คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1201 ซือเหลิ่งเย่ว์ให้ของล้ำค่า
ตอนที่ 1201 ซือเหลิ่งเย่ว์ให้ของล้ำค่า
ตอนทำลายเจดีย์ผีที่ซีเป่ย ฉินหลิวซีเคยปะทะฝีมือกับซื่อหลัวไปครั้งหนึ่ง สำหรับเรื่องที่เจดีย์ผีถูกทำลาย เขากลับไม่สนใจเรื่องนี้เลย นางจึงคาดเดาว่าเขาคงมีไพ่ไม้ตายอยู่ในมือ ในเมื่อเขาคิดจะเอาประชาชนในใต้หล้าสังเวยชีวิต หากถูกทำลายทุกอย่างก็คงจบเห่ แต่นี่เขากลับมีท่าทีไม่สนใจ ย่อมต้องมีทางหนีทีไล่แน่นอน
ครั้นพอซือเหลิ่งเย่ว์เอ่ยขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจเช่นนี้ นางก็เข้าใจในทันที
ถึงแม้พวกเขาจะกดข่มหรือคลี่คลายดวงตาค่ายอาคมที่อาจนำพาหายนะมา ช่วยประชาชนรอดพ้นจากภัยพิบัติต่างๆ ได้ แต่กระนั้นเขาก็ยังเหลือตนเอง
หากใช้ตัวเขาสังเวย ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรนะ
ฉินหลิวซีหัวเราะคิกคัก “ที่แท้ก็เป็นคนบ้าจริงๆ!”
แววตาของนางเคร่งขรึมไร้ซึ่งความสดใส ซือเหลิ่งเย่ว์ถามขึ้นมาบ้าง ครั้นรู้จุดประสงค์ของคนที่มีนามว่าซื่อหลัว นางก็ตกใจไปชั่วขณะก่อนเอ่ย “เจ้าทายผิดแล้วกระมัง”
“อาจจะกระมัง แต่เจ้าก็บอกเองว่าไม่มีสิ่งใดมีพลังยิ่งใหญ่ไปกว่าการสังเวยตัวเองแล้ว หากดวงตาค่ายอาคมเล็กๆ ทั้งหมดเหล่านี้ไร้ประสิทธิภาพ เขาก็ยังเหลือตัวเอง ใช้ตนเป็นค่ายอาคม ใช้ตนในการสังเวย” ฉินหลิวซีมองค่ายอาคมเส้นทางเทพเจ้าพลางหรี่ตาลง
ใช้ตนเป็นค่ายอาคมหรือ…
ทันใดนั้นซือเหลิ่งเย่ว์ก็ใจเต้นระรัว รู้สึกร้อนใจอยู่บ้าง นางยื่นมือออกไปแตะแขนเสื้อของฉินหลิวซีอย่างเบามือ ขณะที่สัมผัสกับอักขระยันต์บนเสื้อผ้าของนาง พลันก็เม้มริมฝีปาก ดวงหน้างดงามของนางก็แปรเปลี่ยนเป็นมุ่งมั่นขึ้น
ฉินหลิวซีหันมองมาแล้วเอ่ย “เลิกเอ่ยถึงเขาดีกว่า เสี่ยวโหมวโหมวประสาทสัมผัสทั้งห้าช่างว่องไวนัก ตระกูลแม่มดของพวกเจ้าเองก็มีมรดกสืบทอดกันมา ต้องชี้แนะเด็กคนนี้เป็นอย่างดี”
นางเบี่ยงเข้าประเด็นนี้รวดเร็วดีจริงๆ
ครั้นฉินหลิวซีเห็นท่าทีราวกับไม่เข้าใจของซือเหลิ่งเย่ว์ นางก็ยิ้มร่าก่อนจะเล่าเรื่องเมื่อคืนให้ฟัง รวมถึงเรื่องวิญญาณแมวและหมู่บ้านบ่อน้ำโบราณนั้นด้วย
ฉับพลันเหลิ่งเย่ว์ก็รู้สึกคลื่นไส้สะอิดสะเอียนใจ ใบหน้าแฝงไปด้วยไอทะมึนและความชิงชัง “บนโลกนี้มีคนน่าขยะแขยงเช่นนี้อยู่ด้วยหรือ ช่างเป็นแม่ที่เลวทรามจริงๆ”
คนผู้นั้นไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานก็ยุติธรรมแล้ว เพราะนางต่ำช้ายิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉานเสียอีก
ฉินหลิวซีเอ่ย “ในสังคมมีคนดีเลวปะปนกันไป บนโลกนี้มีคนทุกรูปแบบ ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไร เพียงแต่พอเห็นการกกระทำของผู้คนในหมู่บ้านและบาปกรรมที่เคยทำผ่านดวงจิตของนางแล้ว คนพวกนั้นไม่มีใครบริสุทธิ์สักคน เพื่อไม่ให้แบกรับผลกรรมมากเกินไป พวกเรายังต้องไปช่วย แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย”
รู้ว่าชั่วก็ยังทำชั่ว ช่างน่าชิงชังนัก
ซือเหลิ่งเย่ว์กลับส่ายหน้า “เจ้าจะคิดเช่นนี้ไม่ได้ ในนั้นยังมีเด็กๆ ที่ยังบริสุทธิ์ อีกอย่างการที่ข้ากำจัดตัวอ่อนกู่ในร่างกายของพวกเขาได้ใช่ว่าทุกอย่างจะจบลงด้วยดี”
“หมายความว่าอย่างไรหรือ”
“ถึงแม้จะเป็นปลิงดูดเลือด แต่วิญญาณกู่ตัวนั้นกลืนกินกู่หยินเข้าไป ตัวอ่อนกู่ที่มันให้กำเนิดย่อมแฝงพลังหยินมาด้วย พอกู่อาศัยอยู่ในร่างนานวันเข้า ย่อมต้องทำลายสมดุลหยินหยางในร่างกายของพวกเขาจนย่ำแย่ บัดนี้ต่อให้จะกำจัดมันทิ้งได้ แต่ถึงอย่างไรก็ยังหลงเหลือพิษค้างอยู่ ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงร่างกายอ่อนแอ ถือว่าเป็นการชดใช้ต่อความผิดแล้ว หากคิดจะกลับมาร่ายกายแข็งแรง คงต้องฝากความหวังไว้กับรุ่นลูกรุ่นหลาน”
ฉินหลิวซีหยิบเครื่องรางหยกขึ้นมาห้อยคอนางพลางเอ่ย “ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องแบกรับกรรมแล้ว ไม่รู้ว่าจะมีผลสะท้อนกลับมาอย่างไรบ้าง ช่วงนี้อย่าเพิ่งใช้พลังวิญญาณมากจะดีกว่า”
“อืม คนและเรื่องราวที่เป็นดั่งกาลกิณีพวกนี้อย่าเอ่ยถึงกันอีกเลย” ซือเหลิ่งเย่ว์เปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างรวดเร็ว “เห็นเจ้าศึกษาผังภาพค่ายอาคมเช่นนี้ ดูท่าทางคงอยากสร้างค่าย เรื่องความรู้ข้าคงสู้เจ้าไม่ได้ และช่วยอะไรเจ้าไม่ได้ด้วย แต่ตระกูลข้าพอจะสะสมข้อมูลไว้บ้าง เจ้าลองดูถ้ามีที่เหมาะสมก็เอาไปเถิด”
ฉินหลิวซีหมายกล่าวปฏิเสธ แต่ซือเหลิ่งเย่ว์เอ่ยเสียงขรึม “อย่าคิดว่าเอาเปรียบเลย สำหรับตระกูลซือแล้วของพวกนี้ไม่ได้มีค่าอะไร เครื่องรางหยกที่เจ้ามอบให้ข้าก็ไม่ใช่หยกทั่วไป ข้าเองก็ไม่ได้ไม่รับ เจ้าเองก็อย่าเกรงใจข้าเลย”
ครั้นเห็นนางกล่าวเช่นนั้น ฉินหลิวซีจึงไม่ได้ปฏิเสธ ความจริงนางต้องการตำราไม่น้อย หากอาศัยตัวเองเสาะแสวงหาคงเสียเวลามากเช่นกัน
หลังจากเก็บผังภาพคำนวณที่ใช้ประโยชน์ได้แล้ว ฉินหลิวซีก็เดินตามนางไปเลือกหินสีน้ำเงินที่ใช้กับค่ายอาคมได้ในคลังเก็บของ นางคิดไม่ถึงว่าตระกูลซือจะมีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดาขนาดนี้ อีกทั้งพวกเขายังมีหินทองคำดำ ซึ่งเป็นมรดกที่สืบทอดมาตั้งแต่บรรพบุรุษด้วย
ซือเหลิ่งเย่ว์หยิบกล่องยาวใบหนึ่งออกมาแล้วส่งให้นาง “ของสิ่งนี้เจ้าน่าจะได้ใช้”
“นี่เป็นไม้ทองคำดำที่บรรพบุรุษได้มาโดยบังเอิญ ได้ยินว่าเป็นต้นไม้อายุราวหมื่นปี เป็นวัสดุล้ำค่าที่ใช้หลอมฐานและสร้างค่ายอาคมขึ้นได้” ซือเหลิ่งเย่ว์เอ่ย “ข้ามีความรู้เรื่องค่ายอาคมระดับกลางๆ หากไม้ทองคำดำนี้อยู่ในมือเจ้า หวังว่าคงเป็นประโยชน์อย่างสูงสุด”
ฉินหลิวซีรับมา “เช่นนั้นข้าไม่เกรงใจเจ้าแล้วนะ”
“ไม่ต้องการความเกรงใจของเจ้าเลย ขอแค่เจ้าปกป้องตนให้รอดปลอดภัยก็พอ” ซือเหลิ่งเย่ว์จับจ้องนางแน่นิ่ง
ฉินหลิวซีส่งยิ้มให้นาง
พอเดินออกจากคลังเก็บของ ท้องฟ้าก็มีหิมะโปรยปรายลงมา เกล็ดหิมะแผ่นใหญ่ตกลงมาอย่างต่อเนื่อง ปกคลุมเรือนตระกูลซือจนเป็นชั้นสีขาวบางๆ
ซือเหลิ่งเย่ว์เอ่ยเสียงขรึม “ปีนี้อากาศหนาวอีกแล้ว ลำบากยิ่งกว่าปีก่อนเสียอีก ความโกลาหลปรากฏให้เห็นลางๆ ประชาชนคงต้องเผชิญกับความทุกข์ยากแล้ว”
ฉินหลิวซียืนอยู่ข้างนาง เอ่ยขึ้นว่า “ไม่มีความสุขสงบใดที่จะยืนหยัดตราบนาน แต่ก็ไม่มีความวุ่นวายใดคงอยู่ตลอดไปเช่นกัน”
ยุคสมัยจะสร้างบุคคลผู้กล้าหาญไปโดยปริยาย
นางมองไปทางซือเหลิ่งเย่ว์แล้วเอ่ย “ข้าต้องไปแล้ว”
“ข้ารู้ว่าเจ้าร้อนใจ แต่ยิ่งใจร้อนก็จะยิ่งทำเรื่องผิดพลาดได้ง่าย หากสงบสติอารมณ์ลง อุดมการณ์ของเจ้าถึงจะสำเร็จ” ซือเหลิ่งเย่ว์เอ่ย “เจ้าในอดีตมักผ่อนคลายสบาย แต่เจ้าในเวลานี้ถูกสิ่งมากมายพันธนาการจนแน่นเกินไป เสี่ยวซี เส้นที่ตึงเกินไปย่อมขาดง่าย”
“ข้าเข้าใจ”
ซือเหลิ่งเย่ว์ส่งนางที่เดินหายไปกับความว่างเปล่าด้วยสายตา แววตาหม่นลงก่อนที่หางตาจะค่อยๆ แดงก่ำ
ก่อนที่ฉินหลิวซีจะกลับอารามเต๋า นางแวะไปที่วัดอวี้ฝอสนทนาเรื่องลับกับผู้เฒ่าอาวุโสจิ้งฉืออย่างเงียบๆ จากนั้นถึงเดินออกมาจากเขตหวงห้ามที่ใช้เก็บตัวฝึกตนของเขา
พอออกจากลานในเขตต้องห้ามมา เดิมทีนางคิดจะกลับเลย ทว่ากลับชะงักฝีเท้า
“เห็นว่าวันดีๆ ใกล้เข้ามาแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าจะป่วยถึงขนาดนั้น พระชายารุ่ยอ๋องช่างชะตาสั้นนัก”
“นั่นสิ แม้แต่ลูกชายเจ็ดขวบของข้ายังรู้เลยว่าถ้ารุ่ยอ๋องกลับราชวงศ์มาต้องสืบทอดบัลลังก์ต่อแน่นอน ทันทีที่เขาถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นองค์รัชทายาท พระชายารุ่ยอ๋องก็คง…น่าเสียดายนัก”
“ว่าแต่ รุ่ยอ๋องเป็นโอรสของพระสนมเอกผู้ล่วงลับไปแล้วจริงหรือ”
“ใครจะไปรู้ ฝ่าบาททรงตรัสว่าใช่ เขาก็คงใช่”
“ข้ามักรู้สึกว่าแค่เป็นคำพูดที่เล่าลือกันภายนอก เพื่อช่วยลบล้างมลทินให้เขา ได้ยินมาว่าเขาเป็น…”
“เรื่องในราชวงศ์ พวกเจ้าก็กล้าวิพากษ์วิจารณ์ด้วยหรือ” หญิงสาวอ่อนวัยในชุดเสื้อคลุมขนหนูสีสะอาดตาตวาดใส่พวกนางสองคนที่กำลังสนทนาอยู่ ใบหน้าของนางแฝงไปด้วยความดุดันและเย็นชา น้ำเสียงของนางเย็นยะเยือกดุจหิมะ ทำเอาหญิงสาวทั้งสองตกใจจนคุกเข่าลงกับพื้นพลางร้องขอความเมตตาด้วยร่างอันสั่นเทา
ก้าวออกเรือนไม่ดูฤกษ์ดูยาม พวกนางก็แค่เล่าขวัญเรื่องที่ทุกคนต่างพูดถึง ทว่าดันเจอกับน้องสะใภ้ของเขาเสียได้
มู่ซื่อจื่อเป็นจอมเผด็จการที่ไม่ไว้หน้าใครทั้งสิ้น หากเรื่องนี้ถึงหูของเขาละก็ ตระกูลพวกนางไม่แย่เลยหรือ
ฮูหยินน้อยมู่เอ่ยเสียงเย็นเชียบ “มาวิงวอนกับข้าก็ไร้ประโยชน์ หากอยากชดใช้ความผิดก็คัดพระสูตรจินกังมาสิบจบเพื่อเป็นการอวยพรให้พระชายารุ่ย มิเช่นนั้นหากเล่าลือกันออกไปคงไม่ใช่เรื่องดีต่อพวกเจ้าแน่”
“เจ้าค่ะ” พวกนางกล่าวขอบคุณ รีบช่วยกันประคองร่างลุกขึ้นแล้วสับเท้าเดินจากไป
พอฮูหยินน้อยมู่เห็นพวกนางเดินลับตาไปแล้ว ขณะที่กำลังจะหมุนตัวหางตาก็เหลือบเห็นร่างของฉินหลิวซี จึงเร่งฝีเท้าเดินเข้ามาเอ่ยถามว่า “ท่านเซียนใช่เจ้าอาวาสปู้ฉิวแห่งอารามชิงผิงเมืองหลีหรือไม่”