คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1210 ทำร้ายคนของข้า รนหาที่ตาย!
………………..
หลังจากเรื่องวุ่นวาย ในที่สุดฉินหลิวซีก็ได้รู้ว่าเหตุใดพวกเฉิงหยางจื่อจึงได้ถูกผู้คนในหมู่บ้านไล่ล่าทุบตี เป็นเพราะพวกเขาอยากรื้อถอนห้องโถงบรรพบุรุษของอีกฝ่าย
อ้อ ไม่ใช่รื้อถอนห้องโถงบรรพบุรุษ แต่เป็นการรื้อถอนสัตว์ผู้พิทักษ์ที่ประดิษฐานอยู่ในห้องโถงบรรพบุรุษ มันคือวัวขุย[1]ที่ได้รับการบูชามาหลายชั่วอายุคนในหมู่บ้านจวี่จื่อเป็นเวลาห้าสิบปีแล้ว
ตอนนี้พวกเฉิงหยางจื่อต้องการจะทำลายมัน ก็ไม่แปลกที่ชาวบ้านเหล่านี้จะสู้ตายอย่างบ้าคลั่ง แม้ว่าเฉิงหยางจื่อจะบอกว่าสัตว์มงคลตนนั้นได้กลายเป็นสัตว์ดุร้าย เป็นอันตรายต่อหมู่บ้าน ชาวบ้านก็เพียงแต่คิดว่าพวกเขาเป็นนักพรตปีศาจที่หลอกลวงคนด้วยคำพูดชั่วร้าย
ฉินหลิวซีจึงเอ่ยกับผู้ที่เป็นผู้ใหญ่บ้านว่า “ในโลกใบนี้มีปีศาจร้ายก็จริง แต่ไม่ใช่คนมีคุณธรรมอย่างพวกเรา เป็นสิ่งที่พวกเจ้าไม่มีวันได้เห็น และข้าก็หวังว่าพวกเจ้าจะไม่ได้พบเจอ มองไม่เห็น ตอนนี้คนของศาสนาพุทธและลัทธิเต๋าได้เดินทางอยู่ในโลกฆราวาส ก็เพื่อปราบสิ่งชั่วร้ายรักษาสิ่งที่ถูกต้อง เขาแกะสลักอักขระไว้บนสัตว์หินแกะสลักบางตัวซึ่งอาจก่อให้เกิดภัยพิบัติ พวกเราต้องค้นหาแล้วทำลาย”
เฉิงหยางจื่อคิดไม่ถึงว่าฉินหลิวซีจะเอ่ยออกมาตามตรง ไม่กลัวจะทำให้เกิดความตื่นตระหนกหรือ อย่างที่ทุกคนรู้ดี โลกก็เป็นเช่นนี้ ความตื่นตระหนกจะมากน้อยนั้นไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว เมื่อคำพูดนี้เผยแพร่ออกไปก็ใช่ว่าทุกคนจะเชื่อ พวกเขายินดีที่จะเชื่อในสิ่งที่เห็นมากกว่า อย่างเช่นนักพรตเป็นปีศาจร้ายที่ว่า
ผู้ใหญ่บ้านขมวดคิ้ว “เหตุใดพวกเราต้องเชื่อเจ้าด้วย”
“พวกเจ้าจะไม่เชื่อก็ได้ แต่หากมีสิ่งนั้นอยู่ โชคร้ายก็จะอยู่ในหมู่บ้านตลอดไป ทำให้พวกเจ้าทุกคนล้วนมีโชคร้ายพัวพัน ตายไปอย่างโชคร้าย แพร่กระจายเป็นวงกว้างเหมือนกับโรคระบาด” ฉินหลิวซีเอ่ยว่า “เจ้าลองคิดดู หมู่บ้านของพวกเจ้าเริ่มเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ เมื่อก่อนหน้านี้ที่มีสัตว์ผู้พิทักษ์ ตอนนั้นไม่ราบรื่นไปเสียทุกเรื่องเหมือนตอนนี้หรือไม่ ผู้คนตายไปทีละคน ซ้ำยังตายอย่างแปลกประหลาด”
ทุกคนหัวใจเต้นรัว
“เป็นเพราะสัตว์มงคลได้กลายเป็นสัตว์ชั่วร้าย จึงทำให้ฮวงจุ้ยของหมู่บ้านถูกทำลาย ชาวบ้านประสบพบเจอกับความลำบาก ข้าอยากจะบอกแค่นี้ จะเชื่อก็เชื่อ ไม่เชื่อก็ช่าง อย่างไรเสียคนที่ตายก็ไม่ใช่ข้า เจาเจา กลับมา พวกเราไปกันเถิด” ฉินหลิวซีเรียกเถิงเจา
พวกเถิงเจาเดินมาทันที พวกเขาหันหลังแล้วจากไป
“สหายเต๋าเฉิงหยางจื่อ ไปได้แล้ว ไม่ไปแสดงว่าอยากถูกทุบตีหรือ”
เฉิงหยางจื่อกับลูกศิษย์สับสนเล็กน้อย จะไปจริงๆ หรือ
“ท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์อยู่ก่อน เข้าใจผิดกันทั้งนั้น อธิบายชัดเจนแล้วก็ดี” เมื่อผู้ใหญ่บ้านเห็นฉินหลิวซีคิดจะไปก็ไป จึงรีบตะโกนเรียกพลางวิ่งมาหา “ท่านอาจารย์ ผู้ที่ออกบวชมีความเมตตา ท่านต้องช่วยพวกเราด้วยเถิด”
“ไม่เรียกนักพรตปีศาจแล้วหรือ” ฉินหลิวซีแค่นเสียงเบาๆ มองผู้ใหญ่บ้านพลางเอ่ยว่า “นำทางไปเถิด”
“ได้ๆ เชิญทางนี้” ผู้ใหญ่บ้านพยักหน้าพลางโค้งคำนับ เอ่ยกับชาวบ้านที่ยังคงสับสนว่า “แยกย้ายกันไปเถิด”
ความแตกต่างนี้ เฉิงหยางจื่อรู้สึกสับสนในใจเป็นอย่างมาก
เขาลืมแก่นแท้ของลัทธิเต๋าไป ควรจะเป็นเหมือนกับฉินหลิวซี เอ่ยอย่างตรงประเด็น!
ที่ชื่อว่าหมู่บ้านจวี่จื่อ เนื่องจากมีจวี่จื่อนามว่าวังชวนในหมู่บ้านของเขาเมื่อห้าสิบปีก่อน ได้ยินมาว่าตอนที่เขาสอบจวี่จื่อ เนื่องจากประสบภัยน้ำท่วมครั้งใหญ่ทำเอาเกือบตาย ตอนที่เขาสะลึมสะลือ ได้ถูกวัวขุยตัวหนึ่งช่วยไว้ อุ้มเขาขึ้นฝั่ง ซ้ำยังพูดภาษาคนกับเขา บอกว่าชาติที่แล้วเขาได้สะสมบุญกุศลอันใหญ่หลวง จึงได้รอดพ้นจากภัยพิบัติ ซ้ำยังบอกว่าเขาจะสอบติดจวี่เหริน[2] แต่เขาจะเป็นได้เพียงจวี่เหริน จากนี้ไปต้องคงอยู่ในคุณธรรมสะสมความดี จึงจะปกป้องคนรุ่นต่อไปได้
หลังจากที่วังชวนตื่นขึ้น ยังคงไม่อยากจะเชื่อเล็กน้อย เพียงแต่รู้สึกว่าตัวเองฝันไปโดยสัญชาตญาณ แต่ความฝันนั้นชัดเจนมาก มากจนเขาจำรายละเอียดทั้งหมดได้ ต่อมาเขาได้สอบติดจวี่เหรินจริงๆ แล้วก็หยุดอยู่ที่ขั้นจวี่เหริน จึงตัดสินว่าวัวขุยตัวนั้นตั้งใจมาคุ้มครองเขาโดยเฉพาะ ดังนั้นเขาจึงวาดภาพวัวขุยจากความทรงจำ ขอให้ช่างหินแกะสลักหินเป็นวัวขุยเพื่อบูชาเป็นสัตว์ผู้พิทักษ์
เมื่อมีสัตว์ผู้พิทักษ์แล้ว หมู่บ้านก็ดำเนินไปอย่างราบรื่น ต่อมาได้มีจวี่เหรินเพิ่มมาอีกสองสามคน หมู่บ้านจึงเปลี่ยนชื่อเป็นหมู่บ้านจวี่จื่อ ตั้งห้องโถงบรรพบุรุษ และสัตว์ผู้พิทักษ์ก็ได้ถูกอัญเชิญไปสักการะบูชาในห้องโถงบรรพบุรุษ
แต่ในช่วงสิบปีมานี้ มีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นบ่อยครั้งในหมู่บ้าน ผลผลิตพืชผลก็ลดลงเรื่อยๆ พวกเขาไม่มีจวี่เหรินเพิ่มขึ้นอีกเลย แม้แต่ซิ่วไฉ[3]ก็ไม่มี มีคนตายจากไปเรื่อยๆ ด้วยการตายแปลกๆ
ผู้ใหญ่บ้านเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้หมู่บ้านจวี่จื่อของพวกเราก็มีสวนต้นสาลี่ขนาดใหญ่ เมื่อถึงฤดูออกดอกก็สวยงามเป็นอย่างมาก แต่หลายปีมานี้ไม่ออกดอกแล้ว ไม่มีผลเลยสักผล”
เจ้าโสมน้อยเอ่ยแทรกขึ้นมาว่า “ต้นไม้และสิ่งอื่นๆ ล้วนให้ความสำคัญกับวันเวลา ปีหนึ่งมีผลมากมาย อีกปีหนึ่งเก็บเกี่ยวได้ไม่ดี แต่ต้องไม่ใช่ทุกปีที่ไม่มีผลเพราะภัยพิบัติ เช่นนี้พวกเจ้ายังไม่รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติกับฮวงจุ้ยอีกหรือ”
ผู้ใหญ่บ้านเอ่ยด้วยความโมโหว่า “ก็ใช่ว่าพวกเราไม่เคยเชิญนักพรตมาดูฮวงจุ้ย แต่ให้เงินไปแล้ว ก็แค่เผากระดาษยันต์ไม่กี่แผ่นก็จบเรื่องแล้ว หิ้งดอกไม้ก็มีการจัดวาง แต่ดูแล้วน่ากลัวมากกว่า ไม่ได้มีประโยชน์ใดๆ เลย ก็ยังคงไม่ออกผล คนก็ตายไปเช่นเดิม”
ทันทีที่เขาเอ่ย ก็รู้สึกว่าตัวเองล่วงเกินแล้ว จึงรีบเอ่ยว่า “ข้าไม่ได้หมายถึงพวกท่าน ข้าแค่พูดถึงบางคนที่ชอบหลอกลวงผู้คน ดังนั้นพวกนักพรตเฒ่าบอกว่าหมู่บ้านของข้ามีสิ่งผิดปกติ ซ้ำยังบอกว่าสัตว์ผู้พิทักษ์เป็นอันตรายต่อพวกเรา พวกเราย่อมโกรธเป็นธรรมดา เป็นเพราะถูกหลอกจนกลัวไปหมดแล้ว”
ฉินหลิวซีเอ่ยว่า “เช่นนั้นเจ้าก็ไม่ลองคิดดูสักหน่อย ก่อนหน้านี้เคยมีใครชี้ให้เห็นถึงปัญหาของสัตว์หินแกะสลักในห้องโถงบรรพบุรุษมาก่อนหรือไม่ แล้วพวกเขารู้ได้อย่างไรว่าในห้องโถงบรรพบุรุษของพวกเจ้าได้บูชาสัตว์หินแกะสลักตนนี้อยู่”
“จริงด้วย ห้องโถงบรรพบุรุษไม่ได้เปิดตลอดเวลา พวกท่านรู้ได้อย่างไร” ผู้ใหญ่บ้านมึนงงเล็กน้อย
ซู่หมิงเอ่ย “ข้าบอกไปแล้วว่าเป็นคนในหมู่บ้านของพวกเจ้าที่เป็นคนบอก ผีที่ตายไปแล้วนามว่าวังเสี่ยวเฉวียน”
“วังเสี่ยวเฉวียนตายแล้ว?” ผู้ใหญ่บ้านมึนงง เอ่ยว่า “ไม่ใช่แล้ว เมื่อสองวันก่อนแม่ของเขายังบอกว่าเขากลับมาอยู่เลย”
เฉิงหยางจื่อถอนหายใจพลางเอ่ยว่า “เขาเป็นผีใหม่ วันที่กลับมาคือเจ็ดวันแรกที่เขาตายไป คนตายในต่างแดนก็จะเร่ร่อนกลับมาบ้าน หากไม่มีคนมาส่งก็กลับมาไม่ได้”
ผู้ใหญ่บ้านหน้าซีด
ในเวลานี้มีคนผู้หนึ่งวิ่งล้มลุกคุกคลานมาพลางเอ่ยว่า “ผู้ใหญ่บ้าน แย่แล้ว แม่ตาบอดของพี่เสี่ยวเฉวียนจากไปแล้ว”
ผู้ใหญ่บ้านตกใจ รีบเดินตามไป จากนั้นก็มองไปยังฉินหลิวซี เอ่ยกับคนผู้นั้นว่า “จู้จื่อ เจ้าพาพวกเขาไปที่ห้องโถงบรรพบุรุษก่อน ข้าไปครู่เดียวเดี๋ยวกลับมา”
เขารีบเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
เจ้าโสมน้อยถามคนที่ชื่อว่าจู้จื่อผู้นั้นว่าเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวของวังเสี่ยวเฉวียน หลังจากได้ยินสิ่งที่เขาเอ่ยทุกคนต่างก็พากันเงียบ
เดิมทีเป็นครอบครัวที่สงบสุข แต่ภายในสิบปี พ่อก็เสียชีวิตก่อน จากนั้นก็เป็นบุตรชายคนโต ตามมาด้วยลูกสะใภ้คนโตที่ตายทั้งกลม ต่อมาก็ถึงตาบุตรชายนามว่าเสี่ยวเฉวียน ตอนนี้คนสุดท้ายก็ได้จากไปแล้ว
เสียชีวิตทั้งครอบครัวอย่างแท้จริง
หลายคนรู้สึกไม่สบายใจ
“ส่วนที่บางที่สุดของเชือกป่านขาด โชคร้ายตามหาแต่คนทุกข์ยาก” เฉิงหยางจื่อถอนหายใจยาว
ฉินหลิวซีสายตาเย็นชา เอ่ยว่า “สังหารสัตว์ร้ายก่อน แล้วค่อยไปสวดส่งวิญญาณทางด้านนั้นสักหน่อย”
จู้จื่อที่นำทางรู้สึกเย็นที่สันหลัง เหลือบมองนางอย่างระมัดระวัง ช่างแปลกจริงๆ ในบรรดานักพรตเหล่านี้ ทั้งๆ ที่นักพรตเฒ่าผู้นั้นอายุเยอะที่สุด แต่หากพูดถึงความน่ากลัว ยังคงเป็นนักพรตหญิงผู้นี้ที่น่ากลัวที่สุด
เขาเร่งฝีเท้า ในไม่ช้าก็พาผู้คนมาถึงห้องโถงบรรพบุรุษ ซ้ำยังตัวสั่น
จู่ๆ ท้องฟ้าก็มืดลง มีลมเย็นพัดมา
เสียงคำรามอันดุเดือดพุ่งออกมาจากห้องโถงบรรพบุรุษตรงไปยังจู้จื่อที่อยู่ด้านหน้าสุด
เถิงเจาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ดึงจู้จื่อมาไว้ข้างหลังแล้วผลักออกไปตามสัญชาตญาณ พลังอันดุร้ายนั้นกระแทกบนร่างของเขา ยันต์หยกบนร่างของเขาแตกกระจาย เขาอาเจียนออกมาเป็นเลือด
เจ้าโสมน้อยตะโกนร้อง “เจาเจา!”
“ทำร้ายคนของข้า เจ้ารนหาที่ตาย!” ฉินหลิวซีโกรธจัด เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว นางฟาดศาสตราวุธเทพในมือลงไป
[1] วัวขุย ตามตำนานของจีนแล้ว ขุย คือสัตว์ประหลาดชนิดหนึ่ง มีลักษณะตัวเป็นวัว มีเทา แต่มีเพียงขาเดียว
[2] จวี่เหริน เป็นการสอบคัดเลือกระดับภูมิภาค
[3]ซิ่วไฉ เป็นการสอบคัดเลือกระดับท้องถิ่น