คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1213 ใจคนพังทลาย
ตอนที่ 1213 ใจคนพังทลาย
………………..
หิมะตกหนักมาก
เมืองอันซึ่งอยู่ห่างจากเมืองหลวงเพียงหนึ่งร้อยลี้ มีสนามประลองสัตว์ที่สร้างขึ้นเพื่อความบันเทิงของชนชั้นสูง ในอดีตสนามแห่งนี้เพียงแค่ประลองสัตว์ แต่ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ได้กลายเป็นการประลองคน ล้วนเป็นทาสที่ซื้อมาจากพ่อค้าทาส หรือผู้ลี้ภัยที่หมดทางไปเนื่องจากภัยพิบัติจึงเต็มใจที่จะขายตัวเอง
ผู้ที่มาเที่ยวเล่นที่นี่ล้วนเป็นจอมเสเพลในเมืองหลวง นับตั้งแต่ที่ฮ่องเต้ป่วยนอนอยู่บนแท่นบรรทมมังกรจากการประสบเหตุแผ่นดินไหวตอนทำพิธีบวงสรวงเมื่อปีที่แล้ว หลังจากดูแลรักษามาเกือบครึ่งปี ในที่สุดก็สามารถนั่งพิงหัวเตียงได้แล้ว แต่กลับยังไม่สามารถลุกเดินได้ กระทั่งไม่สามารถนั่งนานได้ เมื่อนั่งเป็นเวลานานก็จะปวดเอว
ด้วยเหตุนี้ เขาดูเหมือนยังมีความหวัง แต่ฮ่องเต้ก็ยังไม่เคยลุกขึ้นยืนได้เลย ความจริงแล้ว ได้รู้ข่าวลือภายในว่าฮ่องเต้ไม่เชื่อเรื่องสิ่งชั่วร้าย อยากจะลุกขึ้นมาเดิน ปรากฏว่าเพียงแค่หนึ่งก้าวก็เกือบจะล้มลงคลานอยู่บนพื้น แม้ว่าจะมีคนคอยพยุงอยู่ก็ตาม
หลังจากความอับอายครั้งใหญ่ ฮ่องเต้ก็โกรธจัด ตัดศีรษะหมอหลวงสองคน กระทั่งขันทีกับนางกำนัลที่รับใช้อยู่ต่อหน้าฮ่องเต้ก็ไม่รู้ว่าเปลี่ยนไปกี่คนแล้ว
และตลอดทั้งปีนี้ เพื่อให้จิตใจของบรรดาข้าราชบริพารและราษฎรสงบลง ฮ่องเต้ได้ปรากฏตัวในราชสำนัก แต่แทบจะนับครั้งได้เลย ซ้ำยังเพียงแค่นั่งลงชั่วครู่เท่านั้น ไม่ถึงหนึ่งเค่อ[1]ก็ออกจากราชสำนัก
เรื่องพระวรกายมังกรของฮ่องเต้ แม้ว่าสำนักหมอหลวงจะแก้ไขสูตรยาและทำการฝังเข็ม ซ้ำยังหาท่านหมอมีชื่อเสียงมากมายเข้ามารักษาในวัง แต่ก็ไม่สามารถทนต่อความจริงอันโหดร้ายที่ว่าพระองค์อายุมากขึ้นเรื่อยๆ และพระวรกายมังกรของพระองค์ก็อ่อนแอลงเรื่อยๆ
ด้วยเหตุนี้อารมณ์ของฮ่องเต้จึงรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทุกวันนี้ชีวิตของหมอหลวงในสำนักหมอหลวงจึงแขวนอยู่บนเส้นด้าย นางกำนัลและขันทีที่ปรนนิบัติอยู่ในห้องบรรทมก็เสียชีวิตทุกวัน และในราชสำนักก็มีขุนนางที่ถูกยึดทรัพย์เนรเทศอยู่เรื่อยๆ แม้ว่าจะเป็นการกล่าวโทษโดยไม่มีมูลเหตุก็ตาม
อารมณ์ของฮ่องเต้ไม่แน่นอน โดยเฉพาะหลังจากที่แต่งตั้งรัชทายาท
รัชทายาทได้กลายเป็นเสี้ยนหนามในสายตาของฮ่องเต้อย่างแท้จริง โดยเฉพาะเมื่อเห็นร่างกายที่แข็งแรงและใบหน้าที่มีชีวิตชีวาของเขา ไม่มีอะไรที่ไม่ขัดหูขัดตา มีความสงสัยอยู่มากกว่าความไว้วางใจในตัวรัชทายาท หากไปมาหาสู่กับขุนนางอยู่บ่อยๆ ก็จะทำให้ฮ่องเต้สงสัยว่ากำลังจัดตั้งพรรคเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว คิดว่าคนเหล่านี้จะแอบรอการตายของตนหรือไม่
ด้วยเหตุการณ์แต่ล่ะอย่าง ไม่ว่าจะเป็นขุนนางระดับสูงหรือบุคคลตำแหน่งเล็กๆ ที่ไม่ได้โดดเด่น ล้วนประพฤติตัวความความระมัดระวัง กลัวว่าจะไปพบช่องโหว่จนทำให้กลายเป็นเป้าหมายของดาบ บรรดาผู้มีอำนาจในเมืองหลวงต่างก็พากันควบคุมลูกหลานในตระกูล อย่างไรเสียตอนนี้ฮ่องเต้ก็เป็นบ้าไปแล้ว ส่งขุนนางเนรเทศออกไปเป็นว่าเล่น หากโดนเข้าจะพังพินาศทั้งตระกูล
เมื่อมีข้อจำกัด แหล่งความบันเทิงของคนในเมืองหลวงจึงตกต่ำลง ประการแรกเป็นเพราะภัยพิบัติสองปีติดต่อกัน ถุงเงินของทุกคนขัดสนเล็กน้อย โดยเฉพาะพระคลังหลวงว่างเปล่า มีสงครามเกิดขึ้นที่ชายแดนบ่อยครั้ง กองทัพทหารต้องการเสบียงอาหาร กรมพระคลังกำลังกังวลว่าไม่มีที่ทำเงิน แต่เจ้ากลับเอาเงินไปละเล่นบันเทิงใจ รังเกียจว่ามีจุดอ่อนไม่ใหญ่พออีกหรือ
เพื่อไม่ให้กรมพระคลังมีโอกาสเอาจุดอ่อนไปฟ้อง แต่ละตระกูลจึงตัดค่าใช้จ่ายบุตรชายจอมเสเพลอย่างโหดเหี้ยม เมื่อไม่มีเงินก็มีข้อจำกัด จึงไม่สามารถไปเที่ยวเล่นได้แล้วไม่ใช่หรือ
แต่เมื่อคนหลงระเริงไปแล้ว โดยเฉพาะจอมเสเพลที่รู้จักเที่ยวเล่น จะอดทนเป็นเด็กน้อยเชื่อฟังอยู่แต่ในจวนได้อย่างไร หากเล่นในเมืองหลวงอย่างอิสระไม่ได้ ที่เมืองใกล้เคียงก็ทำไม่ได้หรือ
ดังนั้นสนามประลองสัตว์ในเมืองอันจึงไปเข้าตาพวกเขา สิ่งที่น่าสนใจก็คือ ก่อนหน้านี้ที่นี่คือสนามประลองสัตว์ ตอนนี้เป็นสนามประลองคน นี่จะไม่น่าสนใจกว่าสัตว์อีกหรือ
สำหรับชีวิตคนนั้น ก็แค่คนชั้นต่ำ ไม่ได้อยู่ในสายตาของพวกเขา
ในโลกที่วุ่นวาย สิ่งที่มีค่าน้อยที่สุดคือชีวิตคน
หิมะตกหนักทบกันหนาเตอะ
ฉินหลิวซีมองดูเด็กวัยต่างๆ ที่อยู่ในกรงด้านล่าง พวกเขาราวกับลูกสัตว์ที่เรียนรู้ที่จะหาอาหารเป็นครั้งแรก เผยเขี้ยวเล็บและวิธีการของตัวเองอย่างดุร้าย โจมตีสิ่งมีชีวิตเดียวกันที่อยู่รอบตัวอย่างต่อเนื่อง
ในดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความดุร้าย โจมตีตามสัญชาตญาณ ไม่กล้าหยุดแม้แต่นิด เพราะหากหยุดพวกเขาก็จะล้มลง ราวกับสุนัขตายตัวหนึ่งที่ถูกลากไปทิ้งในหลุมศพหมู่ กลายเป็นอาหารของสัตว์ป่า
พวกเขาต้องมีชีวิตอยู่ และหากอยากมีชีวิตอยู่ ก็ต้องโหดเหี้ยม
ฉินหลิวซีหลับตาลงเบาๆ ข้างหูมีวิญญาณร้องไห้คร่ำครวญไม่หยุด วิญญาณแค้นลอยไปรอบๆ แต่กลับไม่มีใครกล้าเข้าใกล้นาง ล้วนหลบอยู่ไกลๆ
ใช่แล้ว ในที่ที่คนธรรมดามองไม่เห็น สนามประลองแห่งนี้เต็มไปด้วยวิญญาณขุ่นเคืองจำนวนนับไม่ถ้วน รวมถึงเด็กและผีใหม่เหล่านั้น พลังหยินพุ่งทะยานขึ้นสู่ฟ้า พลังเลือดชั่วร้ายสีแดงราวกับหยดเลือดทะลักออกมา
แต่จอมเสเพลที่แต่งตัวดีเหล่านั้นกลับไม่รู้เรื่องนี้เลย พวกเขาสวมเสื้อคลุมหนาๆ กำหมัดแน่น จ้องมองไปยังสนามประลองด้วยดวงตาแดงก่ำ ร้องตะโกนอย่างตื่นเต้นเมื่อคนของตัวเองโจมตี กำหมัดแยกเขี้ยว
เลือดเนื้อกระเด็น จิตใจคนพังทลาย
แม้จะเห็นเด็กๆ เหล่านั้นสูญเสียความเป็นคน แต่นักพนันที่ตะโกนชื่นชมเสียงดังยังคงรู้สึกว่าไม่เพียงพอ ส่งเสียงคำรามออกมาจากลำคอ แทบจะลงไปต่อสู้ในสนามประลองแทนสัตว์ร้ายที่พวกเขาเลือก ยิ่งกว่านั้นบางคนเสียสติ ต่อยตีดุด่าคนที่อยู่รอบตัว
ฉินหลิวซีสายตาเย็นชา มองไปยังหินสัตว์แกะสลักสีแดงเข้มในสนามประลอง กลิ่นไอความชั่วร้ายที่รุนแรงปะทุออกมาไม่หยุด วิญญาณขุ่นเคืองในสนามประลองสัตว์ก็ดุร้ายเช่นกัน บางตนถึงกับบีบคอคนเป็นที่อยู่รอบตัว
พลังชั่วร้ายสีแดงเลือดหมุนวนอยู่รอบเกล็ดหิมะ ทุกคนราวกับเป็นบ้า ส่งเสียงคำราม กรีดร้อง อารมณ์รุนแรง
นางเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าหินสัตว์แกะสลัก ปีศาจเลือดที่มีร่างกายเป็นมนุษย์ หัวสัตว์ที่ก่อตัวจากพลังเลือดพุ่งเข้าหานาง
หวึ่ง
ศาสตราวุธเทพตกลงมาจากท้องฟ้า ส่งเสียงดาบดังกึกก้อง ฟันไปที่ปีศาจเลือด พลังศักดิ์สิทธิ์กลายเป็นแสงสีทอง ห่อหุ้มมันไว้ กลืนกินทีละน้อย
หินสัตว์แกะสลักกลายเป็นผงภายใต้เงื้อมมือของฉินหลิวซี
ในสนามเกิดความวุ่นวาย
จอมเสเพลเหล่านั้นที่เดิมทีร้องตะโกนให้ฆ่ากันก็ไม่รู้ว่าเห็นอะไร ส่งเสียงกรีดร้องอย่างน่าสังเวช คุกเข่าลงขอความเมตตา ท่าทางบ้าคลั่ง
ฉินหลิวซีถือศาสตราวุธเทพที่กลืนกินพลังเลือดชั่วร้ายทั้งหมดไว้ในมือ มองดูดาบสีแดงทองของมันด้วยสายตาที่แฝงไว้ด้วยความรังเกียจ
ดาบทำลายล้างรู้สึกน้อยใจเป็นอย่างมาก เดิมทีมันถูกออกแบบมาให้ใช้เช่นนี้ ตอนนี้กลับรังเกียจมัน?
ฉินหลิวซีถือมันไว้ในมือ ใส่พลังวิญญาณกลางอากาศ ใช้วิญญาณดาบวาดยันต์ พลังวิญญาณเข้าสู่ยันต์ ผสมกับพลังอันยิ่งใหญ่ที่ไร้ขีดจำกัด แสงสีทองอันสุกใสปรากฏขึ้นทั่วทั้งสนามประลอง วิญญาณขุ่นเคืองชั่วร้ายต่างส่งเสียงกรีดร้อง กลายเป็นสะเก็ดดาวหายไปในแสงสีทอง
ในสนามสงบลง มีบางคนได้สติขึ้นมา สีหน้าเต็มไปด้วยความสับสน
ฉินหลิวซีเปิดกรงที่อยู่กลางสนาม เด็กๆ ที่อยู่ข้างในนั่งลงอย่างมึนงงราวกับสูญเสียวิญญาณ มือทั้งสองข้างของนางร่ายคาถาเสกไปบนตัวของพวกเขา ไม่นานก็มีเด็กกระโดดลงจากเวทีแล้ววิ่งหนีออกไปข้างนอก
เด็กที่อายุเพียงสี่ห้าขวบเกือบจะถูกชนหล่นจากเวที ฉินหลิวซีรับเขาไว้ ก้มลงมองใบหน้าสกปรกที่เปื้อนเลือด ดวงตาทั้งสองข้างทั้งมืดมนและสดใส
นางจับมือของเขา กล่าวหนึ่งประโยคก่อนจะจากไปอย่างสง่างาม
เด็กคนนั้นมองดูนางหายไปก่อนที่จะก้มศีรษะลง เม้มริมฝีปากแล้ววิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
หากอยากมีชีวิตอยู่ ก็ไปที่ซีเป่ยเถิด
ผู้ที่เหมือนกับเทพเซียนผู้นั้นกล่าวเช่นนี้
[1] หนึ่งเค่อ สิบห้านาที
………………..