คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1200 เจอเรื่องที่สะอิดสะเอียนใจ
ตอนที่ 1200 เจอเรื่องที่สะอิดสะเอียนใจ
ฉินหลิวซีพาซือเหลิ่งเย่ว์กลับไปที่บ้านตระกูลซือ ทว่ากลับสร้างความตกใจให้คนในตระกูลไม่น้อย พวกเขาต่างทยอยเข้ามารายล้อมด้วยท่าทีตึงเครียด
ตระกูลซือทำลายคำสาปได้แล้วก็จริง กระทั่งซือเหลิ่งเย่ว์ให้กำเนิดทายาทแล้วด้วย แต่ลูกยังเล็กมาก กว่าจะโตต้องใช้เวลาอีกนาน ตระกูลยังต้องอาศัยเจ้าสำนักอย่างซือเหลิ่งเย่ว์คอยปกครอง ตอนไปยังดีๆ แต่กลับมาด้วยสภาพนี้มีใครไม่ตกใจบ้างเล่า
พอได้ยินว่านางแค่ใช้พลังเวทจนเกลี้ยง บวกกับเพราะกู่ประจำตัวกลืนกินวิญญาณกู่ที่มีพลังแข็งแกร่งเข้าไปเลยสลบไสล เป็นเหตุให้ร่างกายของนางอ่อนล้า เวลานี้ทุกคนถึงค่อยโล่งอก
ตระกูลแม่มดมีทรัพยากรและค่ายอาคมฝึกฝนจิตวิญญาณเป็นของตนเอง พวกเขารับร่างของซือเหลิ่งเย่ว์มาก่อนจะส่งตัวไปพักฟื้นที่ค่ายลับ จากนั้นอูจีที่เข้ามารับตำแหน่งหัวหน้าเผ่าจากอดีตผู้เฒ่าอาวุโสก็ทำความเคารพต่อฉินหลิวซี
ฉินหลิวซีพยักหน้าให้เล็กน้อย
“หากท่านปรมาจารย์ไม่รีบกลับก็ค้างที่เรือนสักคืนเถิด พรุ่งนี้เจ้าสำนักคงฟื้นแล้ว” อูจีเอ่ยต่อ “ในตระกูลมีค่ายอาคมที่ช่วยฝึกฝนพลังวิญญาณได้”
ฉินหลิวซีเอ่ย “แม่มดสายขาวตระกูลซือมีผังค่ายอาคมให้ดูหรือไม่ หากให้คนนอกยืมดูได้ ขอข้ายืมดูสักหน่อยได้หรือไม่”
“ย่อมมีอยู่แล้วขอรับ นอกจากคนนอก แม้แต่คนภายในที่ไม่ใช่สายเลือดทางตรงยังห้ามแพร่งพรายออกไป แต่ท่านปรมาจารย์ดูได้”
ฉินหลิวซีตกใจอยู่บ้าง ใจกว้างขนาดนี้เชียวหรือ
เหมือนมองความสงสัยของฉินหลิวซีออก อูจีจึงยิ้มพลางเอ่ย “นับตั้งแต่ท่านช่วยคลายคำสาปเลือดร้อยปีให้ตระกูลซือ พวกเราก็สรรเสริญท่านเป็นแขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือ ลำพังเรื่องดูรูปค่ายอาคมแค่นี้เหตุใดจะไม่ได้เล่าขอรับ”
ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง ฉินหลิวซีไม่ได้เอ่ยอะไร เพียงแค่ฉีกยิ้มเอ่ยว่า “เช่นนั้นข้าก็ขอหน้าหนาสักครั้งเถิด”
ทุกคนล้วนมีศรัทธา หากตระกูลซือจะเลื่อมใสในตัวนางก็ไม่เป็นไร ในเมื่อนางได้ผลประโยชน์ยังจะบอกว่าห้ามเลื่อมใสได้ด้วยหรือ
นางไม่ได้เป็นคนชอบหาเรื่องขนาดนั้น
เพิ่งตามอูจีเดินออกจากประตูมา ซือโหมวบุตรสาวของซือเหลิ่งเย่ว์ก็วิ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว นางสวมชุดสีแดงที่มีลายปักรูปดอกไม้เล็กๆ ดวงหน้าวิจิตรงดงามของนางแดงระเรื่อ นางมาพร้อมกับซือถูที่เดินตามมาอยู่ด้านหลังพลางกำชับบ่อยๆ ว่าหลานตัวน้อยช้าๆ สักหน่อย
อูจีรีบเอ่ย “เจ้าสำนักน้อย ท่านควรเรียกนางว่าท่านปรมาจารย์”
ซือโหมวส่ายหน้าอย่างแรง “ไม่ ท่านแม่เองก็ให้ข้าเรียกว่าท่านน้า”
ฉินหลิวซีอุ้มนางขึ้นพลางเอ่ย “เรียกอะไรได้หมดเลย อย่าวิ่งเร็วนัก ท่านตาของเจ้าอายุมากแล้ว ไล่ตามเจ้าเช่นนี้จะล้มเอาได้”
ซือโหมวหันไปมองแวบหนึ่ง เอ่ยพลางหัวเราะร่า “ไม่หรอกเจ้าค่ะ ข้าให้เสี่ยวฮวาคอยปกป้องเขาอยู่”
ฉินหลิวซีมองไป เสี่ยวฮวาที่นางเอ่ยถึงน่าจะเป็นนกอินทรีย์ที่มีพลังจิตวิญญาณตัวนั้นกระมัง
จมูกน้อยของซือโหมวขยับฟุตฟิต ก่อนจะไล่ดมอ้อมอกของนางแล้วเอ่ย “บนร่างของท่านน้ามีวิญญาณหยินด้วยหรือ”
อูจีตกใจยกใหญ่ ก่อนร้องเรียกเจ้าสำนักน้อยด้วยท่าทีตึงเครียด จากนั้นก็หันไปเอ่ยขอโทษฉินหลิวซี “ท่านปรมาจารย์ เจ้าสำนักน้อยไม่ได้มีเจตนาล่วงเกิน นางก็แค่…”
“ไม่เป็นไร” ฉินหลิวซีฉีกยิ้มเอ่ยตัดบทเขาแล้วหันไปมองซือโหมวเอ่ยถาม “เจ้าสัมผัสได้ด้วยหรือ”
ซือโหมวก้มหน้าก่อนจะมองหยกน้ำเต้าที่ห้อยอยู่ตรงเอวนาง นิ้วเล็กอวบอ้วนจึงชี้ไป ยู่ปากพลางมุ่นคิ้ว เอ่ยว่า “อยู่นั่นหรือ ข้าสัมผัสได้ มันกำลังร้องไห้ น่ารำคาญชะมัด”
“สร้างความรำคาญให้เสี่ยวโหมวโหมวหรือ ไม่ได้การล่ะ น้าจะเอามันถึงตายเลย” ฉินหลิวซีเอ่ยพลางยิ้มตาหยี
พลันเสียงเศร้าแฝงความแค้นก็หยุดไปทันที
ครั้นได้ยินคำพูดโหดเหี้ยมของฉินหลิวซี อูจีก็ผุดเหงื่อซึมบนหน้าผาก ภายในใจสบถพึมพำว่า ท่านปรมาจารย์คงไม่พาเจ้าสำนักน้อยเสียคนกระมัง
พอซือโหมวเห็นว่าแค่ฉินหลิวซีพูดไปประโยคเดียวก็ทำเอาวิญญาณหยินหยุดร้องไห้แล้ว นางก็ปรบมืออย่างแรง พร้อมสองดวงตาที่เป็นประกาย “ท่านน้าสุดยอดไปเลย นี่พูดจนมันตายเลยหรือ”
วิญญาณหยิน ข้าแค่ตกใจ ยังไม่ตาย
อูจีเห็นเจ้าสำนักน้อยมีท่าทีคลั่งไคล้เช่นนั้นก็รีบยื่นมือออกไปแล้วเอ่ย “เจ้าสำนักน้อย ท่านปรมาจารย์จะต้องไปหอตำราแล้ว ท่านรีบกลับเถิด”
เวลานี้ซือถูถึงเดินเข้ามาพลางหายใจหอบถี่ เอ่ยขึ้นว่า “หลานเอ๋ย เจ้าทำเอาตาวิ่งไล่ตามจนแทบเอาชีวิตไม่รอดแล้ว” ครั้นเขาเห็นฉินหลิวซีก็ผงะไปก่อนเอ่ย “เจ้าเด็กคนนี้ ในที่สุดก็กลับมาสักที”
พวกเขาไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบสองประโยค โน้มน้าวทุกหนทางกว่าจะลากตัวซือโหมวออกมาได้ จากนั้นฉินหลิวซีถึงได้ไปหอตำราของตระกูลพ่อมด
อูจีปล่อยนางตามสบาย ส่วนเขาก็ไปตระเตรียมอาหารมื้อเย็น
เวลานี้ฉินหลิวซีถึงปล่อยวิญญาณหยินที่อยู่ในหยกน้ำเต้าออกมาแล้วเอ่ย “ไม่ร้องไห้แล้วหรือ”
วิญญาณหยินนั้นมองนางแวบหนึ่งด้วยท่าทีขลาดกลัว เอ่ยด้วยเสียงเศร้าสร้อย “คนในหมู่บ้านต้องตายไม่น้อยเพราะพวกเจ้า”
“แมวตัวหนึ่งอย่างเจ้า แถมยังถูกคนฆ่าตายจนวิญญาณไม่ไปไหน แบบนี้ก็ไม่ใช่เพราะมีความแค้นหรือ วนเวียนอยู่ตรงบ่อน้ำไม่ไปไหน เห็นทีคนที่ฆ่าเจ้าคงเป็นเทพแห่งบ่อน้ำกระมัง เจ้าไม่โกรธเกลียดพวกเขาแต่เห็นใจแทนอย่างนั้นหรือ” ฉินหลิวซีเอ่ยแดกดันที “ดูท่าทางชาติก่อนเจ้าคงเป็นแม่พระกลับชาติมาเกิด เพราะมีจิตใจเมตตาเกินไป แม้แต่เรื่องที่ใครเห็นแล้วต้องโกรธแค้น ถึงเจ้าจะเกิดมาเป็นสัตว์เดรัจฉานก็เถอะ”
นางเจอวิญญาณแมวตัวนี้ที่บ่อน้ำโบราณ ขณะที่ข่มขวัญพวกคนในหมู่บ้าน มันก็มาป้วนเปี้ยนขอให้นางอย่าฆ่าคนในหมู่บ้าน นางรำคาญเลยจับมาใส่ไว้ในขวดขังวิญญาณ
แต่คิดไม่ถึงว่าเจ้านี่จะร้องไห้ไม่หยุด และยิ่งคิดไม่ถึงว่าประสาทสัมผัสของซือโหมวจะว่องไวขนาดนี้ ในเมื่อสามารถสัมผัสถึงวิญญาณแมวที่อยู่ในขวดขังวิญญาณได้ด้วย
วิญญาณแมวเอ่ยด้วยท่าทีน้อยเนื้อต่ำใจ “แม่พระอะไรกัน ข้าเป็นคนที่มีจิตใจเมตตาที่สุดในใต้หล้านี้แล้ว ข้าน่าจะไปเกิดในตระกูลเศรษฐีสูงศักดิ์ คิดไม่ถึงว่าจะมาเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานเช่นนี้”
“เมื่อชาติก่อนเจ้าไปทำอะไรมาหรือ” ฉินหลิวซีเอ่ย “แต่เอาเถอะ เจ้าไม่ต้องบอกหรอก”
วิญญาณแมวผงะไป ทว่าเห็นฉินหลิวซียื่นมือมาบีบหัวของมันไว้
เงามืดแห่งความตายปกคลุมไปทั้งหัวใจ วิญญาณแมวกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว แต่ไม่นานมันก็ร้องไม่ออกแล้ว
ฉินหลิวซีกำลังสำรวจวิญญาณของมัน
เพียงครู่เดียวนางก็คลายมือออก โมโหจนหลุดหัวเราะออกมา
“เจ้าก็ช่างจิตใจดีจริงๆ เกิดมาเป็นสัตว์เดรัจฉาน แต่เจ้ากลับไม่เคียดแค้นเลยสักนิด” ฉินหลิวซียิ้มเย็นชา
ใบหน้าของวิญญาณแมวซึมลง ส่วนลึกของดวงจิตวิญญาณเจ็บจี๊ด เหมือนมีบางอย่างปริแตกแล้วหนีจากมันไป
นางเป็นคนดีที่ใครๆ ต่างยกย่อง ตามเหตุผลควรเป็นเช่นนั้นนี่นา
ฉินหลิวซีเอ่ยเสียงเย็นยะเยือก “สิ่งที่เรียกว่าความเมตตา ไม่ควรถูกสร้างขึ้นบนความทุกข์ทรมานของผู้อื่น แต่ความเมตตาที่เจ้าคิดเป็นเพียงความเห็นแก่ตัวคิดเอาแต่ผลประโยชน์ เจ้าสละครอบครัว รวมถึงลูกสาวผู้น่าสงสารทั้งสองคนของเจ้า เพียงเพื่อรักษาชื่อเสียงและสนองความต้องการส่วนตนก็เท่านั้น”
วิญญาณแมว หรือควรเรียกนางว่าหลี่ซ่านเอ๋อร์ ชาติก่อนนางเป็นชาวบ้านในหมู่บ้านบ่อน้ำโบราณ นางแต่งงานกับบุรุษที่ซื่อสัตย์และขี้ขลาดคนหนึ่ง เพราะนางถูกตั้งชื่อว่าซ่านจึงถูกปลูกฝังให้มีความเมตตามาตั้งแต่เด็ก สุดท้ายนางก็เมตตาจนเติบใหญ่ แต่เมตตาถึงขั้นไหนหรือ
นางสามารถบริจาคเสบียงอาหารของครอบครัวในยามอดอยาก สุดท้ายส่งผลให้แม่สามีของนางต้องอดตายไปก่อน พอผ่านพ้นช่วงวิกฤตความอดอยากนั้นไปได้ ครั้งหนึ่งมีคู่สามีภรรยาทะเลาะกัน ด้วยความเมตตานางไม่อาจทนเห็นเหตุการณ์จึงขอให้สามีตนออกไปห้ามปราม แต่สุดท้ายฝ่ายนั้นกลับพลั้งมือฆ่าสามีของนางตาย ทว่าสองสามีคู่นั้นกลับลากลูกๆ มาคุกเข่าร้องไห้ ขอให้ยกโทษและเล่าถึงความลำบากของตน นางจึงอภัยให้พวกเขาโดยไม่เรียกร้องค่าเสียหายใดๆ
นางใช้ชีวิตเลี้ยงดูบุตรสาวสองคน จนกระทั่งเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน เพราะจู่ๆ บ่อน้ำที่แห้งเหือดมีน้ำทะลักเข้ามา คนในหมู่บ้านคิดว่าบ่อน้ำมีเทพจึงเริ่มบูชาเทพแห่งบ่อน้ำนั้น ผ่านไปไม่กี่ปีน้ำในบ่อก็หมุนเป็นเกลียวคลื่นขึ้นมาอย่างน่าประหลาด คนที่ขึ้นชื่อว่ามีคุณธรรมในหมู่บ้านกลับได้รับ ‘คำบอกกล่าวผ่านความฝัน’ จากเทพแห่งบ่อน้ำนี้ว่าหมู่บ้านกำลังจะประสบภัยครั้งใหญ่จนถึงขั้นล่มสลาย ทางเดียวที่จะป้องกันได้คือต้องนำตัวเด็กสาวที่เพิ่งมีประจำเดือนมาเซ่นสังเวยรับใช้เทพ เพื่อให้หมู่บ้านอยู่รอดปลอดภัย มีความอุดมสมบูรณ์ และรุ่งเรืองราบรื่นในทุกเรื่อง
ผู้ใหญ่บ้านจึงตัดสินใจเซ่นไหว้สังเวย
ทว่าเทพธิดาคนแรกที่ถูกเลือกดันเป็นบุตรสาวของนาง คนใจดีอย่างนางจึงยอมส่งตัวบุตรสาวคนโตให้วัดเทพแห่งบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์อะไรนั่นภายใต้สายตาวิงวอน คำร้องขอและคำเยินยอมากมายของชาวบ้าน
วัดเทพนั่นเป็นเพียงห้องเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ไม่ห่างไกลจากบ่อน้ำ
เพราะการเซ่นไหว้สังเวยทำให้ทุกคนทำทุกอย่างราบรื่น ความซาบซึ้งใจที่มีต่อนางจึงเพิ่มขึ้นด้วย กระนั้นหลี่ซ่านเอ๋อร์จึงถูกตั้งฉายาว่าม่ายพรหมจรรย์ที่จิตใจงดงามที่สุด เพราะนางไม่คิดแต่งงานใหม่
ภายหลังถึงคราวที่บุตรสาวของผู้ใหญ่บ้านต้องสังเวยชีวิต แต่เพราะบุตรสาวมีคนในใจ พร้อมทั้งเล่าเรื่องราวความรักอันน่าสะเทือนใจจนน้ำตาเหล่าภูตผีต้องรินไหล และขอร้องนางอย่าพรากคู่รักออกจากกันเลย โดยเสนอให้นางส่งบุตรสาวคนรองไปแทน
หลี่ซ่านเอ๋อร์มีจิตใจเมตตาเพียงใด นางยอมตกลงโดยเพิกเฉยต่อสายตาเคียดแค้นชิงชังของบุตรสาวคนรองอย่างสิ้นเชิง
บุตรสาวทั้งสองกลายเป็นของเซ่นไหว้บูชา ชื่อเสียงเรื่องความเมตตาของนางถูกสรรเสริญถึงขีดสุด แต่กลับไม่มีใครปล่อยให้เรื่องนี้แพร่งพรายออกไป เพราะเรื่องสังเวยชีวิตเด็กสาวเป็นเรื่องโหดเหี้ยม หากแพร่งพรายออกไปคงไม่มีใครหาภรรยาได้สักคน
เพื่อปกปิดเรื่องอำมหิตนี้ คนในหมู่บ้านต่างตกลงเป็นเสียงเดียวกันว่าให้เขยที่แต่งเข้ามาจากหมู่บ้านอื่นดื่มน้ำจากบ่อนี้ด้วย ซึ่งทำให้พวกเขาโดนกู่ หลังจากนั้นก็ไม่สามารถออกไปจากหมู่บ้านได้อีก กระทั่งกลายเป็นส่วนหนึ่งของหมู่บ้านโดยสมบูรณ์
ใช่ว่าจะไม่มีใครรู้สึกถึงความโหดร้ายนี้จนคิดหนีไป ปีนั้นที่นางตายก็เพราะมีหญิงสาวมาขอร้องนาง วิงวอนต่อความใจดีของหลี่ซ่านเอ๋อร์ให้ช่วยพานางหนี และนางก็ตอบตกลง
ใช่แล้ว การสังเวยชีวิตต้องใช้เด็กผู้หญิงก็จริง แต่การสังเวยเสริมก็ใช้หญิงสาวได้เช่นกัน เพราะพวกนางมีพลังหยินมาแต่กำเนิด อีกทั้งเทพแห่งบ่อน้ำก็ชอบพลังหยินด้วย
พอหลี่ซ่านเอ๋อร์ตาย นางจึงต้องมาเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานเพราะทำให้บุตรสาวทั้งสองและสามีต้องตาย กระทั่งเกิดมาเป็นแมว ทว่านางดันกลับมาเกิดใหม่พร้อมความทรงจำในชาติก่อน ทั้งน่าตกใจและน่ายินดีไปพร้อมกัน
นางยังคงจิตใจดีเฉกเช่นวันวาน ทั้งๆ ที่ผู้ใหญ่บ้านใช้ชีวิตนางสังเวย ถึงแม้นางจะโกรธแค้น แต่พอเห็นผู้ใหญ่บ้านกราบไหว้ตนจากใจจริง นางก็อภัยให้เขาแล้ว
ทุกอย่างก็เพื่อหมู่บ้าน คุ้มค่าแล้ว
หลี่ซ่านเอ๋อร์นึกคิดเช่นนั้น
ถึงแม้คนในหมู่บ้านจะรักษาหมู่บ้านให้อยู่รอดต่อไปได้ และเกิดเหตุการณ์ขึ้นใหม่โดยบอกว่าหากดื่มน้ำในบ่อโบราณนี้เข้าไปจะทำให้ตั้งครรภ์ ใช้โอกาสนี้สลับคู่แต่งงาน แต่นางก็คิดว่าไม่ใช่เรื่องที่ผิดแต่อย่างใด
แต่นางตายแล้ว อีกทั้งมาเกิดในร่างแมว แมวเป็นหยิน ตอนที่มันเกิดยังเป็นยามที่มีพลังหยินปกคลุม พอมันไปเดินเล่นถึงบ่อน้ำกลับถูกปลิงดูดเลือดสูบเลือดไป
นางอาฆาตจึงทำให้วิญญาณไม่ไปไหนวนเวียนอยู่แถวบ่อน้ำ ทว่านางไม่ได้ถูกเทพกู่กลืนกินวิญญาณ เป็นเพราะบาปกรรมของนาง และมีคนส่งบุญกุศลปกป้องนางด้วย
บุญกุศลนี้ได้ก่อนที่บิดามารดาจะตาย
“บุญกุศลนี้ เจ้าคู่ควรด้วยหรือ” ฉินหลิวซีสะอิดสะเอียนใจ ทำมือร่ายอาคมไล่มันไปทันที
ไม่ว่านางจะคู่ควรหรือไม่ ถึงอย่างไรก็เป็นสิ่งที่บิดามารดาให้ไว้ก่อนตาย นางจะไม่แตะต้องวิญญาณแมวนี้ ส่วนจะอยู่รอดหรือหายไปคงต้องดูที่ดวงชะตาของมันแล้ว
ฉินหลิวซีคิดไม่ถึงว่าเพียงแค่ตนจับวิญญาณแมวตัวหนึ่งมาเพราะความรำคาญ กลับต้องมาพบกับเรื่องน่าสะอิดสะเอียนใจเช่นนี้ ส่วนคนในหมู่บ้านบ่อน้ำโบราณนั่นก็ไม่มีความบริสุทธิ์สักคน ทั้งๆ ที่พวกเขารู้เรื่องทุกอย่าง แต่เพราะต้องการมีชีวิตรอดถึงกระทำชั่วไม่หยุด หลอกล่อคนหมู่บ้านอื่นมาแล้วใช้เด็กๆ เป็นเครื่องเซ่นสังเวย
พวกเขาสมควรตาย
ฉินหลิวซีแววตาหม่นไม่สดใส หลุบสายตาลงแล้วกำนิ้วชี้ข้างซ้ายก่อนสงบอารมณ์ขุ่นเคือง
ผลกรรม…
นางนั่งขัดสมาธิพร้อมใช้สองมือผนึกประสาน ก่อนจะเริ่มโคจรลมปราณมหาจักรวาล จากนั้นก็ท่องบทสวดมนต์ในใจ รอกระทั่งจิตใจสงบลงแล้วถึงหมุนตัวเดินเข้าหอตำราตระกูลซือไปแล้วหาตำราที่มีเพียงหนึ่งเดียวมาพลิกเปิดอ่าน
วันต่อมา
ยามที่ซือเหลิ่งเย่ว์มาหา ข้างกายของฉินหลิวซีก็มีกระดาษวางเกลื่อนมากมาย ทุกแผ่นล้วนวาดผังค่ายอาคม นางหยิบขึ้นมาดูแวบหนึ่งก่อนจะมองคนที่กำลังคำนวณอยู่แล้วนั่งลง
ตั้งแต่โบราณมาค่ายอาคมถือเป็นเรื่องที่เปลืองสมาธิและสมองมากที่สุด หากอยากคำนวณอย่างแม่นยำต้องผ่านการตรวจสอบครั้งแล้วครั้งเล่าถึงจะสร้างค่ายอาคมที่เอาชนะทุกการต่อสู้และการโจมตีได้อย่างสมบูรณ์
และนี่ต้องมีสมาธิที่สูงมาก รวมถึงพลังบำเพ็ญด้วย
ซือเหลิ่งเย่ว์สัมผัสได้ถึงความร้อนรุ่มในใจของอีกฝ่ายผ่านกระดาษร่างอันยุ่งเหยิงเหล่านี้
ฉินหลิวซีถอนหายใจทีแล้วหันมองมา ครั้นเห็นนางก็เอนกายลงพื้นแล้วเอ่ย “เจ้าดีขึ้นแล้วหรือ”
“อืม” ซือเหลิ่งเย่ว์เอ่ย “เจ้าคงไม่ได้ทำเจ้านี่มาทั้งคืนกระมัง”
ฉินหลิวซีพักสายตาพลางเอ่ย “ข้าศึกษาค่ายอาคมของตระกูลพ่อมดแม่มดมาน้อยมาก บัดนี้มีโอกาสได้เห็นย่อมหวงแหนเป็นธรรมดา สิ่งที่น่าสนใจของค่ายอาคมก็คือยิ่งเจ้ามีวิวัฒนาการ มันก็จะยิ่งเปลี่ยนแปลงมากขึ้นเรื่อยๆ น่าสนใจไม่น้อย”
ขณะที่พูดนางก็หยิบค่ายอาคมเส้นทางเทพเจ้านั่นขึ้นมา
ซือเหลิ่งเย่ว์จับจ้องแน่นิ่ง ขมวดคิ้วมุ่นพลางเอ่ย “นี่แท่นบูชาเทพเจ้าหรือ”
“เจ้าเคยเห็นหรือ” ฉินหลิวซีลุกขึ้นนั่ง
ซือเหลิ่งเย่ว์ขบคิดก่อนจะหยิบม้วนผังภาพหนึ่งจากหอตำราคลี่เปิดออกแล้วเอ่ย “นี่เป็นแท่นบูชาที่ตระกูลแม่มดของพวกเราใช้ประกอบพิธียามบวงสรวง เจ้าดูสิว่าคล้ายคลึงกันหรือไม่”
ฉินหลิวซีใช้พลังจิตควบคุมให้มันลอยขึ้นก่อนจะเอามาเปรียบเทียบกับค่ายอาคมเส้นทางเทพเจ้า เอ่ยขึ้นว่า “เหมือนกันจริงๆ ด้วย เหมือนกันเป๊ะทุกกระเบียดนิ้วเลย”
“แท่นบูชานี้วางค่ายอาคมไว้หรือ”
ฉินหลิวซีจับจ้องภาพค่ายอาคมนั้นพลางเอ่ย “หากอยากบรรลุเป็นเทพ แท่นบูชามีแล้ว ของเซ่นไหว้มีแล้ว ย่อมต้องรอจังหวะด้วย มิเช่นนั้นคงนำพาวิบากสวรรค์มาด้วยไม่ได้ พวกเจ้าใช้มหาบรรพชิตเพื่อจุดประสงค์ใดหรือ”
มหาบรรพชิตในภาพยกสองมือขึ้นสูง บนร่างมีงูไฟดำทมิฬพันรอบ งูไฟแผดเผาเพลิงโชติช่วงลุกโหม ดูท่าทางอาจหาญมากทีเดียว
ซือเหลิ่งเย่ว์เอ่ย “นี่คือของเซ่นไหว้”
ฉินหลิวซีคว้าข้อมือของนางแล้วเอ่ย “เจ้าว่าอะไรนะ เซ่นไหว้ ใช้ตัวเองนี่นะ”
“เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าอาซ่าพูดว่าอะไร ตอนนั้นเพื่อสังหารเขา บรรพบุรุษตระกูลซือของพวกเราถึงขั้นสังเวยพลังจิตวิญญาณของตน กว่าจะทำลายเขาทิ้งได้ น่าเสียดายที่สุดท้ายแล้วทำได้แค่สะกดวิญญาณของเขาไว้ ไม่สามารถทำลายวิญญาณให้สิ้นซากได้” ซือเหลิ่งเย่ว์เม้มริมฝีปากเอ่ย “ไม่ว่าพ่อมดหรือเต๋าหรือพุทธ หรือกระทั่งผู้ฝึกตน ไม่มีสิ่งใดมีพลังแรงกล้าไปกว่าการสังเวยตัวเองแล้ว เจ้าเองก็น่าจะรู้ดี”
หลักของการสังเวยก็คือผลแห่งโชคชะตา กฎแห่งสวรรค์เองก็ไม่มีทางทำอะไรได้
มิฉะนั้นพวกช่างที่คลั่งไคล้หลอมอาวุธหลอมยาพวกนั้น เหตุใดพวกเขาถึงยอมสละชีวิตตนในการเซ่นสังเวยเพื่อสร้างศาสตราวุธเทพหรือของล้ำค่าขึ้นมาเล่า เพราะพวกเขาปราศจากความกลัว กฎแห่งสวรรค์จึงทำได้แค่ตกตะลึงและยอมรับในสิ่งนั้น
อีกทั้งเพื่อกำจัดสิ่งชั่วร้าย พอถึงช่วงสุดท้าย ผู้ฝึกตนยังต้องยอมสังเวยตนเองเพื่อร้องขอพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุด กระทั่งวิถีชั่วร้ายก็เช่นกัน
ซือเหลิ่งเย่ว์เอ่ยต่อ “มหาบรรพชิตของตระกูลเราสังเวยตนเอง สิ่งนี้ต้องเป็นดั่งปณิธานที่แกร่งกล้าเหมือนกับคำสาปเลือดของตระกูลซือที่มีมาหนึ่งร้อยปี เพื่อขอโอกาสจากสวรรค์ ใช่ว่าพวกเขาไม่เคยลองใช้วิธีการเซ่นสังเวยมาก่อน ดังนั้นในเมื่อต้องสังเวย ของเซ่นไหว้ย่อมไม่มีสิ่งใดดีไปกว่าตนเองแล้ว สำหรับพวกเรา หากตอนนั้นเทพธิดาของพ่อมดดำไม่ใช้ตนเองสังเวย ตระกูลซือคงไม่ต้องคำสาปมาเป็นร้อยปี”
ในสมองของฉินหลิวซีดังวิ้ง เอ่ยขึ้นว่า “ซื่อหลัวไม่ได้สนใจว่าพวกเราจะทำลายค่ายอาคมเล็กๆ นี้หรือไม่ เช่นนั้นข้าก็พอเข้าใจแล้วว่าไพ่ไม้ตายของเขาคืออะไร”