” ฉินหลิวซีเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความชื่นชม
มีคนอ้างขึ้นประโยคหนึ่งอย่างไม่กลัวตายว่าพวกเขาคือเสาหลักบ้านเมืองในวันข้างหน้า บอกว่านี่ไม่ใช่การสร้างความวุ่นวาย แต่ขอพระองค์ทรงให้ความกระจ่างโดยกำจัดคนสนิทข้างกาย
“เอ๊ะ เสาหลักของบ้านเมืองในวันข้างหน้าอย่างเจ้า ขอถามหน่อยเถอะว่าเจ้าอายุเท่าใดหรือ ตอนนี้สร้างความดีความชอบใดบ้าง ดูจากชุดบัณฑิตที่เจ้าสวม ระดับจวี่เหริน ยังสอบไม่ติดเลยกระมัง กล้าบอกว่าตนเป็นเสาหลักด้วยหรือ มาๆ เจ้ามานี่ ข้าจะพาเจ้าไปเข้าเฝ้า เจ้าไปขอพระองค์ทรงให้ความกระจ่างต่อหน้าพระพักตร์เองเลย อย่าสิ จะหนีไปไหนเล่า เจ้าเสาหลักอย่าเพิ่งปอดแหก ตามข้าไปเข้าเฝ้าพระองค์สิ!”
ชุยซื่อเสวียมองเจ้าเด็กคนนั้นเดินร่นถอยไปด้านหลังเรื่อยๆ ก่อนจะหันไปมองทุกคน “พวกเจ้าเองก็เหมือนกัน หากมีเรื่องใดที่ยังไม่กระจ่างก็คิดตอนนี้เลย ท่องจำให้ขึ้นใจ มิเช่นนั้นข้ากลัวว่าพวกเจ้าจะไปตะกุกตะกักต่อหน้าพระพักตร์ กระทั่งแม้แต่ชื่อตัวเองก็ยังบอกไม่ชัดเจนด้วยซ้ำ”
พลันก็ตกอยู่ในความเงียบ
เฟิงซิวหัวเราะร่า แสบ ช่างแสบนัก!
ฉินหลิวซีเองก็แฝงรอยยิ้มในแววตา
“มีใครอยากขอความกระจ่างจากพระองค์อีกหรือไม่ เดินมาแจ้งลงชื่อกับข้าได้เลย บัดนี้เซิ่งจิงเกิดแผ่นดินไหว มีชาวบ้านมากมายไม่มีบ้านให้กลับ บ้านเมืองตกอยู่ในความลำบาก เป็นช่วงเวลาที่เสาหลักบ้านเมืองอย่างพวกเจ้าต้องออกแรงแล้ว ไม่สิ คนอ่อนแออย่างพวกเจ้าคงออกแรงไม่ไหว เช่นนั้นออกเงินก็พอแล้ว แค่หมื่นตำลึง ไม่ต้องถึงสองหมื่นสามหมื่นหรอก ขอแค่ช่วยกันออกคนละหมื่นตำลึงก็พอ ข้าจะพาเจ้าไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทเลย ให้โอกาสพวกเจ้าได้แสดงความสามารถต่อหน้าพระพักตร์! หากพลาดโอกาสครั้งนี้ไปก็คงไม่มีแล้ว มาเร็วเข้า”
ชุยซื่อเสวียส่งสายตาให้ข้าหลวงข้างกายตนก่อนที่เขาจะรีบหยิบสมุดกับพู่กันขึ้นมาในทันที จากนั้นก็เดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ที่ไม่รู้ว่าถูกยกมาวางตั้งแต่เมื่อไร ตะโกนขึ้นว่า “โอกาสมีแค่ครั้งเดียว ใครอยากลงชื่อรีบเร่เข้ามาเลย”
สถานการณ์เงียบกริบราวกับเข็มตกพื้นยังได้ยินเสียงก็มิปาน
สายตาของเหล่าบัณฑิตที่มองไปทางชุยซื่อเสวียราวกับเห็นผีอย่างไรอย่างนั้น น่ากลัว ช่างน่ากลัวเหลือเกิน
วิธีการหาเงินที่แปลกใหม่และไม่ธรรมดาเช่นนี้ ตกลงใครเป็นคนสอนเขากันหรือ
“สุดยอด!” เฟิงซิวหัวเราะตัวโยน ตบหน้าขาแล้วเอ่ย “ฉายาคนหน้าเงินแห่งกรมครัวเรือน สมกับเขาจริงๆ เขาช่ำชองการหาเงินสุดๆ แม้แต่พระที่เดินผ่านยังต้องถูกเขาดึงผมไปสักเส้นเลย!”
ฉินหลิวซีเอ่ย “ดูท่าทางกรมครัวเรือนคงไม่มีเงินจริงๆ”
บีบบังคับให้ชุยซื่อเสวียไม่ปล่อยโอกาสในการหาเงินไปแม้แต่วิธีเดียวเช่นนี้ เห็นทีท้องพระคลังคงว่างเปล่า
ครั้นชุยซื่อเสวียเห็นว่าไม่มีใครก้าวขึ้นมาก็อดเอ่ยเสียงเย็นชาไม่ได้ว่า “ทำไมเล่า ไม่มีใครอยากลงชื่อเลยหรือ ขี้ขลาดหรือไม่มีเงินกันแน่ ขอเงินก็ไม่มีให้ ขอแรงพวกเจ้าก็ให้ไม่ได้ ยังมีหน้ามาบอกว่าเป็นเสาหลักของบ้านเมือง แต่พวกเจ้าดีแต่มานั่งพูดจาเพ้อเจ้อเหลวไหลว่ามีความจงรักภักดีต่อบ้านเมืองอยู่ตรงนี้ ถุย ข้าจะบอกพวกเจ้าให้ หากอยากแสดงความจงรักภักดีละก็ มีแค่สามทางเท่านั้น”
เขารุดขึ้นมาหนึ่งก้าว มือทั้งสองข้างไพล่ไว้ด้านหลัง “ทางแรกออกแรง หากที่ใดเกิดภัย พวกเจ้าก็เดินมุ่งหน้าไปทางนั้น ช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่ได้รับความลำบาก ทางที่สอง ออกรบทำศึกสงคราม ถึงแม้จะสู้ไม่ได้ คอยดูแลผู้บาดเจ็บอยู่เบื้องหลังก็ยังดี ทางที่สามมีเงินทองมากมาย กรมครัวเรือนของพวกเราอยากได้เท่าไรก็มีให้เท่านั้น หากพวกเจ้าเลือกสามทางนี้ไม่ได้สักทาง เช่นนั้นมาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเลย อย่ามารวมตัวกันก่อความวุ่นวายดีแต่ใช้ปาก ขุนนางในราชสำนักอย่างพวกข้ามีเรื่องต้องทำอีกมากมาย ไม่มีเวลามาสนใจพวกเจ้าหรอก”
ชุยซื่อเสวียเอ่ย “มีใครไม่พอใจคำพูดของข้าหรือไม่ มาลงชื่อระบายความแค้นกับข้าได้เลย”
หากใครลงชื่อ ข้ารับประกันว่าอนาคตของเจ้าดับมืดแน่!
“อ้อ ผืนดินตรงนี้เมื่อครู่ถูกกรมครัวเรือนกำหนดไว้แล้วว่าจะใช้ทำงาน หรือกล่าวได้ว่าพื้นที่ใต้ก้นของพวกเจ้าก็คือพื้นที่ของกรมครัวเรือน หากบัดนี้พวกเจ้าจะยึดครองก็ย่อมได้ เอาเงินมา คนละสิบตำลึง นั่งเงียบๆ ได้เลยหนึ่งวัน หรือจะนั่งกรรมฐานสำนึกผิดก็ได้เช่นกัน” ชุยซื่อเสวียเอ่ยเสียงเรียบ “ตอนนี้จะให้เวลาพวกเจ้าครึ่งเค่อ ถ้าไม่ไสหัวไปก็เอาเงินมา!”
เงียบ เงียบเป็นเป่าสาก
กา กา กา
ทันใดนั้นก็มีอีกาตัวหนึ่งโฉบลงมาเหนือศีรษะทุกคนจากกลางอากาศ ก่อนจะเปล่งเสียงร้องกาๆ
ฉินหลิวซีเหลือบมองเฟิงซิวแวบหนึ่ง ดีแต่ชอบหาเรื่อง
เฟิงซิวยิ้มตาหยี “ข้าแค่เพิ่มบทให้เขาหน่อยก็เท่านั้น”
บัณฑิตวัยกลางคนหนึ่งในนั้นลุกขึ้นยืน บุคลิกดูซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา แหวเสียงสูงว่า “ใต้เท้าไม่ต้องไล่หรอก ข้าจะไปช่วยผู้ประสบภัยที่แท่นบูชาเดี๋ยวนี้แหละ”
โธ่เอ้ย คนหน้าเงินสกุลชุยกรมครัวเรือนผู้นี้เรียกว่าอันธพาลคงเหมาะกว่า ถ้าไม่ไปแล้วจะรอถึงเมื่อไร ให้เงินหรือ หากมีเงินสิบตำลึง สู้เอาเงินไปซื้อเสื้อผ้าหนาๆ ใช้หน้าหนาวไม่ดีกว่าหรือ
“สหายหลิน รอข้าเดี๋ยว”
มีคนเดินไล่ตามเขาไป
พอมีคนลุกหนึ่งคน คนมากมายก็ทยอยไล่ตามไป ไม่นานหน้าวังก็เหลือเพียงความว่างเปล่า
ชุยซื่อเสวียถอดถอนหายใจด้วยอารมณ์หดหู่อย่างปิดไม่มิด “แม้แต่เงินสิบตำลึงยังหามาไม่ได้ ช่างน่าเศร้าใจนัก!”
ฉินหลิวซีล้วงหยิบถุงเงินขึ้นมาจากกระเป๋าก่อนโยนไปให้ชุยซื่อเสวีย ในเมื่อดูเรื่องสนุกๆ แล้ว คงต้องให้เงินตบรางวัลบ้างกระมัง
ชุยซื่อเสวียมองเงินที่ปรากฏขึ้นในมือจากความว่างเปล่า พลันผงะไปครู่หนึ่งก่อนสองดวงตาจะเปล่งประกาย “ท่านอาจารย์ เป็นท่านหรือ”