คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1211 อารามชิงผิงช่างร้ายกาจและร่ำรวย
ตอนที่ 1211 อารามชิงผิงช่างร้ายกาจและร่ำรวย
………………..
พลังชั่วร้ายที่เย็นยะเยือกราวกับใบมีดเหล็ก กลายเป็นวัวขุยที่มีเขี้ยวพุ่งเข้าโจมตีเถิงเจา แต่ถูกเครื่องรางหยกคุ้มภัยบนตัวของเขาขวางไว้ พลังล่าช้าลงเล็กน้อยแต่ยังคงไม่เปลี่ยนวิถีโจมตี พยายามจะเอาชนะเขา
อย่างไรก็ตาม เมื่อศาสตราวุธเทพมาถึง
ศาสตราวุธเทพอันแหลมคมระเบิดพลังอย่างไม่มีที่สิ้นสุดออกมา ฟาดลงไป ตัดหัวของวัวขุยที่ถูกสร้างขึ้นด้วยพลังดุร้ายอันไร้ที่เปรียบ
วัวขุยส่งเสียงร้องแสบแก้วหู
มีวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาจากหัววัว มีทั้งคนแก่ เด็กน้อย บุรุษ และสตรี กระทั่งวิญญาณสัตว์ เสียงร้องโหยหวนต่างๆ นานาทำให้คนใจสั่นไหว เจ็บปวดดวงวิญญาณ
ความดุร้าย ความชั่วร้าย และความขุ่นเคืองปะปนกัน ปกคลุมทั่วทั้งท้องฟ้า
จู้จื่อตกใจมากจนหายใจไม่ออกก่อนจะล้มลง ดวงวิญญาณออกจากร่าง
เถิงเจารีบดึงดวงวิญญาณของเขากลับคืนมาทันที พยายามดันกลับเข้าไป จากนั้นก็เอายันต์วิญญาณออกมาหลายแผ่นติดไว้ที่หน้าผากกับไหล่ทั้งสองข้างของเขา
เฉิงหยางจื่อเองก็เริ่มมีการตอบสนอง เขาร่ายคาถาด้วยมือทั้งสองข้าง ถือยันต์วิญญาณ วางค่ายอาคมในบริเวณนี้อย่างรวดเร็ว เพื่อป้องกันไม่ให้วิญญาณแค้นเหล่านั้นพุ่งออกไป มิเช่นนั้นหากวิญญาณแค้นพุ่งออกไป เกรงว่าผู้คนทั้งหมู่บ้านจวี่จื่อจะตกอยู่ในอันตราย
ดั่งที่ฉินหลิวซีกล่าว เขาเป็นนักพรตระดับสูงที่ก้าวเข้าสู่การบำเพ็ญขั้นสร้างรากฐานครึ่งหนึ่งแล้ว ค่ายอาคมที่วางนั้นราวกับวาดม่านอาคม มีดวงวิญญาณหนึ่งหรือสองตนต้องการจะพุ่งออกไป แต่ถูกเขาใช้แส้หางม้าเกี่ยวกลับคืนมา
ในค่ายอาคม ลมหนาวกระโชกแรง ผีโหยหวน หมาป่าเห่าหอน ราวกับนรกผีร้าย
ผีดุร้ายเหล่านั้นออกจากค่ายอาคมไม่ได้ จึงทำได้เพียงพุ่งเข้าใส่เฉิงหยางจื่อและคนอื่นๆ
นักพรตก็เป็นคน หากกลืนกินพวกเขา ก็ยิ่งเป็นการเสริมกำลังที่ดี เพราะคนที่ฝึกบำเพ็ญเช่นนี้ ส่วนใหญ่ล้วนเต็มไปด้วยบุญกุศลและความศรัทธา
ในชั่วขณะหนึ่ง พลังวิญญาณกับพลังผีมากมายปะทะกัน
หลังจากที่ฉินหลิวซีฟันวัวขุยแล้ว เมื่อเห็นว่ามีวิญญาณกระจายออกมา ใบหน้าของนางนิ่งราวกับน้ำ นี่คือการทำให้ตัวเองเป็นภาชนะขนาดใหญ่ที่กลืนกินดวงวิญญาณ เช่นเดียวกันกับเจดีย์ผี ใช้วิญญาณผีจำนวนนับไม่ถ้วนทำให้ตัวเองสมบูรณ์แบบ หล่อหลอมกลายเป็นความชั่วร้าย เหมือนกับการหล่อหลอมอาวุธสังหารที่มองไม่เห็น
นี่คืออาวุธร้ายแรงที่ทำร้ายลูกศิษย์อันเป็นที่รักของนาง
ฉินหลิวซีเต็มไปด้วยพลังชั่วร้าย โยนศาสตราวุธเทพขึ้นไปข้างบน “ท้องฟ้าทางเหนือ เทพผู้สูงศักดิ์ จักรวาลส่องแสง ขับเคลื่อนสายฟ้าในเมฆ…ปลุกกระแสไฟ ตอบสนองทั้งห้าทิศ ทำลายสิ่งชั่วร้าย สังหารปีศาจ!”
ศาสตราวุธเทพทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า หมุนวนอย่างรวดเร็ว สายฟ้าสีม่วงระเบิดออกมาด้วยพลังแห่งสายฟ้าฟาด แสงสีม่วงปกคลุมท้องฟ้าสว่างจ้า ตาข่ายสายฟ้าร่วงลงมา บีบรัดวิญญาณชั่วร้ายเหล่านั้น
ฉินหลิวซีเขย่งปลายเท้ากระโดดเล็กน้อย คว้าศาสตราวุธเทพไว้ในมือ สายฟ้าสีม่วงและนางประสานเป็นหนึ่งเดียว พุ่งเข้าใส่พลังชั่วร้ายที่มองไม่เห็น
เจ้าดุร้าย เจ้าชั่วร้าย ข้าดุร้ายและชั่วร้ายยิ่งกว่าเจ้า!
คนและอาวุธรวมกันเป็นหนึ่ง
กลืนกินความชั่วร้ายนั้น
เฉิงหยางจื่อและลูกศิษย์อัญเชิญเครื่องรางออกมา กำลังจะต่อกรกับวิญญาณร้ายเหล่านั้น คิดไม่ถึงว่าการลงมือครั้งใหญ่ของฉินหลิวซีจะทำให้วิญญาณร้ายถูกบีบรัดจนแตกสลายเป็นเถ้าถ่านอยู่ในตาข่ายสายฟ้าม่วง
ทั้งสองคน “…”
ข้าไร้ประโยชน์?
เมื่อมองไปยังฉินหลิวซี พวกเขาเห็นเพียงศาสตราวุธเทพที่ทรงพลังไร้เทียมทาน ยิ่งกลืนกินพลังชั่วร้ายที่รุนแรงมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีพลังมากขึ้นเท่านั้น ทำเอาคนเหงื่อออกบนหน้าผาก
เฉิงหยางจื่อตะโกนเรียกปรมาจารย์ไท่เฉิงอยู่ในใจไม่หยุด พวกเราถูกหลอกแล้ว ศาสตราวุธเทพที่ปรากฏขึ้นในภูเขาเทียนก่อนหน้านี้ ได้ตกอยู่ในมือของนางแล้วจริงๆ
ศาสตราวุธเทพถอยกลับ
ท้องฟ้าแจ่มใส
ฉินหลิวซียังคงยืนอยู่ที่นั่น ทั้งตัวเต็มไปด้วยพลังชั่วร้าย ซึ่งน่ากลัวยิ่งกว่าวิญญาณร้ายที่พวกเขาเห็นเมื่อครู่นี้เสียอีก
เฉิงหยางจื่อกับลูกศิษย์กลืนน้ำลาย
ฉินหลิวซีมองมา สายตาตกไปอยู่ที่เถิงเจา ก่อนจะเดินไปอย่างรวดเร็ว “เป็นอะไรหรือไม่”
เถิงเจาส่ายหน้า
เมื่อเจ้าโสมน้อยเห็นว่าทั้งตัวนางเต็มไปด้วยพลังชั่วร้ายอันเยือกเย็น ก็ไม่กล้าดื้อ ตอบอย่างเชื่อฟังว่า “ข้าให้เจาเจากินโสมแล้ว”
ฉินหลิวซียังคงไม่วางใจ จับมือเขามาจับชีพจร เอ่ย “ยังคงโดนเข้าเต็มๆ”
นางร่ายคาถา ขจัดพลังชั่วร้ายออกจากร่างกายของเขา จากนั้นก็ถ่ายทอดพลังวิญญาณไปให้เล็กน้อย
เถิงเจากล่าวว่า “ข้าสามารถฝึกบำเพ็ญเองได้ ท่านไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองพลังวิญญาณ”
“พลังวิญญาณเล็กน้อย ไม่ควรค่าแก่การกล่าวถึง” ฉินหลิวซีเหลือบมองจู้จื่อ กล่าวว่า “เขาไม่ได้เป็นอะไรมาก เสกยันต์ตรึงวิญญาณให้เขาเถิด”
เถิงเจาตอบรับ
เฉิงหยางจื่อกับลูกศิษย์เดินมา ถามด้วยความกังวลว่า “สหายเต๋าน้อยปู้ฉิว เป็นอะไรหรือไม่ สิ่งชั่วร้ายเมื่อครู่นี้กลายร่างมาจากสัตว์ร้ายตัวนั้นหรือ”
“เช่นเดียวกันกับเจดีย์ผีซีเป่ย แต่มันใช้ความแค้นของวิญญาณเพื่อสร้างผีร้าย หากแพร่กระจายออกไป ผู้คนจำนวนมากจะกลายเป็นของบำรุงของมัน” ฉินหลิวซีกล่าวพลางเดินเข้าไปในห้องโถงบรรพบุรุษ
เฉิงหยางจื่อเดินอยู่ข้างนาง กล่าวว่า “หินสัตว์แกะสลักเหล่านี้กลายเป็นสิ่งชั่วร้าย หากไม่ได้นำมาซึ่งภัยพิบัติ ก็เป็นการหล่อหลอมปีศาจร้ายเหล่านี้ มันเอาไว้ใช้ทำอะไรกันแน่ หากคนตายไปกลายเป็นวิญญาณ กระทั่งกลายเป็นผีชั่วร้ายเช่นนี้ โลกทั้งใบจะไม่กลายเป็นเมืองผีหรือ”
ฉินหลิวซีเอ่ย “การมีอยู่ของโลกใบเล็กๆ ก็อาศัยทุกสรรพสิ่งไม่ใช่หรือ หากทุกสิ่งยังมีชีวิตอยู่ การมีชีวิตก็จะยิ่งใหญ่ กฎแห่งสวรรค์ย่อมมีอยู่ หากทุกสรรพสิ่งเหี่ยวเฉา ดับสลายสูญสิ้น วิถีแห่งสวรรค์ก็จะ…”
เฉิงหยางจื่อคิดถึงภาพที่ทุกสรรพสิ่งเหี่ยวเฉา ก็ขนลุกซู่ กล่าวว่า “เขามีความสามารถเช่นนี้จริงๆ หรือ”
“หากสวรรค์ต้องการช่วยตัวเอง ย่อมปราบปรามเขา ไม่ต้องพูดถึงว่าเขามีความสามารถนี้หรือไม่ เพียงแค่ทำสิ่งเหล่านี้ออกมา ท่านดูสิว่าโลกในตอนนี้วุ่นวายหรือไม่ คนฝึกบำเพ็ญอย่างพวกเราจะยังคงฝึกบำเพ็ญอย่างสบายใจได้หรือไม่”
เฉิงหยางจื่อส่ายหน้า เพียงแค่ปราบสิ่งชั่วร้ายปกป้องคุณธรรม ก็ต้องสิ้นเปลืองสมาธิกระทั่งตบะของพวกเขาไปไม่น้อย ไหนเลยจะยังฝึกบำเพ็ญอย่างสบายใจได้
ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ในลัทธิเต๋าอย่างฉินหลิวซี ตบะล้ำลึก พลังจิตแข็งแกร่ง พลังวิญญาณที่ราวกับไม่มีวันเหือดแห้ง ความจริงแล้วการฝึกบำเพ็ญในโลกที่มีพลังวิญญาณน้อย นักพรตจำนวนมากเพียงแค่วาดยันต์วิญญาณสักแผ่นก็ยังต้องใช้พลังวิญญาณไปไม่น้อย แม้ว่าตัวเองจะสามารถวาดยันต์แคล้วคลาดธรรมดาทั่วไปได้โดยไม่เป็นปัญหา แต่หากเป็นระดับสูง อย่างเช่นยันต์ห้าสายฟ้า วาดเสร็จหนึ่งแผ่น ก็ต้องใช้เวลากักตัวฝึกบำเพ็ญหลายวัน ดังนั้นจึงไม่เอาออกมาใช้อย่างง่ายๆ
ไหนเลยจะเหมือนกับพวกฉินหลิวซี
เฉิงหยางจื่อเหลือบมองยันต์วิญญาณที่ติดอยู่บนตัวของจู้จื่อ แล้วมองดูกองยันต์ที่เถิงเจาเอาออกมา ค้นดูแล้วหยิบยันต์ตรึงวิญญาณออกมาหนึ่งแผ่น เสกลงไปใส่ปากของเขาโดยตรง หางตากระตุก
ยันต์วิญญาณหนึ่งปึก อารามชิงผิงช่างร้ายกาจและร่ำรวย!
ทุกคนล้วนเป็นคนในลัทธิเต๋า เหตุใดนักพรตเต๋าที่มีพรสวรรค์จึงได้ไปตกอยู่ที่อารามอื่น อารามไป๋อวิ๋นของพวกเขาไม่คู่ควรหรือ
เฉิงหยางจื่อเหลือบมองลูกศิษย์ของตังเองด้วยความรังเกียจโดยไม่ปิดบัง
ซู่หมิงก็รู้สึกอิจฉาในความแข็งแกร่งของเถิงเจาเล็กน้อย จากนั้นก็เห็นสายตารังเกียจของอาจารย์ตัวเอง รู้สึกชาอยู่ครู่หนึ่ง
ฉินหลิวซีเอ่ยต่อไปว่า “เพียงแค่จัดการกับปัญหาที่เกิดจากหินสัตว์แกะสลักเหล่านี้ก็ทำให้พวกเราสูญเสียคนและพลังไปไม่น้อยแล้ว มีหินสัตว์แกะสลักบางตัวกระทั่งแบกรับผลกรรมไว้ ซึ่งเห็นได้ชัดว่ากำลังลากพวกเราลงไปด้วย”
ทันทีที่นางกล่าวจบก็หยุดไปครู่หนึ่ง
ใช่แล้ว หินสัตว์แกะสลักเหล่านี้จะทำให้การฝึกบำเพ็ญของนักบวชล่าช้า และสิ้นเปลืองพลังวิญญาณและจิตวิญญาณของพวกเขาด้วย เมื่อซื่อหลัวจะใช้ท่าไม้ตาย ต่อให้พวกเขาคิดอยากจะช่วย ก็คงจะมีใจแต่ไม่มีแรงแล้ว
แต่หากเพิกเฉยพวกมัน เช่นนั้นก็จะมีคนตายและทำให้เกิดหายนะขึ้นอีกมากมาย
ผู้ฝึกบำเพ็ญส่วนใหญ่ไม่สนใจเรื่องทางโลก นั่นก็คือไม่สนใจสิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปดูแลได้ แต่สิ่งที่คนทั่วไปจัดการไม่ได้ อย่างเช่นปีศาจร้ายเหล่านี้ พวกเขาต้องจัดการ
จัดการสิ่งที่คนทั่วไปทำไม่ได้ จึงจะเป็นการปกป้องคุณธรรม!
แต่ซื่อหลัวดันวางตัวเลือกดังกล่าวไว้เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคุณธรรม หากจัดการก็จะทำให้ล่าช้า หากไม่จัดการพวกมันก็จะแพร่กระจายเหมือนโรคระบาดหรือสิ่งที่ปะทุออกมา
เส้นทางคุณธรรม กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ฉินหลิวซีลดสายตาลง งอนิ้วชี้ซ้าย เจ้านี่เลวมากจริงๆ!