คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1202 โดนพิษแมลงกู่อีกคนแล้ว
ตอนที่ 1202 โดนพิษแมลงกู่อีกคนแล้ว
ฉินหลิวซีกำลังนั่งตัวตรงขัดสมาธิอยู่ในรถม้าจวนเฉิงเอินโหว รับรู้ความเคลื่อนไหวของเมืองหลวงในระยะนี้จากปากฮูหยินของมู่ซี
หลังจากเกิดแผ่นดินไหวที่แท่นบูชาศักดิ์สิทธิ์ ฮ่องเต้ได้รับบาดเจ็ดกำลังพักรักษาพระวรกาย จ้าวอ๋องถูกกักบริเวณอยู่ในจวน เฉิงอ๋องร่วมมือกับมหาเสนาบดีลิ่นและขุนนางแม่ทัพใหญ่อีกหลายคน เมื่อเฉิงอ๋องคิดว่าความมั่งคั่งได้ตกอยู่ในมือของตัวเองในที่สุด ราชวงศ์ก็ได้เผยออกมาทันทีว่าน้องสี่ของเขาที่เสียชีวิตไปแล้วได้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง
น้องสี่ผู้นั้นไม่ใช่ใคร เป็นรุ่ยอ๋องบุตรชายคนโตของหนิงอ๋อง ตอนที่พระชายาหนิงอ๋องตั้งครรภ์ ได้เสด็จไปเยี่ยมพี่สาวลูกพี่ลูกน้องในวังที่พึ่งให้กำเนิดบุตร ก็คือพระสนมเต๋อเฟยของฮ่องเต้ ทั้งสองคนได้คลอดบุตรพร้อมกัน พระชายาหนิงอ๋องให้กำเนิดทารกที่เสียชีวิตในครรภ์ออกมาก่อน เพื่อรักษาตำแหน่งพระชายาของตัวเอง จึงได้อาศัยความโกลาหลขโมยองค์ชายสี่ที่พระสนมเต๋อเฟยให้กำเนิดอย่างยากลำบากจนทำให้พระนางเสียชีวิตไป
ดังนั้นรุ่ยอ๋องในปัจจุบัน ความจริงแล้วเป็นบุตรชายของพระสนมเต๋อเฟยที่ถูกลักพาตัวไปในตอนนั้น เป็นโอรสมังกรโดยแท้จริง สิ่งนี่ถูกเปิดเผยจากปากของเสด็จแม่พระชายาหนิงอ๋อง ฮ่องเต้ได้ให้คนสืบสวนอย่างถี่ถ้วนจึงได้รู้ความจริง
ฮ่องเต้โปรดปรานพระสนมเต๋อเฟยเป็นอย่างมาก มิเช่นนั้นหลังจากที่นางเสียชีวิตจากการคลอดบุตรก็คงไม่แต่งตั้งตำแหน่งเป็นพระสนมหวงกุ้ยเฟย เมื่อได้รับบาดเจ็บหมดสติไป เนื่องจากฝันเห็นพระสนมหวงกุ้ยเฟยกำลังร้องไห้ จึงได้เปลี่ยนสถานะของรุ่ยอ๋องให้ถูกต้องในทันที
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือบุตรชายคนโตของหนิงอ๋องเสียชีวิตแล้ว ตอนนี้รุ่ยอ๋องเป็นบุตรชายของฮ่องเต้ที่ให้กำเนิดโดยพระสนมหวงกุ้ยเฟย และได้ประกาศแก่ใต้หล้า
ส่วนความจริงเป็นตามที่ประกาศหรือไม่นั้น ความจริงแล้วไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญก็คือฮ่องเต้บอกว่าเขาใช่ เขาก็ต้องใช่ ไม่จำเป็นต้องตรวจสอบพยานหรือคำสารภาพใดๆ เพราะผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้ ‘เสียชีวิต’ ไปแล้วสามคน
และสิ่งที่น่าสนใจก็คือหลังจากที่นางสนมหรูเฟยในวังได้ฟังข่าวนี้ก็ได้สะเทือนจิตใจจนเป็นลมหมดสติไป หลังจากฟื้นขึ้นมาก็พูดไม่ออก
ฉินหลิวซีหรี่ตาลงเพื่อปกปิดความเย้ยหยันในสายตา เมื่อข้องเกี่ยวกับผลประโยชน์และสถานการณ์โดยรวมของตัวเอง ‘รักแท้’ ของฮ่องเต้ก็ถูกละทิ้ง ก็ไม่รู้ว่า ‘นางสนมหรูเฟย’ ท่านนั้นจะรู้สึกอย่างไร
สถานะที่แท้จริงของนางก็ได้ ‘ตาย’ ไปแล้ว นางในตอนนี้เป็นเพียงนางสนมหรูเฟยที่สูญเสียความโปรดปราน ไม่มีบุตร ไม่ได้รับความรัก
และเมื่อรุ่ยอ๋องได้สลัดคราบกลายเป็นโอรสมังกรอย่างแท้จริง แม้ว่าตัวเขาจะไม่ได้อยู่ในวังหลวง แต่ในจวนอ๋องก็ได้เต็มไปด้วยผู้คนที่มาหาหน้าประตู ก่อนจะปิดประตูขอบคุณแขกอย่างรวดเร็ว เนื่องจากพระชายารุ่ยอ๋องป่วยหนัก
ทุกคนในเมืองหลวงที่ได้ยินเรื่องนี้ต่างก็บอกว่าพระชายารุ่ยอ๋องวาสนาไม่ถึงจึงแบกรับความมั่งคั่งเช่นนี้ไม่ได้ อย่างไรเสียการชี้แจง ‘สถานะ’ ของรุ่ยอ๋องในขณะนี้ยังได้แสดงถึงสัญญาณที่ฮ่องเต้ส่งออกไปถึงภายนอก
ไม่นานตำหนักตะวันออกคงจะได้ต้อนรับเจ้าของใหม่ในไม่ช้า
สำหรับรุ่ยอ๋อง ในปีนี้เขาได้ประสบความสำเร็จมากมาย รวมถึงการบรรเทาภัยพิบัติและการสังหารกลุ่มกบฏ ตอนนี้เขาก็ได้ขออาสาไปลาดตระเวนทหารทางซีเป่ย ซึ่งมีสงครามเกิดขึ้นบ่อยครั้ง หากเขาได้ทำผลงานที่นั่น ทั้งยังมีภูมิหลังที่ดี ตำแหน่งรัชทายาท คาดว่าจะตกอยู่ในมือเขาแล้ว
แต่พระชายารุ่ยอ๋องกลับป่วยจนไม่สามารถลุกจากเตียงได้ หากไม่ใช่เพราะวาสนาน้อยแล้วจะเป็นอะไร
ฮูหยินน้อยมู่มาที่วัดอวี้ฝอเพื่ออธิษฐานขอพรให้พระชายารุ่ยอ๋อง แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะโชคดีได้พบกับฉินหลิวซี นางได้รู้ถึงความสามารถของฉินหลิวซีจากปากของมู่ซีนานแล้ว หากนางเป็นคนออกโรง พี่หญิงสิบห้าก็จะมีโอกาสรอดแล้ว
ฉินหลิวซีเห็นความกังวลบนใบหน้าของฮูหยินน้อยมู่ จึงกล่าวว่า “เจ้ากำลังตั้งครรภ์ ดังนั้นควรผ่อนคลายจะดีกว่า อารมณ์หดหู่นั้นไม่ดีต่อครรภ์ของเจ้า”
“อ้อ อะไรนะ” ฮูหยินน้อยมู่เบิกตาโตด้วยความตกใจ “เมื่อครู่ท่านบอกข้าว่าอะไรนะ”
ฉินหลิวซีมองไปยังบริเวณท้องของนาง เอ่ย “เจ้าตั้งครรภ์แล้ว”
ฮูหยินน้อยมู่ก้มลงมองท้องตัวเองอย่างมึนงง นางตั้งครรภ์แล้ว?
นางกับมู่ซีแต่งงานกันมาเกือบสามปีแล้ว แต่ท้องของนางก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ มาตลอด ไม่ว่าจะเป็นตระกูลเดิมหรือเป็นเฉิงเอินโหวกับเว่ยปั๋วหงต่างก็เป็นกังวลอย่างมาก อย่างไรเสียมู่ซีก็เป็นทายาทเพียงหนึ่งเดียวของทั้งสองตระกูล หน้าที่สำคัญในการสืบทอดเชื้อสายตกอยู่ที่เขาเพียงผู้เดียว
ภูมิหลังตระกูลเดิมของนางไม่ได้มีชื่อเสียงมากนัก นางเป็นเพียงบุตรสาวคนโตของตระกูลผู้ตรวจการระดับห้า การที่ได้แต่งงานกับญาติของเชื้อพระวงศ์เป็นเพราะเห็นว่านางมีร่างกายแข็งแรง นิสัยอดทนแข็งแกร่ง และรูปร่างที่ดีต่อการให้กำเนิดบุตร
แต่อายุของนางนั้นมากกว่ามู่ซีสามปี การที่ยอมแต่งเข้ามาล้วนเป็นเพราะร่างกายของท่านแม่ต้องกินโสมเป็นอาหารเสริมบำรุงร่างกาย ตระกูลกู้นั้นยากจน หากกินอาหารเสริมราคาแพงเป็นเวลานาน เช่นนั้นก็จะไม่เหลืออะไรเลย ดังนั้นนางจึงได้แต่งงาน
เนื่องจากสินสอดของตระกูลมู่นั้นมากพอ แม้ว่าครอบครัวจะไม่เหมาะสมกัน ซ้ำยังมีความกดดันอย่างมากที่จะต้องมีบุตร กระทั่งเพื่อที่จะสืบเชื้อสายตระกูลต่อไปในภายภาคหน้า มู่ซีอาจจะต้องรับอนุมากมาย นางก็ยอมแต่ง
แต่เป็นเวลาสามปีแล้วที่นางไม่มีข่าวใดๆ เลย ทั้งสองตระกูลได้เตรียมเลือกอนุแล้ว แต่ตอนนี้ฉินหลิวซีบอกว่านางตั้งครรภ์แล้ว
นางไม่ค่อยอยากจะเชื่อเลย
ความประหลาดใจปรากฏขึ้นในดวงตา ฮูหยินน้อยมู่ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ถามว่า “ท่านเจ้าอาวาสมองออกจริงๆ หรือ”
ฉินหลิวซีให้นางยื่นมือออกมา วางสองนิ้วลงไป ชีพจรราวกับมีลูกปัดกลิ้งอยู่ ชีพจรเต้นแรง จึงกล่าวว่า “เป็นชีพจรมงคลจริงๆ เป็นเวลาหนึ่งเดือนแล้ว พื้นฐานร่างกายของเจ้าไม่เลวเลย คิดว่าตอนเด็กๆ คงจะออกกำลังกายมามาก ร่างกายมารดาแข็งแรง ชีพจรมงคลจึงได้แข็งแรง เพียงแต่ไม่ควรมีอารมณ์หดหู่ ร่างกายของมารดากับอารมณ์นั้นส่งผลกระทบต่อบุตรในครรภ์ แม่ลูกจิตผูกกันนั้นไม่ใช่เรื่องโกหก”
“เข้าใจแล้วๆ” ฮูหยินน้อยมู่ใช้มือทั้งสองลูบที่หน้าท้อง ถามข้ามลำดับขั้นมาว่า “ข้าต้องกินยารักษาครรภ์หรือไม่”
“หากไม่ได้รู้สึกไม่สบายก็ไม่จำเป็นต้องกิน ในช่วงสามเดือนแรกให้ระวังอากาศหนาวและการลื่นล้ม เวลาเดินต้องระมัดระวัง” ฉินหลิวซีเอ่ยเตือน
ฮูหยินน้อยมู่กล่าวขอบคุณอีกครั้ง จากนั้นก็ดึงกระเป๋าเงินออกมา มอบให้นางด้วยมือทั้งสองข้าง “ข้าเคยได้ยินกฎของท่าน การจับชีพจรจะมีเก็บค่ารักษา หากทำนายก็ต้องจ่ายหมื่นตำลึงทอง บนตัวข้าไม่ได้มีตำลึงเงินมากนัก เมื่อกลับไปถึงที่จวนจะส่งไปให้”
ฉินหลิวซีรับมา รู้สึกถึงน้ำหนักของกระเป๋าเงิน เห็นแก่เจ้าสุนัขขนปุยมู่ซี จึงมอบเครื่องรางแคล้วคลาดให้นางหนึ่งอัน
ฮูหยินน้อยมู่รู้สึกเหมือนได้สมบัติล้ำค่า
เมื่อมาถึงจวนรุ่ยอ๋อง สาวใช้เดินนำลงจากรถก่อน ให้คนไปส่งข้อความที่จวนเฉิงเอินโหว จากนั้นก็เรียกสตรีร่างกายบึกบึนมาอุ้มฮูหยินน้อยมู่ลงจากรถม้า แม้ว่าจะมีเพียงฉินหลิวซีที่ได้จับชีพจร แต่นางท่าทางดูน่าเชื่อถือเป็นอย่างมาก และระดูของฮูหยินน้อยก็ไม่มาจริงๆ ย่อมต้องระมัดระวัง
ฮูหยินน้อยมู่ได้ส่งคนมาบอกกับจวนอ๋องแต่เนิ่นๆ แล้ว ผู้ที่รออยู่มุมประตูตะวันออกคือแม่นมแซ่หวางของพระชายารุ่ยอ๋อง เมื่อเห็นว่าคนมาถึงแล้ว ก็ก้าวเข้าไปคำนับอย่างเป็นทางการ
ฉินหลิวซีเป็นแขกผู้มีเกียรติ ฮูหยินน้อยมู่ให้นางอยู่ข้างหน้า ตัวเองเดินตามหลังหนึ่งก้าว กลุ่มคนเปลี่ยนไปนั่งรถลากมุ่งหน้าไปยังตำหนักหลัก
เรือนหลักในจวนอ๋องอยู่กลางจวนรุ่ยอ๋อง เนื่องจากมีหิมะตกหนักติดต่อกันในเมืองหลวง เรือนต่างๆ จึงถูกปกคลุมไปด้วยชั้นหิมะ กำแพงสีแดงดูงดงามเป็นอย่างมาก
น่าเสียดายบรรยากาศด้านบนที่มีทั้งสีแดงและสีเทา กระดานแปดเหลี่ยมตำแหน่งตะวันตกเฉียงใต้ไร้สีสัน ซ้ำยังขาดไปหนึ่งมุม เจ้าบ้านที่เป็นสตรีจะล้มป่วยและเป็นผลเสีย
ฉินหลิวซีเหลือบมองจากนั้นก็ละสายตา นางมีหลายอย่างที่ต้องทำ หากฉีเชียนไม่ใช่คนที่นางเลือกมาจัดการเรื่องวุ่นวาย นางไม่มีทางมา ในเมื่อขุดหลุมให้เขาลงไป อย่างไรเสียก็รู้สึกผิดอยู่บ้าง
เมื่อเข้ามาในเรือน ฉินหลิวซีก็โดนคลื่นความร้อนแผดเผา จึงบังฮูหยินน้อยมู่ที่อยู่ข้างหลังนางตามสัญชาตญาณ ผลกระทบของความหนาวและความร้อนจะทำให้นางป่วยได้ง่าย
นางเงยหน้าขึ้น เห็นสตรีที่เคยพบกันมาก่อนหนึ่งครั้งสวมเสื้อคลุมหนา เอนตัวพิงหัวเตียงอย่างอ่อนแอ มองนางอย่างเงียบๆ เผยให้เห็นรอยยิ้มภายใต้สายตาที่ซับซ้อน “ท่านอาจารย์ ไม่ได้เจอกันนานเลย”
ฉินหลิวซีขมวดคิ้ว กดแมลงกู่ไหมทองที่กำลังกระสับกระส่ายอยู่บนข้อมือ เอ่ย “เจ้าถูกพิษแมลงกู่แล้ว”