คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1214 ถึงเวลาราชวงศ์ล่มสลายแล้ว
ตอนที่ 1214 ถึงเวลาราชวงศ์ล่มสลายแล้ว
………………..
ฉินหลิวซีได้ทำลายสนามประลองสัตว์อันชั่วร้ายนั่นแล้ว และคนชั่วที่อยู่เบื้องหลังก็ถูกนางแขวนคอไว้บนเสาที่ถูกทำลาย ตัวอักษรขนาดใหญ่ลอยอยู่กลางสายลม
ผู้ที่เหยียบย่ำชีวิตผู้อื่น สวรรค์ไม่ปล่อยไว้
คนเหล่านั้นเสียชีวิตอย่างสยดสยอง ราวกับโดนวิญญาณเอาชีวิตไป แต่ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าเป็นฝีมือใคร และไม่กล้าตรวจสอบ เนื่องจากสนามประลองสัตว์ถูกทำลายไม่เหลือชิ้นดี ขอถามหน่อยว่าใครในใต้หล้านี้ที่สามารถรื้อถอนสนามแห่งหนึ่งจนเหลือแต่ซากได้ในชั่วข้ามคืนโดยไม่ก่อให้เกิดความวุ่นวาย
แทนที่จะเชื่อว่าเป็นฝีมือของคน ไม่สู้ว่าเป็นการลงโทษของสวรรค์จะดีกว่า มิเช่นนั้นความสามารถที่คาดเดาได้ยากราวกับภูตผีปีศาจเช่นนี้ จะเป็นฝีมือใคร
เมื่อข่าวเกี่ยวกับสนามประลองสัตว์ในเมืองอันไปถึงเมืองหลวง ฉินหลิวซีก็ได้ปรากฏตัวในห้องตำราของเสนาบดีลิ่นในเมืองหลวง
เมื่อเสนาบดีลิ่นพบนาง ก็รู้ว่าเรื่องสนามประลองสัตว์ในเมืองอันนั้นเป็นฝีมือของใคร
ไม่ใช่นางก็ไม่มีใครอื่นแล้ว
นับตั้งแต่ลงเรือลำเดียวกัน ใบหน้าของเสนาบดีลิ่นก็แก่ชราลงเรื่อยๆ โดยเฉพาะสองปีนี้ยิ่งกังวลจนผมเปลี่ยนสีขาวไม่น้อย เมื่อเห็นฉินหลิวซีก็รู้สึกเต็มไปด้วยความน้อยใจ
แต่เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในช่วงนี้ เขาก็ไม่มีเวลามาน้อยใจ เพียงแต่ขมวดคิ้วพลางถามว่า “เหตุใดท่านจึงได้มาที่เมืองหลวง หรือว่าได้ยินข่าวลือ”
“ข่าวลือที่ว่าหมายถึงฮ่องเต้สุนัขเฒ่าผู้นั้นต้องการอยากจะให้ข้าต่อชีวิตให้เขาหรือ”
อาการของฮ่องเต้ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้มานานแล้ว ซ้ำยังรู้สึกว่ารัชทายาทขัดหูขัดตาไปเสียทุกเรื่อง แต่รู้สึกดีกับบุตรชายคนอื่นๆ ขึ้นมา อย่างเช่น อดีตรัชทายาทที่ถูกปลด เขาถือโอกาสที่ถูกเรียกตัวเข้าไปพบในวังบอกกับฮ่องเต้เกี่ยวกับวิชาแพทย์อันล้ำเลิศของฉินหลิวซี
ทันทีที่กล่าวเช่นนี้ ฮ่องเต้ก็นึกขึ้นมาได้หลายเรื่อง เมื่อตรวจสอบก็พบว่าฉินหลิวซีได้ช่วยคนในเมืองหลวงรักษาโรคและขับไล่วิญญาณชั่วร้ายไปไม่น้อย
ฮ่องเต้รีบส่งคนไปตามหาฉินหลิวซีในเมืองหลีทันที ไม่ว่าวิชาแพทย์ของนางจะทำให้เขาดีขึ้นได้หรือไม่ เขาก็จะลองดูสักตั้ง
กล่าวคือฉินหลิวซีเป็นคนในลัทธิเต๋า ทำงานรับเงิน เมื่อเสร็จธุระก็จากไป ไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับผู้มีอำนาจเหล่านี้มากนัก มิเช่นนั้นบรรดาผู้มีอำนาจที่เคยได้รับน้ำใจจากนางเหล่านี้ หากจับมัดรวมกัน ก็ไม่รู้ว่าจะทำเรื่องอะไรออกมาได้บ้าง
สิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือฉินหลิวซีได้จัดตั้งเรือกบฏลำใหญ่ขึ้นลับหลังเขาจริงๆ ผู้คนที่นางลากขึ้นเรือลำนั้นล้วนเป็นข้าราชบริพารชั้นสูงและผู้มีอำนาจที่เคยได้รับน้ำใจจากนาง
เขายิ่งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอาการบาดเจ็บของเขาที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ก็เป็นฝีมืออันชั่วร้ายของฉินหลิวซี
“ในเมื่อท่านรู้ทุกอย่างแล้ว เหตุใดจึงยังมาที่นี่” เสนาบดีลิ่นขมวดคิ้วพลางเอ่ย “พระวรกายของฮ่องเต้ตอนนี้ย่ำแย่ลงเรื่อยๆ อารมณ์ก็เอาแน่เอานอนไม่ได้ ท่านอย่าเข้าไปยุ่ง เดี๋ยวจะโดนลูกหลง โดยเฉพาะในปีนี้ที่เขาได้ปราบปรามลัทธิเต๋าไปจำนวนมาก หากจัดการได้ไม่ดีก็จะเดือดร้อนไปถึงอารามชิงผิงที่อยู่ข้างหลังท่าน”
จากที่สืบทอดต่อกันมา เขาเชื่อว่าฮ่องเต้ก็จะเหมือนกับอดีตฮ่องเต้ที่จะปราบปรามลัทธิเต๋าอย่างหน้ามืดตามัวเพราะเอาความโกรธไปลงกับลัทธิเต๋า
“วางใจเถิด เขารอไม่ถึงวันนั้น” ฉินหลิวซีมองออกไปนอกหน้าต่าง ดาวดวงนั้นมีเพียงแสงริบหรี่ แทบจะมองไม่เห็นแล้ว
และที่นางกล่าวเช่นนี้ก็เพราะคนที่ฮ่องเต้ส่งไปตามหานางล้วนถูกนางกลั่นแกล้ง พวกเขาไม่มีทางหาอารามชิงผิงเจอ และยิ่งไม่สามารถเชิญนางไปได้
เขาไม่เพียงแต่ปราบปรามลัทธิเต๋า ซ้ำยังสงสัยในลัทธิเต๋า แล้วต้องการให้คนในลัทธิเต๋ารักษาโรคให้เขา ฝันไปเถิด คิดว่านักพรตโมโหไม่เป็นหรือ
เมื่อเสนาบดีลิ่นได้ฟังคำพูดนี้ของนางก็ใจเต้น เอ่ย “จากที่ท่านกล่าวมา หรือว่าจะเปลี่ยนผู้ครองบัลลังก์แล้ว”
การที่พูดคุยกับฉินหลิวซี เขาไม่ได้กลัวแม้แต่น้อย เขารู้ว่าคำพูดนี้ไม่มีทางไปถึงหูบุคคลที่สาม
ฉินหลิวซีเอ่ยตอบ “ถึงเวลาแล้ว ผู้ที่อยากจะมีชีวิตอยู่ หากยังมีลมหายใจต่อไป ก็มีแต่จะทำให้มีคนตายมากขึ้น”
ตั้งแต่ขุนนางระดับสูงไปจนถึงนางกำนัลและขันทีที่ต่ำต้อยที่สุดในสายตาของคนผู้นั้น มีใครบ้างไม่ใช่คน แต่เมื่อต้องอยู่ข้างกายฮ่องเต้ที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ พวกเขาล้วนหวาดหวั่น ถือว่าทุกวันล้วนเป็นวันที่ได้ใช้ชีวิตเป็นครั้งสุดท้าย
เมื่อเสนาบดีลิ่นได้ฟังดังนั้นก็สงบลง เขาก็รู้สึกว่าเห็นแก่สมควรแล้ว ความจริงแล้วในปีนี้สิ่งที่พวกเขาแอบทำกันอย่างลับๆ ได้ก่อตัวจากน้ำหยดเล็กๆ กลายเป็นลำธารขนาดย่อม จนน้ำเต็มล้นออกมา
ราชวงศ์ล่มสลาย พวกเขารอมานานแล้ว
ล้วนเป็นคนลงเรือลำเดียวกันทั้งหมด เมื่อเห็นว่าฮ่องเต้กำลังจะทำเรื่องเลอะเลือน ต้องการจะใช้อดีตรัชทายาท รวมถึงพระองค์กับตระกูลโจวก็มีความคิดไม่ดีที่อยากจะดึงฉินหลิวซีเข้ามา เช่นนั้นก็อย่าโทษที่พวกเขาไม่เกรงใจ
เสนาบดีลิ่นคิดอย่างรวดเร็ว ฮ่องเต้กำลังจะสวรรคต แต่จะสวรรคตอย่างไรนั้นยังเป็นคำถาม รัชทายาทจะต้องสะอาดบริสุทธิ์ ขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์มังกรอย่างราบรื่น
“ท่านเสนาบดีขอรับ”
น้ำเสียงเร่งรีบและตื่นตระหนกดังขึ้นจากข้างนอก
เสนาบดีลิ่นกล่าวว่า “มีเรื่องใดจึงได้ตื่นตระหนกเช่นนี้”
“เมื่อครู่นี้วังตะวันออกได้ส่งข้อความมาว่าพระชายาของรัชทายาทสิ้นแล้ว องค์รัชทายาทกำลังคุกเข่าอยู่หน้าตำหนักรักษาพระวรกายเป็นการขออภัยที่ไปล่วงเกินฮ่องเต้ขอรับ”
ฉินหลิวซีตกตะลึงเล็กน้อย ถอนหายใจ สุดท้ายนางก็ไม่ได้ใช้นกกระเรียนกระดาษตัวนั้น
เมื่อเสนาบดีลิ่นได้ฟังดังนั้นก็ลุกขึ้น มองไปยังฉินหลิวซี มีความโกรธอยู่ในแววตา ที่มากไปกว่านั้นคือรู้สึกหมดปัญญา
อำนาจของฮ่องเต้อยู่เหนือสิ่งอื่นใด
ผู้คุมอำนาจต้องการให้ใครตาย นางก็ต้องตาย
“ข้าจะไปดูสักหน่อย” ฉินหลิวซีกล่าวว่า “พวกท่านก็เริ่มการเคลื่อนไหวเถิด อย่าปล่อยให้สุนัขเฒ่าตัวนั้นมีโอกาสบ้าคลั่งอีก”
เสนาบดีลิ่นพยักหน้า มองดูนางหายตัวไปกลางอากาศ สูดลมหายใจเข้าลึก เรียกคนสนิทให้ไปส่งข่าว
พวกเขาก็ต้องเตรียมการเช่นกัน
วังตะวันออกได้แขวนโคมขาวแล้ว มีเสียงร้องระงม
ฉินหลิวซีปรากฏตัวในวังตะวันออก ใช้คาถาพรางตัวเข้าไปในตำหนักบรรทมโดยไม่มีสิ่งกีดขวาง
มู่จิ่นได้สวมชุดคนตายแล้ว ใบหน้าได้ถูกตกแต่งเล็กน้อย มือทั้งสองข้างวางบนหน้าท้อง ดูท่าทางสงบ
แต่ดวงวิญญาณของนางไม่ได้อยู่ที่นี่
ฉินหลิวซีร่ายคาถา ออกไปจากวังตะวันออก ไม่นานก็หาตัวนางพบ
นางยืนอยู่ข้างหลังฉีเชียน มองดูเขาคุกเข่าอยู่หน้าประตูตำหนัก
ฉินหลิวซีมายืนอยู่ข้างนาง มู่จิ่นทั้งประหลาดใจทั้งดีใจ กล่าวว่า “ท่านอาจารย์ เหตุใดจึงได้มาอยู่ที่นี่”
“สุดท้ายเจ้าก็เลือกที่จะตายอย่างมีความสุข” ฉินหลิวซีเห็นว่าบนร่างของนางไม่ได้มีพลังขุ่นเคืองหรือความไม่เต็มใจใดๆ จึงรู้ว่านางเต็มใจที่จะตาย
“แล้วตัวเจ้าล่ะ แล้วบุตรเจ้าล่ะ”
มู่จิ่นกล่าวว่า “คำพูดของท่านอาจารย์ยังนับอยู่หรือไม่ หากไม่นับแล้ว ยาล้ำค่าแก้พิษร้อยชนิดเม็ดนั้น ก็สามารถปกป้องบุตรของข้าได้ นับว่าดีมากแล้ว ส่วนนกกระเรียนกระดาษ หากยังนับอยู่ เช่นนั้นก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่”
ฉินหลิวซี “ข้าไม่เคยหลอกใคร”
หมายความว่านกกระเรียนกระดาษตัวนั้นสามารถแลกคำสัญญาได้ ยังนับอยู่
มู่จิ่นยิ้มเหมือนครั้งแรกที่ได้พบนาง สดใสบริสุทธิ์ พลางเอ่ย “เช่นนั้นก็ดี ข้าในฐานะที่เป็นมารดา ก็นับว่าได้ให้สิ่งที่ล้ำค่าที่สุดแก่บุตรของข้าแล้ว”
“แต่เจ้ากลับทำร้ายตัวเอง” ฉินหลิวซีกล่าวว่า “เจ้าตายไปแล้ว บุตรของเจ้ายังอ่อนหัด หากในภายภาคหน้ามีพระชายาคนใหม่ เจ้าไม่กลัวว่าพวกเขาจะตกอยู่ในอันตรายหรือ”
มู่จิ่นส่ายหน้า มองไปยังแผ่นหลังของฉีเชียน กล่าวด้วยความมุ่งมั่นว่า “ไม่มีทาง ไม่ว่าใครเป็นพระชายาคนใหม่ ก็ไม่มีทางเข้าไปในใจของเขาได้ บุตรชายของข้ามีพี่หญิงใหญ่ มีตระกูลมู่ ซ้ำยังมีเขา ข้าเชื่อเขา แล้วก็เชื่อท่านด้วย ในภายภาคหน้าไม่ว่าบุตรชายข้าจะได้สืบทอดบัลลังก์หรือไม่ ขอแค่มั่งคั่งปลอดภัยก็พอ”
“เจ้าไม่เสียใจภายหลังก็ดี ไปเถิด ข้าจะส่งเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย” ฉินหลิวซีเอ่ย “คนตายเร่ร่อนอยู่ในโลกคนเป็นไม่ใช่เรื่องดี”
มู่จิ่นเดินมาอยู่ข้างหลังฉีเชียน อ้าแขนกอดเขา “ข้าไปก่อนนะ”
ข้าไปก่อนนะ หนุ่มน้อยของข้า
ฉีเชียนราวกับรู้สึกได้ เขาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ดวงตาแดงก่ำมีน้ำตาไหลออกมาหยดลงบนหิมะ
………………..