คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1197 ข้ามาเพื่อฆ่าเทพ
ตอนที่ 1197 ข้ามาเพื่อฆ่าเทพ
เพราะขึ้นชื่อว่าเป็นบ่อน้ำประทานบุตร หมู่บ้านบ่อน้ำโบราณจึงตั้งชื่อนี้ไปโดยปริยาย บัดนี้ในหมู่บ้านมีประชากรสองร้อยกว่าคน ทว่ามีหญิงชราเพียงน้อยนิด หากไม่ใช่เด็กสาวก็เป็นหญิงวัยเจริญพันธุ์ อีกทั้งพวกนางกลับไม่ได้ดูอ่อนเยาว์สดใสตามวัย แต่กลับดูโรยราทรุดโทรม
ทุกคนในหมู่บ้านนี้ล้วนท้องป่องเล็กน้อย ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ หน้าท้องจะยื่นออกมาเหมือนท้องของกบก็มิปาน
ขณะที่ฉินหลิวซีและซือเหลิ่งเย่ว์เดินเข้าหมู่บ้านมาก็สัมผัสได้ถึงพลังหยินอันแรงกล้า นางชะงักฝีเท้าเล็กน้อย เตะปลายเท้าขึ้นไปกลางอากาศแล้วกวาดตาสำรวจจากมุมบน หลังจากใช้ข้อนิ้วลองตรวจคำนวณดูแล้วถึงแตะปลายเท้าจรดพื้น
“ภูมิศาสตร์ของหมู่บ้านนี้แบกพลังหยินไว้ ป้ายชื่อหมู่บ้านติดในตำแหน่งตะวันออกเฉียงเหนือ ตามฮวงจุ้ยแล้วเรียกว่าประตูผี ซุ้มประตูตั้งอยู่หน้าประตูผี เปรียบเสมือนการเปิดประตูนรกเพื่อเรียกสิ่งชั่วร้ายเข้ามา ดังนั้นหมู่บ้านนี้จึงรายล้อมไปด้วยพลังหยิน เกิดความไม่สมดุลระหว่างหยินและหยาง และกลายเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยพลังหยินเข้มข้น” ฉินหลิวซีเอ่ยต่อ “ต่อให้ไม่มีเจ้าตัวกาฝากนั่น แต่หากอาศัยอยู่ที่นี่นานวันเข้า กลับจะมีแต่ความซวยรุมเร้า อายุขัยสั้นลง ส่งผลต่อดวงชะตาบุตร กระทั่งไร้บุตรหรือเป็นบุตรที่มีโรคภัยรุมเร้า ไม่ช้าก็เร็วต้องกลายเป็นผีเฝ้าหมู่บ้านอยู่ดี”
ด้วยพลังหยินเข้มข้นนี้ก็ถือว่าเป็นแหล่งหล่อหลอมพลังชั่วร้ายชั้นยอดแล้ว
ซือเหลิ่งเย่ว์เอ่ย “แต่ถึงแม้ในหมู่บ้านจะมีพลังหยินหนาแน่น แต่ข้ากลับไม่เห็นสิ่งชั่วร้ายใดเลย”
“หากไม่ใช่เพราะเกรงกลัวพลังที่เหนือกว่ากลืนกินมันเข้าไป มิเช่นนั้นแหล่งหล่อเลี้ยงดวงวิญญาณร้ายชั้นดีเช่นนี้ พวกมันไม่มีทางพลาดแน่นอน” ฉินหลิวซีเอ่ย
วิญญาณชั่วร้ายชื่นชอบพลังหยิน และเต็มใจอาศัยเป็นกาฝากอยู่ในวัตถุที่มีคุณสมบัติหยินอย่างไม้หยินมาหล่อเลี้ยงดวงวิญญาณ แต่หากพวกมันเลือกที่จะหลบหลีกก็คงเพราะมีพลังที่แข็งแกร่งกว่าพวกอยู่
มนุษย์เราแสวงหาโชคลาภ หลีกเลี่ยงโชคร้าย ผีเองก็ไม่ต่างกัน
ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ไม่ว่าจะอยู่ในห่วงโซ่อาหารใดล้วนมีจุดร่วมกันทั้งสิ้น
พวกนางทั้งสองยืนอยู่ซุ้มประตูหมู่บ้าน ไม่นานก็เรียกความสนใจจากพวกชาวบ้านได้ พวกเขากวาดตามองพวกนางอย่างไร้มารยาท ราวกับประเมินสอดส่องว่าหญิงงามดุจเทพธิดาเช่นนี้มาทำอะไรที่นี่
“พวกเจ้าเป็นใคร มาหมู่บ้านบ่อน้ำโบราณของพวกข้าด้วยเรื่องใดหรือ” บุรุษที่ดูจากกระดูกอายุไม่น่าเกินสามสิบ แต่ใบหน้ากลับปาไปห้าสิบแล้วกำลังใช้สายตาแทะลมนางประเจิดประเจ้อ นัยน์ตาคู่นั้นฉายแววหิวกระหายและหื่นกามอย่างปิดไม่มิด
ฉินหลิวซีกวาดตามองแวบหนึ่ง ผู้คนที่นี่ส่วนใหญ่พุงป่อง โดยเฉพาะสตรีจะมีใบหน้าเหี่ยวย่น ซีดขาวบวมช้ำ แววตาไร้ชีวิตชีวา แต่หากมองอย่างละเอียดจะเห็นเหมือนมีบางสิ่งเคลื่อนไหวผ่านดวงตาของพวกนาง
พวกนางจูงมือเด็กด้วยสีหน้าด้านชา แน่นิ่งไร้อารมณ์ใดราวกับน้ำนิ่ง เหมือนไม่ให้ความสนใจต่อเรื่องใดทั้งสิ้น
“พวกเรามาดูบ่อน้ำโบราณ”
“พวกเจ้ามาขอดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์หรือ” บุรุษผู้นั้นเลิกคิ้วก่อนเลื่อนสายตาไปจับจ้องหน้าท้องของพวกนาง แววตายิ่งแสดงท่าทีหยาบโลน
ซือเหลิ่งเย่ว์เผยสายตาเย็นยะเยือก เพียงพลิกข้อมือ พลังเวทสีขาวเส้นบางราวผลึกใสพลันถูกปล่อยออกมาจากมือของนางแล้วพันรอบตัวบุรุษผู้นั้นไว้
บุรุษเปล่งเสียงร้องโอดครวญ กุมท้องพลางเกลือกกลิ้งไปมาอยู่บนพื้น
ชาวบ้านบ่อน้ำโบราณเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกะทันหันเช่นนั้นก็พากันตกใจ
ฉินหลิวซีเอ่ยกับซือเหลิ่งเย่ว์ว่า “หากเอาแมลงกู่ออกมาจากร่างกายของพวกเขาจะเป็นอย่างไรหรือ”
“น่าจะตายเลย” ขณะที่ซือเหลิ่งเย่ว์หมายลงมือ ฉินหลิวซีก็โพล่งขึ้นว่า “อย่าเพิ่ง มีคนมาแล้ว”
ซือเหลิ่งเย่ว์มองไป จากนั้นก็เห็นชาวบ้านกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมกับอุปกรณ์ทำไร่ทำนาในมือจริงๆ
แกนนำหนึ่งในนั้นเป็นชายผู้เฒ่าเส้นผมขาวโพลน ถึงแม้ท้องของเขาจะป่อง ทว่าสีหน้ากลับไม่ได้ขาวซีดบวมช้ำ แต่กลับแดงมีเลือดฝาด อีกทั้งสองดวงตายังฉายแววเฉลียวฉลาดอีกด้วย
ชาวบ้านเรียกเขาว่าผู้ใหญ่บ้าน
สายตาของฉินหลิวซีเย็นยะเยือก ซือเหลิ่งเย่ว์มุ่นคิ้วทั้งสองข้าง ไอโลหิตบนร่างของคนผู้นี้เข้มข้น กลิ่นอายยุ่งเหยิงและร้ายกาจ เขาแปดเปื้อนบาปจากการเข่นฆ่าไม่น้อย
ผู้ใหญ่บ้านมองบุรุษที่เกลือกกลิ้งดิ้นพล่านไปมาบนพื้นพลางถามว่า “จู้จื่อเป็นอะไรไป”
“ไม่รู้สิ จู่ๆ ก็เป็นแบบนี้” ถึงแม้จะไม่เข้าใจแต่กลับไม่แสดงทีท่าเป็นกังวลนัก ไม่รู้ว่าชินชาเพราะเห็นเป็นเรื่องปกติหรือนิสัยเย็นยะเยือกจนด้านชาไปหมดแล้ว
“พาเขาออกไปแล้วให้ดื่มน้ำ” ผู้ใหญ่บ้านมุ่นคิ้วพลางเอ่ยขึ้นประโยคหนึ่ง ก่อนจะมองพวกฉินหลิวซี เอ่ย “ไม่รู้ว่าแม่นางทั้งสองมาหมู่บ้านบ่อน้ำโบราณด้วยเรื่องใดหรือ”
ฉินหลิวซีมองเขาแล้วเอ่ย “พาพวกเราไปที่บ่อน้ำโบราณ”
“ข้า…ได้ แม่นางทั้งสองตามข้ามา พวกเจ้าแยกย้ายเถิด” ผู้ใหญ่บ้านหมุนตัวเดินนำไปข้างหน้าด้วยท่าทีเอื่อยเฉื่อย ทำเอาคนตรงนั้นต่างพากันงงงัน
ซือเหลิ่งเย่ว์มองไปทางฉินหลิวซีพลางเลิกคิ้ว เจ้าทำอะไรลงไป
“เวลามีค่า คร้านจะเสียน้ำลายกับพวกเขา” ฉินหลิวซีเอ่ยเสียงเย็นเฉียบ
คนที่มีบาปเข่นฆ่าทั้งร่างเช่นนี้ หากนางร่ายคาถาหุ่นเชิดใส่ก็ไม่รู้สึกละอายใจอะไรเลยสักนิด
ฉินหลิวซีถามผู้ใหญ่บ้าน “พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าในบ่อน้ำนั้นมีอะไร”
“เทพ เป็นเทพแห่งบ่อน้ำ” ผู้ใหญ่บ้านตอบกลับด้วยท่าทีตื่นเต้น “เทพในบ่อน้ำของหมู่บ้านพวกเรามีความศักดิ์สิทธิ์ เขาจะช่วยปกปักให้หมู่บ้านเรามีฝนฟ้าต้องตามฤดูกาล ผู้คนเจริญรุ่งเรือง ปราศจากภัยพิบัติและโรคภัยไข้เจ็บก็ไม่มาแผ้วพาน”
“อย่างนั้นหรือ แล้วเหตุใดคนในหมู่บ้านของพวกเจ้าถึงมีไม่กี่คนที่อายุถึงสี่สิบ โดยเฉพาะสตรี ซึ่งมีไม่กี่คนที่มีชีวิตถึงอายุสี่สิบขึ้นไป” ฉินหลิวซียิ้มเย็นชา “แถมการตายของพวกเขาก็เหมือนกัน เจ้ามั่นใจหรือว่าเทพแห่งบ่อน้ำนั่นช่วยปกปักคุ้มครองเจ้าอยู่หรือ”
สองดวงตาของผู้ใหญ่บ้านแดงก่ำ มองนางพร้อมเอ่ย “เจ้าจะไปเข้าใจอะไร นั่นเป็นเพราะพวกเขาลบหลู่เทพ ไม่ได้เซ่นไหว้บูชาด้วยความจริงใจต่างหาก”
“เซ่นไหว้ด้วยสิ่งใดหรือ” ซือเหลิ่งเย่ว์เอ่ยถาม
ผู้ใหญ่บ้านแววตาวูบไหว อ้ำๆ อึ้งๆ โดยไม่พูดอะไร
“คงเป็นเด็กสาวที่เพิ่งมีประจำเดือนกระมัง” นางมองเห็นคำด่าทอของเด็กสาวที่ทิ้งร่องรอยไว้บนร่างของผู้ใหญ่บ้าน
ผู้ใหญ่บ้านเอ่ย “ได้อยู่รับใช้เทพแห่งบ่อน้ำ นับว่าเป็นบุญของพวกนาง…อ๊าก”
พลังเวทของซือเหลิ่งเย่ว์พันรอบคอของของ พลังเวทที่คนทั่วไปมองไม่เห็นแปรเปลี่ยนเป็นเส้นด้ายเรียวเล็กบีบรัดคอทีละนิด ทำเอาสองดวงตาของเขาถลนปลิ้นออกมา ลิ้นจุกอยู่ที่ปาก ใบหน้าอมม่วงขึ้นเรื่อยๆ
ดวงหน้าสะสวยงดงามของนางเต็มไปด้วยความเย็นชา เอ่ยเสียงเย็นเฉียบ “บุญหรือ หากมอบบุญนี้ให้เจ้าจะเป็นอย่างไรเล่า”
“แค่กๆ” ผู้ใหญ่บ้านกุมคอ ทว่าบนคอกลับว่างเปล่า เขาคว้าจับสิ่งใดไม่ได้เลย ในทางกลับกันลำคอกลับมีเลือดไหลซึมออกมา กระทั่งเนื้อยุ่ยไหลออกมาเป็นสาย
ฉินหลิวซีแตะมือของนาง
ซือเหลิ่งเย่ว์ถึงเก็บพลังเวทกลับไป ทว่ายังมองผู้ใหญ่บ้านด้วยสายตาคมกริบเช่นเดิม
หลังจากผู้ใหญ่บ้านเป็นอิสระ เขาก็สูดลมเข้าปอดเฮือกใหญ่ แววตาที่สาดมองมาทางพวกนางแฝงด้วยความหวาดกลัว เอ่ยขึ้นว่า “เทพแห่งบ่อน้ำต้องลงโทษพวกเจ้าแน่นอน”
ผู้ใหญ่บ้านรูม่านตาหดลง ร่างสั่นเทาเล็กน้อย “ไม่ ห้ามเด็ดขาด”
ฉินหลิวซีมองเห็นปากบ่อน้ำที่ถูกก่อด้วยอิฐ
ตะวันบนท้องฟ้าเริ่มคล้อยไปทางทิศตะวันตก แสงอาทิตย์ส่องไม่ถึงบริเวณนี้ พื้นที่เว้าต่ำลงทำให้ที่นี่เต็มไปด้วยพลังหยินหนาแน่น ราวกับก้าวเข้าสู่ดินแดนน้ำแข็งก็มิปาน โดยเฉพาะบริเวณปากบ่อ ในนั้นแผ่ไอหมอกสีดำหนาทึบออกมา พลังหยินชั่วร้ายเข้มข้นถึงขีดสุด
ซือเหลิ่งเย่ว์เอ่ยด้วยท่าทีสะอิดสะเอียน “ดูจากพลังหยินหนาวเหน็บเข้มข้นนี้แล้ว นี่ยังจะเป็นบ่อน้ำประทานบุตรที่มีความศักดิ์สิทธิ์และมีรสชาติหวานได้อย่างไร ดื่มอึกเดียวไอเย็นก็แทรกเข้ากระดูกแล้วกระมัง แม้จะตั้งครรภ์ แต่เด็กที่เกิดมาคงบกพร่องแต่กำเนิด อีกทั้งมีรังสีเคียดแค้นติดตัวมาด้วย”
“เช่นนั้นก็สมปรารถนาของแม่กู่แล้วมิใช่หรือ” ฉินหลิวซีแค่นเสียงเย็นชา
พวกนางเดินรุดหน้าเข้าไปก่อนจะสบตากัน
กู่หนอนไหมทองของฉินหลิวซีกระโดดออกมาพร้อมกลิ่นอายพวยพุ่ง เพราะสัมผัสได้ถึงภัยคุกคามในแบบเดียวกันนั่นเอง
ซือเหลิ่งเย่ว์ก็เช่นกัน ปลายนิ้วแตะเบาๆ ที่ตุ่มนูนบนหลังมือ
“หยุดนะ พวกเจ้าห้ามเข้าไปใกล้” สองดวงตาของผู้ใหญ่บ้านแดงดุจโลหิต มีแมลงคล้ายเส้นฝอยทะลักเข้ามา พลางจับจ้องพวกนางหมายเขมือบ
สวบ นัยน์ตาของฉินหลิวซีเย็นยะเยือก สะบัดฝ่ามือก่อนที่จะเหวี่ยงร่างของเขากระเด็นไกลออกไป
ผู้ใหญ่บ้านกระอักเลือดออกมา พอเม้มริมฝีปาก เสียงทุ้มคำรามก็ดังออกมาจากปากของเขา
ฉินหลิวซีจิกปลายเท้าลงพื้น พลางล้วงหยิบยันต์วิญญาณและหินหยกออกมาจากกระเป๋าเฉียนคุน สะบัดมือก่อนโยนยันต์วิญญาณและหินหยกกระจายไปตามตำแหน่งที่เหมาะสม หมุนร่างพร้อมทำมือร่ายคาถาแล้วกระทืบเท้าลงพื้นเอ่ย “สร้างค่าย”
พลังวิญญาณไหลเวียน ประกายแสงสีทองหายวับไป ค่ายอาคมไร้รูปร่างก็ล้อมบริเวณบ่อน้ำโบราณนี้ไว้ ซึ่งทำให้บุกเข้าไปโดยพลการไม่ได้
เวลานี้พวกนางถึงเดินไปทางบ่อน้ำโบราณ ยิ่งขยับเข้าไปใกล้ก็ยิ่งมีไอเย็นพลังหยินแทรกเข้ากระดูก ฉินหลิวซีพกไฟนรกติดตัว ทันทีที่พลังหยินสัมผัสร่างกายนางก็จะถูกปัดเป่าหายไปเอง
ส่วนซือเหลิ่งเย่ว์ ไม่รู้ว่านางใช้เวทอาคมใด เพราะพลังหยินลอยวกอ้อมผ่านร่างของนางไปเลย
ฉินหลิวซีมองไปทางบ่อน้ำแวบหนึ่งแล้วเอ่ย “ไม่สิ นี่มันบ่อน้ำสะกดวิญญาณชัดๆ”
เดิมทีบ่อน้ำก็เต็มไปด้วยพลังหยินอยู่แล้ว อีกทั้งเชื่อมต่อกับโลกมหาอเวจีนรกได้ กระทั่งใช้เวทมนตร์หรือคาถากักขังและกดขี่วิญญาณไว้ในบ่อเพื่อไม่ให้หนีออกไปหรือไปเกิดใหม่ บ่อน้ำตรงหน้านี้เป็นทรงแปดเหลี่ยม ไม่แน่ใจว่าถูกสร้างขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้เด็กตกลงไปหรือมีจุดประสงค์อื่นกันแน่ รอบบ่อถูกก่อด้วยอิฐสูงประมาณครึ่งตัวคน และบนหินยังสลักอักขระที่ดูขลังและซับซ้อนไว้ด้วย
“นี่เป็นอักขระศาสตร์พ่อมด นั่นเป็นสัญลักษณ์ใบหน้ามนุษย์ ความจริงดูๆ แล้วรู้สึกลึกลับไม่เป็นมงคลเอาเสียเลย ไม่รู้ว่าเหตุใดพวกเขาถึงเห็นมันเป็นสัตว์เทพนะ” ซือเหลิ่งเย่ว์เอือมระอาอยู่บ้าง
“มนุษย์มีความศรัทธา เพียงแต่พวกเขาไม่รู้ว่าสิ่งที่พวกเขาศรัทธาเป็นเทพหรือผี หรือกระทั่งแมลงกู่!” ฉินหลิวซีเอ่ย “แล้วหินรูปสัตว์ประหลาดนั่นเล่า”
ซือเหลิ่งเย่ว์ยู่ปาก “อยู่ในบ่อ”
ฉินหลิวซีรุดขึ้นหน้าชะเง้อมอง จากนั้นถึงค้นพบว่าตัวบ่อที่ก่อด้วยอิฐมีบางสิ่งซ่อนอยู่ มันถูกสร้างให้ใหญ่กว่าปากบ่อ พร้อมเอาหินรูปสัตว์ตัวหนึ่งผนึกล้อมไว้ด้านใน
หินรูปสัตว์ตัวนั้นลักษณะคล้ายเสือแต่กลับมีขนยาวเหมือนสิงโต หางสั้นมาก สี่ขาหมอบลงพื้นราวกับกำลังเฝ้าปากบ่อน้ำก็มิปาน อีกทั้งบนร่างของมันยังใช้พลังเต๋าสลักอักขระไว้ด้วย
ฉินหลิวซีวาดเรียวนิ้วไปตามอักขระยันต์นั้นลงกลางอากาศ กระทั่งเกือบเขียนเสร็จนางถึงหยุดมือแล้วเอ่ยว่า “เป็นอาคมเรียกพลังชั่วร้ายมาหล่อเลี้ยงดวงวิญญาณ”
ซือเหลิ่งเย่ว์ตกใจ “แต่นี่เป็นบ่อน้ำสะกดดวงวิญญาณ ทว่าบนร่างของหินรูปสัตว์ประหลาดกลับสลักยันต์หล่อเลี้ยงดวงวิญญาณ เพื่ออะไรหรือ”
“บ่อนี้น่าจะสะกดดวงวิญญาณของใครไว้ แต่ซื่อหลัวเอามันมาใช้ในทางที่ไม่ดี ลงยันต์หล่อเลี้ยงดวงวิญญาณของมันไว้บนตัวหินรูปสัตว์” ฉินหลิวซีมองกู่หนอนไหมทองที่แสดงท่าทีจิตใจว้าวุ่นพลางเอ่ย “เจ้าแน่ใจนะว่ามีเทพกู่อยู่ด้านใน”
ซือเหลิ่งเย่ว์พยักหน้า “ข้ามั่นใจ เป็นกู่ที่มีพละกำลังแข็งแกร่งมากเชียวล่ะ”
“หรือไม่ใช่บ่อน้ำสะกดวิญญาณ แต่ความจริงเป็นวิญญาณของกู่กันแน่นะ” ฉินหลิวซีเอ่ย “หลังจากแมลงกู่ตายแล้วจะมีวิญญาณหรือไม่”
“หากถือตามกู่ประจำตัวมักจะเชื่อมโยงกับความเป็นความตายของอาจารย์ หากร่างของอาจารย์ตายแล้วพลังแข็งแกร่งมากพอ วิญญาณเดิมก็จะหลอมเข้ากับวิญญาณของกู่แล้วอาศัยการพึ่งพิงกลับมาฟื้นคืนชีพใหม่” ซือเหลิ่งเย่ว์เอ่ย “แมลงทุกชนิดล้วนเป็นกู่ได้ แมลงทั่วไปที่อยู่ในน้ำ หากวิญญาณกู่เข้าสิงร่างของมัน และแมลงตัวนั้นอาศัยร่างมนุษย์เป็นที่พักพิง วิญญาณกู่ก็จะพบร่างอาศัยที่เหมาะสมที่สุด เมื่อได้รับการเลี้ยงดูจนแข็งแกร่งพอแล้วก็จะสามารถใช้ร่างนั้นฟื้นคืนชีพได้”
ฉินหลิวซีมองกู่หนอนไหมทอง หรือจะฆ่าเจ้าให้ตายดี เพื่อเลี่ยงไม่ให้เป็นภัยถูกเลี้ยงกลายเป็นกู่ร้าย
มันโมโหเข้าแล้ว
ไม่สิ ทุกคนต่างสร้างปฏิสัมพันธ์มาอย่างยาวนาน มนุษย์กับกู่มีความไว้เนื้อเชื่อใจกันบ้างหรือไม่
อีกอย่างมันเองก็ไม่ใช่แมลงกู่แบบนั้น ข้าจะกล้าหยิบยืมเปลือกของเจ้าได้อย่างไร
ใช่ว่าข้าจะไม่อยากมีชีวิตยาวนานเสียหน่อย!
ซือเหลิ่งเย่ว์หลุดหัวเราะออกมาแล้วเอ่ย “เจ้าไม่ต้องจริงจังไป มันไม่ได้เป็นกู่ที่ผูกติดกับชีวิตของเจ้า มันจะกล้าแย่งร่างของเจ้าได้อย่างไร หากกู่คิดแว้งกัดอยากมีพลังแข็งแกร่งกว่าร่างกายตน เช่นนั้นก็เหมือนรนหาที่ตาย มันไม่กล้าหรอก!”
กู่หนอนไหมทอง นั่นสิ ข้าเป็นกู่ที่ดี!
ฉินหลิวซีลูบจมูกปอยๆ พลางเอ่ย “บางทีด้านในอาจจะเป็นหนึ่งอาจารย์กู่กับวิญญาณหยินของกู่ที่หลอมรวมร่างกันอย่างนั้นหรือ”
ขณะที่ซือเหลิ่งเย่ว์หมายพูดอะไรบางอย่าง ทันใดนั้นรังสีสังหารทรงพลังดุจพายุหมุนก็กราดเข้ามาโจมตีพวกนางทั้งสองอย่างรุนแรง
พวกนางทั้งสองแวบหลบพายุหยินที่เย็นยะเยือกดุจน้ำแข็งนั่น แล้วมองพลังหยินบริเวณปากบ่อที่กำลังซัดสาดโหมกระหน่ำ
มีบางอย่างปรากฏตัว
พลันก็เกิดเสียงดังจิ๊
สัตว์ชนิดหนึ่งที่มีลำตัวอ่อนยวบสีทองแกมแดงโลหิต ซึ่งปะปนไปด้วยพลังหยินลอยพุ่งออกมาจากปากบ่อ ก่อนจะตรงโผเข้าหาซือเหลิ่งเย่ว์
มันสัมผัสได้ว่านางเองก็เป็นอาจารย์กู่ หากสิงร่างนาง มันจะฟื้นคืนชีพได้
ฉินหลิวซีหนังศีรษะชาวาบ ใครบอกนางได้บ้างว่าเหตุใดปลิงดูดเลือดถึงมีขนาดเท่ากับรองเท้าหนึ่งคู่ นี่มันต้องดูดเลือดไปมากมายเท่าไรหรือถึงกลายเป็นเช่นนี้ได้
อีกอย่างในปากมีดาบงอกขึ้นมาหรือไรถึงคมปลาบขนาดนั้น ปลิงดูดเลือดชนิดใดมีเขี้ยวแบบนี้บ้าง
ขณะที่ฉินหลิวซีหมายเดินเข้าไปหา ซือเหลิ่งเย่ว์ก็หยิบกู่ประจำตัวนางออกมาแล้ว “กินมันเสีย”
นั่นคือกู่หนอนไหมทองที่นางฝึกฝนมา ซึ่งถือว่าเป็นกู่ที่ผูกติดกับชีวิตของนางด้วย
ยามเผชิญกับกู่ประจำตัวของซือเหลิ่งเย่ว์ วิญญาณภายในกายของปลิงดูดเลือดก็แสยะยิ้มชั่วร้าย “ลำพังแค่อาจารย์กู่ตัวเล็กๆ กู่หนอนไหมทองตัวเดียวกล้าท้าทายอาซ่ากู่จอมเวทอย่างข้าเชียวหรือ”
มันอ้าปากกว้าง จากนั้นก็คายแมลงจำนวนนับไม่ถ้วนออกมา ซึ่งแฝงไปด้วยพลังหยินเย็นยะเยือก ราวกับพายุฝนที่ถล่มลงมากระหน่ำ ชวนให้รู้สึกหนังศีรษะชาวาบ
กู่ประจำตัวของซือเหลิ่งเย่ว์เองก็ว่องไว ปล่อยพลังเวท จากนั้นเหมือนมีพายุหมุนไร้รูปร่างบดบังเบื้องหน้าของนาง ส่วนแมลงเหล่านั้นก็ถูกพายุกลืนกินกลายเป็นผง
ปลิงดูดเลือดสัมผัสได้ถึงพลังเวทนี้ ทันใดนั้นก็แหวเสียงสูงราวกับคลุ้มคลั่งไปแล้ว “เป็นเจ้า เป็นพวกเจ้าอีกแล้ว เจ้าคือทายาทของแม่มดสายขาวตระกูลซือ”
ซือเหลิ่งเย่ว์มองปลิงดูดเลือดที่กระดึ๊บตัวไปมาอย่างน่าขยะแขยงพลางเอ่ย “ใช่ ข้าคือทายาทของตระกูลซือ หรือก็คือเจ้าสำนักรุ่นที่สิบของแม่มดสายขาว อาซ่า คือพ่อมดชั่วร้ายที่ถูกบรรพบุรุษของตระกูลซือที่มีนามว่าซื่อเฉิงสังหารและกดข่มไว้ คิดไม่ถึงว่าดวงวิญญาณของเจ้าจะยังไม่ตาย แถมเจ้ายังหลอมรวมร่างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับกู่อีกต่างหาก!”
ตอนที่มันรายงานตัว นางก็นึกถึงบันทึกตระกูลที่ตนเคยอ่านขึ้นได้ ซือเฉิงบรรพบุรุษคนสุดท้ายที่มีพลังเวทของตระกูลซือเคยทิ้งการฝึกตนเพื่อตามกำจัดพ่อมดกู่ที่มีนามว่าอาซ่า คิดไม่ถึงว่าจะเป็นมัน
อาซ่าหัวเราะเสียงร้ายกาจ “ตระกูลซือของพวกเจ้าต้องคำสาปร้อยปี พลังเวทย่ำแย่ลงทุกรุ่น นางปีศาจซือเฉิงนั่นสังหารร่างของข้าแล้วสะกดวิญญาณข้าไว้ในบ่อน้ำแห่งนี้ ซึ่งนั่นก็เกินพอแล้ว แต่ยังคิดจะสังหารดวงวิญญาณของข้าด้วยหรือ ถุย พวกเจ้าไม่คู่ควร! เช่นนั้นก็ต้องเอาทายาทรุ่นหลานอย่างเจ้ามาแลกเปลี่ยน ข้าต้องการร่างของเจ้า ฮ่าๆ ซือเฉิงคงคิดไม่ถึงว่าทายาทของนางจะกลายเป็นที่สิงร่างของข้ากระมัง นี่คงเป็นกฎแห่งกรรม…อ๊าก!”
พลั่ก ฉึก
ฉินหลิวซีถือศาสตราวุธเทพในมือก่อนฟาดลงบนร่างของปลิงดูดเลือดจนขาดเป็นสองท่อน “เป็นแค่ปลิงดูดเลือดแต่พล่ามไม่หยุด สะอิดสะเอียนจนใกล้คลื่นไส้เต็มทีแล้ว เจ้าเกะกะลูกตาข้า ไปตายเสียเถอะ!”