คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1207 เห้อ ความปรารถนาอันแรงกล้าที่อยากจะเอาชนะนี้!
- Home
- คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า
- ตอนที่ 1207 เห้อ ความปรารถนาอันแรงกล้าที่อยากจะเอาชนะนี้!
ตอนที่ 1207 เห้อ ความปรารถนาอันแรงกล้าที่อยากจะเอาชนะนี้!
………………..
ตกดึกกลางคืน
ทันทีที่ฉินหลิวซีปรากฏตัวที่ศาลประจำเมืองในอำเภอหนาน ซาหยวนจื่อก็พุ่งออกมา ยกตะเกียงขึ้น มองเห็นนางผ่านแสงตะเกียงสลัว ดวงตาเป็นประกาย และเห็นว่าใบหน้าของนางเต็มไปด้วยฝุ่นและความเหนื่อยล้า เม้มริมฝีปากแล้วถอยออกไป
“นับว่าเจ้ารู้ความ ไม่ถามนั่นถามนี่” ฉินหลิวซีกล่าวพึมพำ กระโดดขึ้นไปบนแท่นเทวรูป พิงรูปปั้นทองสัมฤทธิ์ของเทพประจำเมือง
“บังอาจนัก แท่นเทวรูปเจ้าก็กล้ากระโดดขึ้นมาตามอำเภอใจ ตำแหน่งของข้าก็ให้เจ้านั่งไปเลยเถิด…ตายจริง สุรานี่ช่างส่งกลิ่นหอมนัก!”
เทพประจำเมืองหนานได้กลิ่นไหสุราที่ฉินหลิวซีหยิบออกมา กลิ่นหอมหวานของสุราพลันลอยออกมาหลังจากกระเทาะผนึกโคลนออก แมลงสุราตื่นในทันที
จากนั้นเขาก็เห็นเป็ดย่างอีกหนึ่งจาน ติ่มซำหน้าตาน่ากิน และธูปบูชาเทพเจ้า
ช่างเถิด เห็นแก่ของเซ่นไหว้เหล่านี้ แท่นเทวรูปนี้จะให้เด็กทรพีกระโดดเล่นสักสองสามทีก็ไม่เป็นไร
ฉินหลิวซีเห็นเขาทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ก็ยิ้มมุมปาก
โชคดีที่ตอนที่นางไปจัดการจ้าวอ๋อง เขากำลังดื่มสุรา สุราดียังไม่ได้เปิดผนึก ก็เลยขโมยมา ส่วนกับแกล้มก็มีควันร้อนระอุ เห็นว่ายังไม่ได้กินก็เลยห่อมาด้วย มิเช่นนั้นหากมามือเปล่าก็จะอกตัญญูเล็กน้อย
ฉินหลิวซีวางจอกหยกสองใบที่ขโมยมาด้วย เอาสุรามาเทใส่เหยือกสุรา เทให้คนละหนึ่งจอก
เทพประจำเมืองหนานเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติ หรูหรา อลังการ ไม่เหมือนกับนิสัยขี้เหนียวของเด็กทรพีคนนี้
“เจ้าไปปล้นบ้านใครมา”
ฉินหลิวซีดื่มก่อนหนึ่งจอก จากนั้นก็โน้มตัวไปหาเขาอย่างไร้อย่างอาย กล่าวว่า “อืม ไปปล้นคนรวยมาให้คนจน นี่เป็นสุราหลวง ตั้งใจเอามาให้ท่านได้ชิมโดยเฉพาะ”
เทพประจำเมืองหนานกล่าวว่า “ได้ยินมาว่าในเมืองหลวงเกิดแผ่นดินไหว เจ้าคงไม่ได้ไปขโมยมาจากในวังหรอกกระมัง”
“ไม่ใช่ เด็กเหลือขอในวังท่านนั้นไม่ใช่คนดีอะไร”
เทพประจำเมืองหนานเหลือบมองนาง กล่าวว่า “ความขุ่นเคืองรุนแรงเล็กน้อย ฮ่องเต้ทำให้เจ้าขุ่นเคืองหรือ”
“ว่ากันว่าตระกูลราชวงศ์นั้นไร้ความปรานีที่สุดนั้นเป็นเรื่องจริง ราชวงศ์นั้นโหดเหี้ยมไร้ความปรานีมากกว่าใครๆ” ฉินหลิวซีกล่าวเหน็บแนมว่า “มีบางคนเอาแต่คิดอยากจะฆ่าลูกสะใภ้เพื่อสถานการณ์โดยรวม แต่ความจริงแล้ว เพียงเพื่อตอบสนองความเห็นแก่ตัวของตัวเองเท่านั้น”
“ธรรมชาติของมนุษย์ย่อมเห็นแก่ตัว นี่เป็นเรื่องปกติที่สุด หากเจ้ายังหงุดหงิดเพราะเรื่องนี้ เช่นนั้นก็เป็นเพราะการฝึกบำเพ็ญยังไม่ถึงขั้น ไม่คุ้มค่า” เทพประจำเมืองหนานจิบสุรา เอ่ยต่อ “และตระกูลสวรรค์ไร้ความปรานีนั้นเป็นเรื่องที่รู้กันมาตั้งแต่สมัยโบราณ ในบรรดาฮ่องเต้ ใครๆ ก็อยากทิ้งชื่อเสียงที่ดีให้คงอยู่ตลอดไป”
แม้จะเอ่ยเช่นนี้ แต่ในใจก็รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
“เรื่องไม่ยุติธรรมในโลกนี้มีแปดเก้าในสิบส่วน ทุกคนล้วนมีชะตาชีวิตเป็นของตัวเอง หากเจ้าจะร้องเรียนทุกความไม่ยุติธรรม ไม่ช้าก็จะผมขาวตั้งแต่อายุยังน้อย” เทพประจำเมืองหนานเหลือบมองบนศีรษะนาง กล่าวอีกหนึ่งประโยคว่า “ไม่แน่อาจจะหัวล้านด้วยซ้ำ”
ฉินหลิวซี ‘จบกัน สุราขาวนี้เซ่นไหว้โดยเสียเปล่าแล้ว’
นางหยิบเหยือกสุราขึ้นมาราวกับจะระบายความโกรธ เทลงไปในปาก แล้วนอนลงข้างๆ เขา
สุราดีๆ ถูกนางกลอกปากดื่ม เทพประจำเมืองหนานปวดใจเป็นอย่างมาก เอาไหสุราซ่อนไว้ข้างหลัง อยากจะกล่าวสักสองประโยค เหลือบไปเห็นขอบตาคล้ำของนาง จึงกลืนคำพูดกลับคืนไป
ฉินหลิวซีหลับตาลง เอ่ย “ตาเฒ่า ท่านว่าบางคนรู้ว่าการตายเป็นเรื่องที่โง่เขลาไม่เป็นผลดีต่อตัวเอง แต่ก็ยังดึงดันจะทำเช่นนั้น โง่มากใช่หรือไม่”
“ก็ต้องดูว่าเพราะอะไร มีคนมากมายที่เสียสละตัวเองเพื่อสถานการณ์โดยรวม อย่างเช่นท่านแม่ทัพในสนามรบ มีหรือเขาจะไม่รู้ว่าหากลงสนามรบย่อมเป็นการสูญเสียชีวิต โง่หรือ ก็โง่ แต่เขาไม่มีทางเลือก เพราะหากเขาถอย คนที่อยู่ข้างหลังก็คือราษฎรผู้บริสุทธิ์ที่จะถูกสังหาร” เทพประจำเมืองหนานกล่าวว่า “หากยังคงทำสิ่งที่ไม่มีใครคิดว่าดี เช่นนั้นก็แสดงว่าเป็นการเลือกเส้นทางอันยิ่งใหญ่”
“เสียสละเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เพื่อทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่” ฉินหลิวซีลืมตาครึ่งหนึ่ง เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านพูดถูก ในโลกนี้ย่อมมีคนที่ทำเรื่องโง่ๆ อยู่เสมอ”
เทพประจำเมืองหนานอยากจะกล่าวอะไรบางอย่าง ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหน รู้สึกราวกับว่ากลิ่นสุราไม่หอมอีกต่อไป
เขานิ่งเงียบจนกระทั่งได้ยินเสียงหายใจดังมาจากข้างๆ เขาหันไปมอง เห็นว่าเด็กที่กำลังพูดอยู่เมื่อครู่นี้กำลังนอนหลับสนิทอย่างสงบ
นางขดตัวอยู่ข้างๆ มือข้างหนึ่งหนุนศีรษะ อีกข้างหนึ่งวางไว้บนหน้าอก ภาพนี้ราวกับเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
ในหัวของเทพประจำเมืองหนาน มีภาพหนึ่งผ่านเข้ามาแล้วหายไปอย่างรวดเร็ว
ก่อนที่เขาจะคว้ามันได้ ก็เห็นว่าฉินหลิวซีขมวดคิ้ว และนิ้วของนางก็สั่นเล็กน้อย
คิ้วที่ขมวดแน่นของฉินหลิวซีผ่อนคลายลง
เทพประจำเมืองหนานรู้สึกโล่งใจ คิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ไม่รู้ว่านึกอะไรได้ เขาเอาผนึกเทพประจำเมืองกดลงบนแท่นวิญญาณของนาง แสงสีทองของผนึกเทพทะลุเข้าไปในส่วนลึกของดวงจิตนาง
ฉินหลิวซีราวกับต่อต้านเล็กน้อย เปลือกตาขยับเบาๆ อยากจะลืมตาขึ้น
“เส้นทางใหญ่นั้นไร้รูปร่าง กำเนิดสวรรค์และผืนดิน เส้นทางใหญ่ไร้ความปรานี เคลื่อนตะวันและจันทรา” คำพูดของเทพประจำเมืองหนานราวกับมาจากฟากฟ้า นำทางนางเข้าสู่การทำสมาธิ
เด็กคนนี้แบกภาระมากมายเกินไปแล้ว
ฟ้าใกล้จะรุ่งสาง
ฉินหลิวซีตื่นจากภวังค์ รู้สึกถึงแสงศักดิ์สิทธิ์ที่มาจากดวงจิตในแท่นวิญญาณของตัวเอง และพลังวิญญาณบนร่างของเทพประจำเมืองหนานกลับมืดมนลงเล็กน้อย อดรู้สึกหมดปัญญาไม่ได้
“กว่าจะสะสมพลังแห่งความศรัทธาได้ไม่ง่ายเลย ให้ข้ามาแล้ว ตำแหน่งเทพของท่านก็จะยิ่งอยู่ห่างไกลจากความยิ่งใหญ่และความแข็งแกร่งมากขึ้น”
เทพประจำเมืองหนานแสร้งทำเป็นเย็นชา กล่าวว่า “ให้เจ้าเปล่าๆ ที่ไหนกัน หากไม่ใช่เพราะเห็นแก่เครื่องเซ่นนี้ ข้าจะให้เจ้าหรือ ฝันไปเถอะ ส่วนตำแหน่งเทพ เจ้าวางใจเถิด ข้าจะนั่งอยู่ตรงนี้ไปอีกนานแสนนาน”
“ได้” ฉินหลิวซีกลอกตา กล่าวว่า “ข้าจะรอดู”
เทพประจำเมืองหนานมองไปยังหน้าประตูอย่างไร้เหตุผล
สามีภรรยาวัยกลางคนพยุงกันเดินฝ่าหมอกยามเช้ามา ข้างหลังตามมาด้วยบ่าวรับใช้หนึ่งคน ในมือถือตะกร้าที่เต็มไปด้วยเครื่องบูชา
ฉินหลิวซีเหลือบมองทั้งสองคน เมื่อพวกเขาเข้ามา หยิบธูปออกมาจุด คำนับสามครั้ง จึงกล่าวว่า “เทพประจำเมืองที่นี่บอกว่าตราบใดที่ทั้งสองท่านบริจาคเสื้อผ้ากันหนาวหนึ่งหมื่นชิ้นให้กับคนยากจนทั้งหมดด้วยตัวเอง เมื่อบริจาคชิ้นที่หนึ่งหมื่น ก็จะได้รับพรสมดั่งปรารถนา พบกับบุตรอีกครั้ง”
สามีภรรยาที่สวมผ้าแพรหนาต่างพากันตกใจ กล่าวว่า “ท่านรู้ว่าเราต้องการขออะไรหรือ”
พวกเขายังไม่ทันได้กล่าวอะไรเลย นางก็บอกว่าจะได้พบกับบุตรอีกครั้ง
ราวกับมองออกถึงความประหลาดใจของพวกเขา ฉินหลิวซียิ้มเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “เทพประจำเมืองท่านนี้ศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างมาก ทันทีที่พวกเจ้าเข้าประตูศาลมาก็รู้ว่าพวกเจ้ามาขอเรื่องใด เมื่อได้สิ่งที่ต้องการแล้ว ขอให้พวกเจ้าถวายหมูทองย่างหนึ่งตัว กับสุราชั้นดีสามไหเป็นการขอบคุณเทพ”
ทั้งสองคนมองหน้ากัน สายตามีความตื่นเต้น ดึงกระเป๋าเงินออกจากเอวด้วยมือที่สั่นเทา แล้วโยนใส่กล่องบุญกุศล จากนั้นก็หันไปคำนับเทพประจำเมือง กล่าวว่า “หากหาตัวบุตรชายของข้าพบ ย่อมทำตามคำกล่าวของท่านเซียน ขอบคุณความเมตตาของท่านเทพ”
จากนั้นพวกเขาก็คำนับฉินหลิวซี วางเครื่องบูชาแล้วจากไป
เทพประจำเมืองหนานมองดูฉินหลิวซีเสกคาถา รู้สึกหมดปัญญาเล็กน้อย กล่าวว่า “ทั้งๆ ที่พวกเขาถูกกำหนดว่าไม่มีบุตรคอยส่งยามจากไป เหตุใดเจ้าจึงได้ทำสิ่งที่ขัดต่อเจตจำนงค์สวรรค์ ยืนกรานที่จะให้วาสนานี้”
“ดูท่านตระหนี่เข้าสิ การเริ่มต้นของวันนี้ คนแรกที่มาไหว้เทพประจำเมือง ย่อมต้องได้รับความเมตตาจากเทพเจ้า” ฉินหลิวซีกล่าวว่า “ส่วนเรื่องที่ขัดต่อเจตจำนงค์ของสวรรค์ ข้าขัดอะไรหรือ ก็พูดกันว่าเส้นทางห้าสิบ สวรรค์กำหนดไว้สี่สิบเก้า เช่นนั้นก็โทษข้าไม่ได้ ข้าไปดีกว่า”
นางโบกมือให้เขา เดินไปถึงหน้าประตูศาล พระอาทิตย์กำลังขึ้นพอดี แสงสีทองสาดส่องบนร่างกายของนาง ห้อมล้อมนางไว้ตรงกลาง
“แม้ว่าจะขัดต่อเจตจำนงค์สวรรค์ แต่ก็เป็นเพราะไม่เต็มใจ” ฉินหลิวซีหยุดอยู่ที่หน้าประตูครู่หนึ่ง มีเสียงดังมา “หากไม่เต็มใจก็ต่อสู้กับมันสักตั้ง เห้อ ความปรารถนาอันแรงกล้าที่อยากจะเอาชนะนี้…”
เทพประจำเมืองหนานตกอยู่ในภวังค์ เด็กทรพีคนนี้หยิ่งผยอง ราวกับเคยรู้จักมาก่อน เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง เด็กคนนั้นก็ได้หายตัวไปในแสงสีทอง
………………..