คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1208 จะสอนพวกเจ้าให้ว่าอะไรคือวิถีของโลกมนุษย์
- Home
- คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า
- ตอนที่ 1208 จะสอนพวกเจ้าให้ว่าอะไรคือวิถีของโลกมนุษย์
ตอนที่ 1208 จะสอนพวกเจ้าให้ว่าอะไรคือวิถีของโลกมนุษย์
………………..
ฤดูหนาวปีรัชศกที่สามสิบเอ็ดของคังอู่ ดั่งที่ฉินหลิวซีกล่าว เป็นฤดูหนาวที่หนาวเย็นกว่าปีที่แล้ว ดูเหมือนว่าทั่วทั้งต้าเฟิงจะถูกกระแสน้ำที่หนาวเย็นพัดพาไป ผู้คนจำนวนมากและสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอก็แข็งตายในฤดูหนาวนี้ ทางเหนือสุดถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็งหลายพันลี้ หิมะตกหนักปกคลุมภูเขา ราวกับโลกนี้ถูกปกคลุมไปด้วยผ้าสีขาวหนาเตอะ แสงขาวเงินประกายแสบตา
พายุหิมะรุนแรง สงครามทางด้านซีเป่ยและชายแดนอื่นๆ ยังคงดำเนินต่อไป พระคลังหลวงว่างเปล่า เสบียงอาหารขาดแคลน ไม่สามารถส่งกองทัพออกไปได้ เพื่อเป็นการส่งเสริมกำลังใจ รุ่ยอ๋องได้ควักกระเป๋าเงินส่วนตัวออกมาเติมเต็ม ซ้ำยังมีกงซุนเฉิงผู้ร่ำรวยในต้าเฟิงทำการบริจาคอย่างใจกว้าง ซีเป่ยไม่เพียงแต่ไม่สูญเสียเมือง แต่ยังได้เมืองที่สูญหายกลับคืนมาตามที่หวังอีกด้วย
ผลงานในสงครามครั้งนี้มีส่วนของรุ่ยอ๋องด้วย
เมื่อม้าเร็วส่งข่าวมาถึง ฮ่องเต้ยินดีเป็นอย่างมาก
เมื่อถึงตรุษจีนของรัชศกคังอู่ปีที่สามสิบสอง สิ่งแรกที่ข้าราชบริพารชั้นผู้ใหญ่ทำตั้งแต่ต้นปีใหม่คือการขอให้แต่งตั้งรัชทายาทเนื่องจากวังตะวันออกโชคไม่ดีนัก เพื่อราษฎรจะได้สบายใจ และเพื่อกำหนดสถานการณ์ของแคว้น
และหลังจากที่ฮ่องเต้อาเจียนออกมาเป็นเลือดอีกครั้ง ในที่สุดก็ได้มีรับสั่งราชโองการ รุ่ยอ๋ององค์ชายสามประสบความสำเร็จในระหว่างดำรงตำแหน่ง มีคุณธรรมและความอดทน เหมาะสมที่จะเป็นมกุฏราชกุมาร แต่งตั้งเป็นรัชทายาท และรีบกลับเมืองหลวงเพื่อมาดูแลแคว้นในทันที
ใช่แล้ว หลังจากที่รุ่ยอ๋องกลายเป็นบุตรชายของพระสนมหวงกุ้ยเฟยที่เสียชีวิตไป เฉิงอ๋องที่เดิมทีอยู่อันดับสามได้ถูกลดลำดับมาอยู่ที่ลำดับสี่
ได้ยินว่าหลังจากที่มีราชโองการแต่งตั้งรัชทายาท จ้าวอ๋องแทบจะกระอักเลือด ตะโกนด่าสาปแช่งว่าฮ่องเต้โง่เขลา จากนั้นก็ถูกโบยสามสิบที จนขาใช้การไม่ได้กลายเป็นพิการไปอย่างสิ้นเชิง
ปลายเดือนสองปีที่สามสิบสอง หลังจากทำพิธีแต่งตั้งรัชทายาทอย่างเรียบง่าย นักโทษทุกคนยกเว้นผู้ต้องโทษประหารชีวิตก็ได้รับการอภัยโทษ
รัชทายาทได้รับการแต่งตั้งแล้ว แต่ราษฎรกลับไม่ได้ดีใจมากนัก เนื่องจากภัยพิบัติที่เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้วรุนแรงเกินไป เมื่อถึงช่วงเพาะปลูกฤดูใบไม้ผลิในเดือนสาม น้ำแข็งและหิมะยังไม่ละลาย ไม่มีความหวังที่จะเพาะปลูกในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ยิ่งทำให้ราษฎรแต่ละพื้นที่ได้รับความทุกข์ยาก กลุ่มกบฏพึ่งพาตนเองได้ปรากฏขึ้นร้องเรียนให้ฮ่องเต้ออกจากตำแหน่งและสารภาพผิด
รัชทายาทรุ่ยรับอำนาจเข้ามาดูแลแคว้น ภายใต้การช่วยเหลือจากบรรดาข้าราชบริพารชั้นสูง พยายามเรียนรู้การปกครอง ปลอบโยนราษฎรที่ตกทุกข์ได้ยาก ขจัดความรุนแรง และแน่นอนว่าเขาก็จะปรึกษากับฮ่องเต้อย่างถ่อมตนสำหรับการตัดสินใจทุกครั้ง
อวี้ฉังคงเคยกล่าวว่าเมื่อเป็นรัชทายาทแล้วไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างจะราบรื่น การทดสอบที่แท้จริงพึ่งเริ่มต้นขึ้น เนื่องจากรัชทายาทเป็นนามทางการของผู้สืบทอด และในขณะเดียวกันก็ยังเป็นเสี้ยนหนามอันดับหนึ่งในสายตาของฮ่องเต้อีกด้วย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อฮ่องเต้นอนป่วยอยู่บนเตียง ในขณะที่รัชทายาทยังร่างกายแข็งแรงและเยาว์วัย สิ่งนี้มีแต่จะทำให้ฮ่องเต้หวาดระแวงมากขึ้น การแสดงความอ่อนแอคือหนทางที่จะป้องกันไว้ได้
ฉีเชียนจดจำคำพูดของอวี้ฉังคงไว้ในใจ ยิ่งเข้าใกล้ศูนย์กลางแห่งอำนาจมากขึ้นเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งเข้าใจว่าคนผู้นั้นไม่เคยวางอำนาจในมือลงอย่างแท้จริง แม้ว่าเขาจะดูอ่อนแอขณะนอนอยู่บนแท่นบรรทมมังกรหลังใหญ่ก็ตาม
เมื่อนึกถึงภรรยาที่กำลังป่วย หัวใจของเขาก็สั่นสะท้าน และตระหนักว่าสิ่งที่ฉินหลิวซีกล่าวดูเหมือนจะเกี่ยวกับความมั่งคั่ง แต่ความจริงแล้วถูกรายล้อมไปด้วยอันตรายและกับดักทุกสี่ทิศ กระทั่งเขาอาจจะไม่สามารถปกป้องภรรยาและบุตรไว้ได้
ฉีเชียนทั้งรู้สึกเศร้าและโกรธ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับฮ่องเต้ ท่าทางของเขานั้นถ่อมตนเป็นที่สุด ภายใต้การชี้แนะของอวี้ฉังคง เขาก็ได้เรียนรู้ที่จะแสดงละครแล้ว
เส้นทางสู่ความยิ่งใหญ่เต็มไปด้วยขวากหนาม มันไม่ง่ายเลยที่จะเดินไปนั่งบนบัลลังก์มังกรทองอย่างปลอดภัย
โดยเฉพาะในปีที่แต่งตั้งรัชทายาท ช่างน่าสังเวชเป็นอย่างยิ่ง มีภัยพิบัติทางธรรมชาติและที่มนุษย์สร้างขึ้นมากมายไม่หยุดหย่อน พระคลังหลวงก็ว่างเปล่า อุบัติเหตุเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ราวกับเข้ามาจัดการเรื่องยุ่งๆ ด้วยมือเปล่า ตลอดทั้งวันฉีเชียนยุ่งจนหัวหมุน
ราษฎรก็รู้สึกประหลาดเล็กน้อยเช่นกัน ราวกับว่าภัยพิบัติทางธรรมชาติและที่มนุษย์สร้างขึ้นมาพร้อมกันโดยนัดไว้แล้ว ‘เจ้าร้องเพลงข้าขึ้นแสดงละคร’ ไม่จบไม่สิ้น ทำให้คนเหน็ดเหนื่อยใจ
เนื่องจากมีนักพรตและพระภิกษุเดินทางในโลกฆราวาสบ่อยครั้ง ราษฎรจำนวนมากจึงคิดว่าในโลกใบนี้มีปีศาจร้ายปรากฏขึ้น จึงได้มีภัยพิบัติอย่างต่อเนื่อง
ข่าวลือแพร่กระจาย
ทันใดนั้นก็มีคนตะโกนสังหารปีศาจร้าย สิ่งที่เรียกว่าปีศาจร้ายก็คือนักพรตและพระภิกษุเหล่านั้น บางคนก็คิดว่าเป็นพวกปีศาจและผีที่มองไม่เห็น ข่าวลือต่างๆ มีมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ศาสนาพุทธและลัทธิเต๋าสูญเสียผู้ศรัทธาไปจำนวนไม่น้อย และได้มีการปรากฏตัวขึ้นของลัทธิเทพแห่งสวรรค์มาต่อกรกับศาสนาพุทธและลัทธิเต๋า
ความวุ่นวายมาถึง ราษฎรเดือดร้อน
จนกระทั่งมาถึงเดือนหก
ฉินหลิวซีเดินออกมาจากห้องลับของอารามชิงผิง เป็นเวลากว่าครึ่งปีนับตั้งแต่ที่นางกักตัวฝึกบำเพ็ญ ในช่วงเวลานี้นางแยกตัวเองออกมาจากความวุ่นวายภายนอก มุ่งเน้นไปที่การฝึกบำเพ็ญและการคำนวณแผนภาพค่ายอาคมขังเซียนอยู่ในห้องลับ สำหรับเรื่องภายนอกนางมอบหมายเรื่องทั้งหมดให้แก่เฟิงซิว ได้รับข้อความจากเขาอยู่เรื่อยๆ จัดการดวงตาค่ายอาคมเป็นครั้งคราว
ดวงจันทร์สว่างไสวดวงดาวส่องแสง นางเขย่งปลายเท้าเล็กน้อย กระโดดขึ้นไปบนหลังคา เงยหน้ามองเส้นทางดวงดาว นับข้อนิ้วทำนายไปเรื่อยๆ สีหน้าเย็นชาราวกับดวงจันทร์
เถิงเจามองคนที่อยู่บนหลังคาอยู่ข้างล่าง ลมภูเขาพัดเสียดสีกับเสื้อคลุมของนางจนเกิดเสียง ราวกับจะบินขึ้นไปบนอากาศ
เขารู้สึกตื่นตระหนกและไม่สบายใจเล็กน้อย กระโดดขึ้นไปตามสัญชาตญาณ
ฉินหลิวซีหันมา โบกมือให้เขา กล่าวว่า “เหตุใดจึงได้ขึ้นมาที่นี่”
เถิงเจาเดินมายืนอยู่ข้างนาง
ฉินหลิวซีมองดูชายหนุ่มที่เย่อหยิ่งและเด็ดเดี่ยว ทำท่าทางวัดขนาด เลิกคิ้วพลางยิ้มแล้วเอ่ย “สูงพอๆ กับอาจารย์แล้ว แต่ตบะยังห่างไกลอยู่มาก ดูเหมือนว่าสอนลูกศิษย์ได้ดีจนอาจารย์ต้องอดตาย คงจะไม่เกิดขึ้นกับพวกเรา”
“เป็นอาจารย์หนึ่งวันถือเป็นบิดาตลอดชีวิต ผู้ที่เห็นแก่ตัวไม่ใช่อาจารย์ที่ดี ท่านต้องสอนทุกสิ่งที่ได้เรียนรู้มาตลอดชีวิตแก่ข้า” เถิงเจาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่ายว่า “เส้นทางการฝึกบำเพ็ญนั้นยาวไกล มีการเปลี่ยนแปลงมากมายในการฝึกบำเพ็ญ ข้ารู้สึกว่าต่อให้ข้าเรียนจนแก่ตายก็เรียนไม่หมด”
“นี่ เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว สำนักของพวกเราให้ความสำคัญในการฝึกบำเพ็ญอย่างอิสระมาโดยตลอด กล่าวก็คืออาจารย์นำเจ้าเข้าสู่สำนัก ส่วนการฝึกบำเพ็ญขึ้นอยู่กับตัวเจ้าเอง” ฉินหลิวซีรู้สึกผิดเล็กน้อยภายใต้การจ้องมองของเขา เกาจมูกพลางเอ่ย “เอาล่ะ ยังมีเวลาอยู่ อาจารย์จะสอนวิธีปล้นคนรวยมาให้คนจนแก่เจ้า”
เถิงเจา “?”
อะไรนะ
“จะไปปล้นบ้านคนหรือ เรื่องนี้ข้าถนัด พาข้าไปด้วย” เจ้าโสมน้อยค่อยๆ โผล่ออกมาจากแผ่นกระเบื้องที่อยู่ตรงเท้าของพวกเขา
ฉินหลิวซีสีหน้ามืดครึ้มด้วยความรังเกียจ “ทำลายกระเบื้องหลังคา เจ้ากล้าไม่เบาเลย ทำหลังคารั่ว ข้าจะจับเจ้ามาปรุงยา”
นางยกมือขึ้น ไม่ต้องโค้งตัวลงก็คว้ามันมาอยู่ในมือได้แล้ว มือขโมยผลบนศีรษะมันมาอย่างรวดเร็วแล้วใส่เข้าไปในปาก มืออีกข้างหนึ่งจับขาของมันไว้ แกล้งทำเป็นจะหักขา
“เจาเจาช่วยข้าด้วย” เจ้าโสมน้อยตกใจกลัว คนบางคนไม่มายุ่งก็แล้วไป พอมายุ่งก็ทำตัวดุร้าย มันจะรักษารากโสมไว้ไม่ได้แล้ว
เถิงเจาใบหน้าเย็นชา “ช่วงนี้เจ้ามีน้ำมีนวลมากขึ้น มิเช่นนั้นก็คงไม่สามารถทะลุหลังคาขึ้นมาได้ จะให้อาจารย์สักหนึ่งเส้นก็ไม่เป็นไร”
เจ้าโสมน้อยส่งเสียงกรีดร้อง นี่เป็นสิ่งที่คนควรพูดรือ
เห็นได้ชัดว่าอาจารย์ลูกศิษย์คู่นี้กำลังแก้แค้นที่ข้าแอบฟัง ก็แค่ไปปล้นเอง มีอะไรที่ข้าต้องให้เงินแล้วถึงจะฟังได้
ฉินหลิวซีหยอกล้อเจ้าโสมน้อยอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ย “เอาล่ะ เมื่อถึงเวลาก็ให้ข้ามาสักหนึ่งเส้น ข้าจะเอาไปปรุงยา”
เมื่อต้องการสร้างแผ่นค่ายอาคม นางจะต้องมียาพลังวิญญาณมาเสริม มิเช่นนั้นจะไม่สามารถผ่านไปได้
ฉินหลิวซีมองไปทิศทางหนึ่ง “หนูตัวนั้น มานี่ ไม่ต้องหลบ เจ้านั่นแหละ”
หนูทองร้องเสียงแหลม วิ่งเข้ามาหาราวกับลมกระโชกแรง นั่งลงบนไหล่ของนางอย่างกล้าหาญ
“ไปกันเถิด ข้าจะสอนพวกเจ้าว่าอะไรคือวิถีของโลกมนุษย์” ฉินหลิวซีโยนเจ้าโสมน้อยให้เถิงเจาแล้วกระโดดลงไป
เถิงเจารีบยัดเจ้าโสมน้อยไว้ในอ้อมแขนแล้วหายไปในท้องฟ้ายามค่ำคืน
ชิงหย่วนที่ยืนอยู่ข้างล่างมองดูพวกเขาหายตัวไป เขายกมือขึ้นเช็ดหางตา อายุมากแล้วจริงๆ เหตุใดจึงได้หลั่งน้ำตาเมื่อเห็นเด็กเหล่านี้สร้างปัญหา
………………..