คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1212 อยู่มานานแล้ว จะตายก็ไม่เป็นไร!
ตอนที่ 1212 อยู่มานานแล้ว จะตายก็ไม่เป็นไร!
………………..
เมื่อเดินเข้าไปในห้องโถงบรรพบุรุษ ฉินหลิวซีเห็นหินสัตว์แกะสลักที่คลุมด้วยผ้าไหมสีแดง เนื่องจากพลังชั่วร้ายถูกกระชากออกไป หัวของหินสัตว์แกะสลักจึงมีรอยแตกร้าว แต่ยังคงมีพลังความชั่วร้ายน่ากลัวบนหินสัตว์แกะสลักตัวนั้น ทำให้คนรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก
ฉินหลิวซีเดินเข้าไป ยกผ้าไหมสีแดงขึ้น อ่านคาถาชั่วร้ายที่แกะสลักอยู่บนตัวของวัวขุยในใจ ขณะที่พลังชั่วร้ายสีดำมืดพลันแผ่ออกมา
ฉินหลิวซีวางมือลงไปบนนั้น ทันทีที่เกิดความคิด ไฟนรกก็ผุดขึ้นมา หินสัตว์แกะสลักกลายเป็นผุยผงภายใต้มือของนาง พลังชั่วร้ายหายไปในแสงไฟ
เฉิงหยางจื่อใจเต้นเร็ว
และในขณะที่หินสัตว์แกะสลักสลายไป ซื่อหลัวที่อยู่ไกลออกไปได้ลืมตาขึ้น เผยรอยยิ้มบนใบหน้านิ่งด้วยสีหน้าอ่อนโยน
ใกล้แล้ว
หลังจากทำความสะอาดกองฝุ่นนั้นแล้ว ฉินหลิวซีก็เดินออกมาจากห้องโถงบรรพบุรุษ จู้จื่อฟื้นขึ้นมาแล้ว เพียงแต่ยังคงเหม่อลอยเล็กน้อย
ฉินหลิวซีให้เถิงเจาท่องคาถาสงบดวงจิตให้เขา กลุ่มคนมุ่งหน้าไปที่บ้านของวังเสี่ยวเฉวียน
ที่นั่นมีคนรายล้อมมากมาย พากันเข้าออกวุ่นวายกับการจัดการ
หลังจากที่หลายคนมาถึงแล้ว ผู้ใหญ่บ้านก็เข้ามาต้อนรับทันที ขณะที่กำลังจะกล่าวอะไรบางอย่าง ฉินหลิวซีก็บอกว่าได้ทำลายหินสัตว์แกะสลักไปแล้ว
“ทำลายตัวนี้ไปแล้ว พวกเราก็ยังสามารถให้ช่างหินแกะสลักขึ้นมาใหม่อีกตัวได้หรือไม่” ผู้ใหญ่บ้านรีบเอ่ยถาม “หมู่บ้านของพวกเราก็ได้บูชามาหลายสิบปีแล้ว ตอนนี้ทำลายไปแล้ว ไปอัญเชิญตัวใหม่มาบูชาต่อได้หรือไม่ขอรับ”
ฉินหลิวซีเอ่ยตอบ “การอัญเชิญเทพลงมาต้องมีความจริงใจ เทพสถิตย์ลงมาก็ต้องมีความพิถีพิถัน ขึ้นอยู่กับบุญวาสนา ตั้งแต่ที่สัตว์มงคลในห้องโถงบรรพบุรุษตัวนั้นกลายเป็นสัตว์ร้าย มันก็ได้หมดวาสนากับหมู่บ้านจวี่จื่อของพวกเจ้าแล้ว จะเชิญมาอีกก็ไม่มีแล้ว ดังนั้นจึงไม่จำเป็น”
เมื่อผู้ใหญ่บ้านได้ฟังดังนั้นก็มีสีหน้าผิดหวังเศร้าใจ เอ่ย “ข้าไม่มีหน้าไปพบบรรพบุรุษแล้ว”
ฉินหลิวซีเอ่ยเสียงเรียบว่า “ได้ปกป้องคนทั้งหมู่บ้าน เจ้าสามารถไปพบบรรพบุรุษได้แล้ว หากวันนี้เจ้ายืนกรานไม่ให้พวกเราเข้าไป เช่นนั้นคนในหมู่บ้านของพวกเจ้าเหล่านี้จะไม่เหลือแม้แต่คนเดียว”
น่า น่ากลัวขนาดนั้นเชียวหรือ
ผู้ใหญ้บ้านกลืนน้ำลาย โค้งคำนับฉินหลิวซี กล่าวว่า “ขอบคุณท่านอาจารย์ที่ช่วยเหลือ หากไม่รังเกียจชาและอาหารบ้านๆ ที่นี่ ขอเชิญท่านอาจารย์ทานอาหารเย็นแล้วค่อยไปเถิด”
ฉินหลิวซีส่ายหน้า “หลังจากสวดส่งหญิงเฒ่าผู้นั้นแล้วพวกเราก็จะจากไป”
นางคิดอยู่ครู่หนึ่ง หยิบตั๋วเงินสองใบออกมาจากถุงเฉียนคุน ยื่นไปให้ “ซื้อเสบียงอาหารแบ่งปันให้ชาวบ้านสักหน่อยเถิด”
ผู้ใหญ่บ้านตกตะลึง รับมาด้วยมือสั่นเทา คุกเข่าลงให้นางทันที โขกศีรษะคำนับสามครั้ง
เถิงเจากับซู่หมิงได้ช่วยกันสวดส่งหญิงเฒ่าวังที่มีแต่ความขุ่นเคือง ฉินหลิวซีนั่งอยู่ข้างนอกฟังเฉิงหยางจื่อพูดถึงความอยุติธรรมที่เขาได้ประสบในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา
ความจริงแล้วฉินหลิวซีรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันของลัทธิเต๋ามาจากพวกเถิงเจาแล้ว มีแรงกดทับลัทธิเต๋าเหมือนกับอดีตฮ่องเต้แล้ว หากจะบอกว่าไม่ได้มีเจตนาของฮ่องเต้แฝงอยู่เลย นางไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด
“เขาช่างเป็นสุนัขต่ำช้าเสียจริง ตอนที่อยากจะฝึกบำเพ็ญเป็นอมตะคำก็ท่านเซียนสองคำก็ท่านเซียน ไม่เพียงแต่บูชาอย่างเต็มกำลัง ซ้ำยังสร้างวังลัทธิเต๋า ตอนนี้กลับปราบปรามลัทธิเต๋า เฮ้อ ก็ไม่รู้ว่าเขาไม่รู้สึกเหมือนตบหน้าตัวเองอยู่บ้างหรือ”
ฉินหลิวซีกำหมัดแน่น
เฉิงหยางจื่อกระแอมเบาๆ เอ่ย “และยังมีปีศาจร้ายคอยสร้างปัญหา ไม่สงบสุขมาสองปีติดกัน ราษฎรมีความขุ่นเคืองในใจ ย่อมเชื่อโดยปริยาย”
ฉินหลิวซีเอ่ย “ลำบากบรรดาสหายเต๋าแล้ว”
เฉิงหยางจื่อกล่าวเตือนว่า “คำพูดนี้ของเจ้าเหยียดหยามคนรุ่นเก่าอย่างข้าแล้ว กอบกู้โลก ไม่เคยเป็นเรื่องของนักพรตคนใดคนหนึ่งหรืออารามใดอารามหนึ่ง แต่เป็นเรื่องที่คนฝึกบำเพ็ญรุ่นข้าไม่อาจมองข้ามได้ หากรักตัวกลัวตาย เช่นนั้นหัวใจเต๋าก็จะไม่ก้าวไปข้างหน้าตลอดไป”
“วางใจเถิด เขาจะไม่สามารถแสดงพลังได้อีกต่อไปแล้ว”
ทันทีที่ฉินหลิวซีกล่าวเช่นนี้ เฉิงหยางจื่อกับนางก็มองหน้ากัน ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก
ล้วนเป็นคนที่สังเกตดวงดาวเป็น ย่อมรู้ว่าที่นางกล่าวเช่นนี้หมายความว่าอะไร
ลมกระโชกแรง นำพาความหนาวเย็นมาด้วย
“ลมพัดแล้ว” เฉิงหยางจื่อสูดหายใจ
หลังจากกล่าวลาเฉิงหยางจื่อและลูกศิษย์ ฉินหลิวซีก็ได้พาเถิงเจาเดินทางไปทั่วต้าเฟิงอีกครั้ง พวกเขากลายเป็นแขกประจำของเส้นทางหยิน
ทันทีที่ได้รับข้อความจากเฟิงซิวกับปรมาจารย์ไท่เฉิง นางก็ไปทำลายหินสัตว์แกะสลักเหล่านั้นด้วยตัวเอง พลังของศาสตราวุธเทพก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ อำนาจก็ยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
และความรู้ใจของมันกับฉินหลิวซีก็เริ่มเข้ากันมากขึ้นเรื่อยๆ อาวุธและคนเป็นหนึ่งเดียวกัน ปีศาจร้ายมากมายสั่นสะท้าน
ในฤดูหนาวเดือนสิบสอง ดาวฮ่องเต้มืดมน
ฉินหลิวซีสิ้นสุดการตระเวนสอนนอกสถานที่ ให้พวกเถิงเจากลับอารามชิงผิง ครึ่งปีมานี้พวกเขาได้ปลดปล่อยคนและผีไปไม่น้อย และได้รับบุญกุศลกับพลังศรัทธามากมาย แต่ละคนล้วนได้รับประโยชน์ วิชาเต๋าและวิชาแพทย์ของเถิงเจาก็แข็งแกร่งมานานแล้ว ตบะพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
ตัวนางเองยิ่งรวบรวมได้อย่างสมบูรณ์แบบ ราวกับอาวุธวิเศษที่กำลังจะหลุดออกจากฝัก รอที่จะแสดงอำนาจ
“เจ้าเป็นศิษย์ของข้า และเป็นเจ้าอาวาสน้อยอารามชิงผิง เจ้าอาวาสคนต่อไป หากข้าไม่อยู่ เจ้าจะเป็นคนตัดสินใจเกี่ยวกับอารามชิงผิงทั้งหมด คอยดูแลรักษาอาราม ดาวฮ่องเต้มืดมนใกล้จะร่วงลงแล้ว ปีต่อไปของต้าเฟิงจะยิ่งยากลำบากกว่าปีนี้ จะรักษาความรุ่งเรืองของอารามชิงผิงได้อย่างไรล้วนขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว สิ่งที่ข้าเคยบอกกับเจ้าเมื่อก่อนหน้านี้ จำได้หมดแล้วใช่หรือไม่ นอกจากนี้ข้าได้ดูดวงชะตาของเจ้า ดวงชะตาของเจ้ากำหนดให้มีศิษย์เพียงคนเดียว ในภายภาคหน้าหากเป็นอาจารย์แล้ว ต้องจำสิ่งที่อาจารย์สอน ใครที่ทรยศอารามข้า ต้องถูกลงโทษประหาร!”
เถิงเจาขมวดคิ้ว “ท่านจะไปไหน”
“ข้าต้องกลับไปกักตัวฝึกจัดวางค่ายอาคมที่สถานที่ตั้งซากอารามชิงผิงเดิม” ฉินหลิวซีก็ไม่ได้ปิดบังเขา เอ่ยอย่างจริงใจว่า “ดังนั้นความรุ่งโรจน์ของอารามชิงผิงต้องพึ่งพาเจ้าให้สืบต่อไปแล้ว จำไว้ อารามชิงผิงต้องจุดธูปที่ใหญ่ที่สุด หล่อหลอมร่างทองที่แวววาวที่สุด”
เจ้าโสมน้อยก้มศีรษะ ยกเปลือกตาเหลือบมองนาง เศร้าใจเป็นอย่างมาก
เถิงเจาสีหน้าเย็นชา “ท่านกำลังจะปล่อยทุกอย่างทิ้งกลางทาง”
“พูดจาเหลวไหล เปล่าเสียหน่อย” ฉินหลิวซีไม่มองเขา “ดาวฮ่องเต้กำลังจะร่วง ข้าก็แค่ไปดูความครึกครื้นเท่านั้น”
เถิงเจาแสยะยิ้ม คนหลอกลวง
เมื่อฉินหลิวซีเห็นท่าทางไม่เชื่อของเขา เอ่ยในใจว่า ‘เด็กน้อยรักสันโดษได้เติบใหญ่แล้ว หลอกเขาไม่ได้แล้ว’
นางจึงมองไปยังเจ้าโสมน้อย กล่าวว่า “เจ้าอยู่เป็นเพื่อนเจาเจาเถิด สหายที่ดี ไม่ทอดทิ้งกัน”
เจ้าโสมน้อยยื่นรากโสมที่ใหญ่เท่าหัวแม่มือให้อย่างเงียบๆ “ไม่ได้บอกว่าจะปรุงยาหรอกหรือ สิ่งที่ดีที่สุดอยู่นี่แล้ว”
ฉินหลิวซีรับมา รับรู้ได้ว่ารากโสมนั้นมีต้นกำเนิดโสมของมันอยู่ด้วยเล็กน้อย กล่าวว่า “ตั้งใจฝึกบำเพ็ญให้ดี”
นางหันหลังแล้วเข้าไปในความว่างเปล่า ก่อนจะหายตัวไป
ทันทีที่นางจากไป ทั้งสองคนก็ทรุดตัวลง ราวกับลูกสุนัขน่าสงสารที่ถูกเจ้าของทอดทิ้ง
หนูทองส่งเสียงแหลม
เจ้าโสมน้อยเอ่ยว่า “พวกเรากลับกันเถิด วันนั้นยังไม่มาถึง”
เถิงเจาเม้มริมฝีปาก กล่าวอย่างหนักแน่นว่า “ข้าจะไม่เชื่อฟังนาง”
เฝ้าอารามอะไรกัน เขาไม่ทำหรอก นางไปไหนเขาก็จะไปด้วย เมื่อวันนั้นมาถึงจริงๆ ต่อให้เขาถูกตีจนตายก็จะตามไป
“หากเจ้าขัดคำสั่ง ไม่กลัวจะถูกนางไล่ออกจากอารามหรือ”
เถิงเจาสีหน้าเย็นชา “ราษฎรเดือดร้อน คนฝึกบำเพ็ญอย่างพวกเราจะมัวดูอยู่เฉยๆ ได้อย่างไร ข้าแค่ทำตามหัวใจเต๋า ไม่ถือว่าทรยศสำนัก ไม่เชื่อฟังอาจารย์”
เจ้าโสมน้อยฉีกปากยิ้ม “ช่างบังเอิญจริงๆ ข้าก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน เมื่อถึงเวลาพวกเรามากบฏด้วยกัน”
มีชีวิตอยู่มานานแล้ว จะตายก็ไม่เป็นไร หลังจากนี้อีกพันปีก็ยังจะเป็นโสมที่ดีเหมือนเดิม!
………………..